บทที่ 684 เขาเป็นคนเดียวที่เคียงข้างเธอ
“มู่ซีเหรอ”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ทิ้ง “เธออยากจะนอนต่อหรือจะกินมื้อเช้าก่อน ฉันต้มบะหมี่ไว้ให้เธอแล้ว”
เวินจิ้งพูดขึ้นมาอย่างไม่สนใจ “น้องสาวมู่ซีของคุณโทรมาหาตั้งแต่เช้า คุณไม่โทรกลับไปหน่อยเหรอ”
มู่วี่สิงมองหน้าเธอ ในน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงด้วยรอยยิ้มลึก “ก็เธอโมโห ทำไมฉันต้องสนใจน้องสาวมู่ซีอะไรนั้นด้วย เรื่องขุนเธอให้อิ่มสำคัญกว่ามาก”
ทำไมเธอรู้สึกถึงความหมายแฝงอื่นจาก ‘ขุนให้อิ่ม’ สามคำนี้กันนะ…
เธอกดสีหน้าลง “ฉันเกลียดพวกผู้ชายที่ชอบพูดคำหวานบนเตียงที่สุด คุณถอนไปเลย”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก้มหน้ามองเท้าของตัวเองที่เหยียบอยู่บนพื้น “ที่รัก ฉันลงจากเตียงแล้ว”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ใบหน้าเล็ก ๆ ยับยู่ยี่เสียยิ่งกว่าเดิม “คุณเรียกใครที่รัก ไม่แขยงบ้างหรือยังไง”
เขาเรียกเธอว่าจิ้งจิ้งมาตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะมาเรียกที่รัก
เธอรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งร่าง แม้ว่าคำว่า ‘ที่รัก’ ที่ออกมาจากปากของผู้ชายคนนี้จะไม่ได้ทำให้รู้สึกเลี่ยนเลยสักนิดก็ตาม
เขาก้มศีรษะลงและจูบลำคอเธอครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วค่อย ๆ หัวเราด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เธอคิดว่าฉันแขยงหรือเปล่า ฉันแค่เป็นห่วงที่เธอไม่ข้าวเช้าจนเหนื่อยเกินมากกว่า”
นัยน์ตาดำลึกของเขาเป็นประกายอย่างมาก เอื้อมมือไปด้วยเปลวไฟที่ชัดเจนในตัวเอง
เวินจิ้งโมโหขึ้นมาทันที ฉันหยิบหมอนที่อยู่ข้าง ๆ แล้วขว้างใส่เขา “คุณออกไปเลย”
สายตาของชายหนุ่มยังคงหยุดอยู่ที่ร่างกายของเธอ เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายยิ่งทำให้เธอดูความนุ่มนวลและเซ็กซี่
แววตาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นดำลึก เวินจิ้งเห็นแล้วก็ตกใจ ทั้งยังโมโหมากขึ้นกว่าเดิม เลยหยิบหมออีกใบขึ้นมาทุบตีเขา
“มู่วี่สิง ไสหัวไปเลยนะ!”
“ได้” เขารับหมอนไว้โดยไม่มีอารมณ์โกรธแม้แต่น้อย “ฉันจะไปต้มบะหมี่ ถ้าบะหมี่พร้อมแล้วแต่เธอยังไม่ออกมา ก็แปลว่าเธอยังไม่หิวสินะ”
พูดจบเขาก็จัดวางหมอนลงไปดี ๆ ลังเลเล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกไป
พอคิดว่าหากสายที่เธอรับเป็นโทรศัพท์จากหลินยี่แล้ว…
เขาไม่กล้าที่จะคิด ไม่กล้าคิดว่าเธอจะจากเขาไปเพราะตามหาตัวหลินยี่พบแล้วจริง ๆ
เขาจึงขมวดคิ้วมองผู้หญิงที่กำลังหาชุดเปลี่ยน แล้วพูดว่า “ต่อไปไม่ต้องรับโทรศัพท์ให้ฉันอีกนะ”
มือของเวินจิ้งชะงัก แล้วพูดออกมาด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “ให้โทรศัพท์คุณหยุดสร้างรำคาญให้ฉันก่อนเถอะ”
ประตูถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว เวินจิ้งจึงหยุดรื้อหาเสื้อผ้า แล้วหยิบเสื้อในตู้ออกมาแบบสุ่ม ๆ จากนั้นก็ถอยกลับไปนั่งบนเตียง
เธอรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามู่วี่สิงเป็นคนที่เธออยากหนีไปให้ไกลมากที่สุด แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่คอยเคียงข้างเธอ
ท้อง
ถ้าหากท้องขึ้นมาจริง ๆ จะทำยังไงดี
ครั้งก่อนเป็นเพราะอุบัติเหตุ ทำให้ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถคลอดเด็กออกมาได้ แต่ครั้งต่อไปล่ะ
เขาไม่สามารถปล่อยวางเรื่องของมู่ซือซือได้อย่างแท้จริง ส่วนเธอเองก็ไม่สามารถปล่อยวางปณิธานก่อนตายของเจี่ยนอี้้ได้
ดูเหมือนพวกเขามักจะพลาดแบบนี้พลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เธอจะท้องไม่ได้ ท้องไม่ได้เด็ดขาด
สายสัมพันธ์ที่ใช้เด็ก ๆ เป็นตัวผูกมัดนั้นเปราะบางเกินไป หาครั้งต่อไปมันขาดสะบั้นลง นอกจากเธอแล้วก็ยังมีเด็กบริสุทธิ์ที่ต้องมารับเคราะห์
แต่หลายวันมานี้มู่วี่สิงก็ไม่ได้ป้องกัน เธอเองพลาดช่วงเวลาที่ต้องกินยาคุมฉุกเฉินไปแล้ว
เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีแล้ว
มู่วี่สิงต้มบะหมี่อยู่ครึ่งชั่วโมง รสชาติกลิ่นสีออกมาสมบูรณ์แบบ
ตอนกำลังจะไปเรียกเวินจิ้งที่ห้องนอน ประตูก็ถูกเปิดออก เธอค่อย ๆ เดินออกมาช้า ๆ
เวินจิ้งไม่มองของเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็นั่งลงข้างโต๊ะ มองไปยังอาหารเช้าที่ประณีตงดงามตรงหน้า คนที่จู้จี้อย่างมู่วี่สิงมียังคงทักษะการทำอาหารคงเส้นคงวา
“ทำไมไม่เรียกคนรับใช้ขึ้นมา” เวินจิ้งงึมงำ
สีหน้าของมู่วี่สิงเปลี่ยนเป็นดำมืดทันที ชั่วขณะก็ยังคงพูดออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “ฉันเต็มใจทำมื้อเช้าให้เธอด้วยตัวเอง!”
เวินจิ้งยังคงไม่ตอบสนองอะไรเช่นเดิม เธอเพียงค่อย ๆ ยกตะเกียบขึ้น แล้วเริ่มกินอย่างเงียบ ๆ
ตอนที่เขากำลังจะพูด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เขาขมวดคิ้วก่อนจะกดรับสาย “คุณปู่”
เสียงของมู่เฉิงดังขึ้น “ฉันจัดการเวินจิ้งไปแล้ว แกคิดจะไม่กลับมาบ้านใหญ่ตลอดไปเลยใช่ไหม”
สีหน้าของมู่วี่สิงเรียบเฉย “ไม่ครับ ช่วงนี้ผมยุ่งมาก”
“ช่วงนี้ฉันได้ยอมรับหลานคนหนึ่ง ชื่อมู่ซี แกกับเวินจิ้งก็กลับมาหน่อยแล้วกัน นอกจากว่าแกจะวางแผนไม่กลับมาตระกูลมู่ชั่วชีวิต”
“ผมกลับไปคนเดียวก็พอ” มู่วี่สิงพูด
“อ้อเหรอ” มู่เฉิงลูบคาง “ไม่ใช่ว่าแกต้องอยู่กับแม่หนูนั่นตลอดหรือไง หรือว่ายังกังวลว่าฉันจะทำอะไรเธอใต้จมูกแกกัน”
“ปู่ไม่อยากเจอเธอ”
“แน่นอนว่าฉันไม่อยากเจอเธอ แต่ฉันไม่อยากเสียหลานชายของฉันเหมือนกัน” มู่เฉิงพูด “พาเธอกลับมาเถอะ ไม่ใช่แกเคยพูดไว้เหรอ ว่าฉันฆ่าเธอไปแล้วหนึ่งครั้ง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ตาย แต่หนี้แค้นที่เธอติดค้างตระกูลมู่ของพวกเราก็ถูกชำระจนหมดเรียบร้อยแล้ว”
ตั้งแต่ต้นจนจบมู่วี่สิงก็นิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงนั่งมองเวินจิ้งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกินบะหมี่
“ไว้พูดกันต่อวันหลัง วางแล้วนะครับ” ไม่นานเขาก็เก็บสายตากลับมา แล้ววางสายโทรศัพท์ไป
ตอนที่เวินจิ้งกินข้าวเธอจะกินช้ามาก ใช้ตะเกียบคีบขึ้นมาไม่กี่เส้นแล้วเคี้ยวค่อย ๆ เคี้ยว
“อร่อยไหม” เขามองหน้าเธอแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ก็งั้น ๆ ” เวินจิ้งพูดออกมาแบบปากอย่างใจอย่าง
สีหน้าของชายหนุ่มมืดลงอย่างที่คิดไว้ เขาเก็บสายตาของตัวเองกลับมานิ่ง ๆ “พรุ่งนี้ฉันจะให้พวกคนรับใช้ทำให้”
คำพูดนั้นแฝงไปด้วยความอ้างว้างและเดียวดาย เวินจิ้งรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ แต่เธอก็ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้มู่วี่สิงจึงทำได้แค่กินอาหารเช้าด้วยตัวเอง ผ่านไปสักพักเขาจัดการบะหมี่ในชามจนเกลี้ยง แล้วยกน้ำอุ่นที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นดื่ม ชายหนุ่มเปิดปากพูดอีกครั้ง น้ำเสียงที่พูดออกมาทุ้มต่ำ “คุณปู่บอกให้ฉันพาเธอกลับไปบ้านใหญ่ เธออยากจะกลับไปกับฉันไหม”
“ไม่อยากไป” ท่วงท่าดื่มน้ำของเธอชะงักไปชั่วขณะ
แม้ว่ามู่เฉิงจะไม่พอใจเธอมากก็ตาม แต่เธอก็ยังเคารพและให้เกียรติเขาในฐานะผู้อาวุโส
แต่ตอนนี้เขากลับหลอกเธอไปฆ่า หากตอนนั้นไม่ได้ถูกช่วยเอาไว้โดยไม่คาดคิด เธอก็คงตายไปแล้ว
“มีฉันอยู่ คุณปู่ไม่มีวันทำอะไรเธอได้ ” มู่วี่สิงพยายามพูดกับเธออย่างอ่อนโยนที่สุด น้ำเสียงที่ใช้ก็ทุ้มต่ำ “เขาได้ยอมรับหลานคนหนึ่ง ชื่อมู่ซี บางทีคุณปู่อาจต้องการการเอาใจใส่ หรือบางทีเขาอาจพยายามปล่อยวางเรื่องซือซือแล้ว กลับไปกับฉัน…นะ”
เวินจิ้งปิดตาลง เธอยังคงพูดคำเดิม “ฉันไม่ไป”
ตอนนี้เธอไม่มีแรงจะรับมือกับเรื่องมากมายพวกนั้นแล้ว เธอแค่อยากจะตามหาตัวหลินยี่ให้พบเร็วที่สุด จากนั้นก็พาเขาไปพบกับแม่แท้ ๆ ที่ลอนดอน ส่วนชีวิตหลังจากนั้นขอให้ไม่มีมู่วี่สิงอีก
แต่แม้ว่าเธอจะไม่อยากไป ท้ายที่สุดเธอก็ถูกบังคับให้ไปอยู่ดี
เพราะมู่วี่สิงบอกว่าถ้าเธอไม่ได้ยอมจะกลับไปกับเขา เขาก็จะไม่ช่วยเธอตามหาหลินยี่
เธอทำได้เพียงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอน แล้วกลับไปที่บ้านใหญ่พร้อมเขา
พอลงจากรถ มู่วี่สิงก็จับมือเธอไว้ตลอด เธอดึงอยู่หลายครั้งก็ดึงไม่ออก พอพูดเขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ทำได้เพียงปล่อยให้เขาจับต่อไป