บทที่ 690 หึงอะไร
ช่วงนี้เวินจิ้งรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะหลายวันมานี้เธอได้รับโทรศัพท์ก่อกวนจากมู่วี่สิงตลอดเวลา
เธอเองก็ไม่ได้อยากจะรับ แต่ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่วางสายโทรศัพท์เธอถึงนึกถึงคำพูดเย็นชาของเขาในวันนั้นขึ้นมาได้ ‘ตอนนี้เขาเป็นอาชญากร ขอแค่ฉันโทรหาตำรวจ…’
เธอยังคงเกรงกลัวมู่วี่สิงมาโดยตลอด เขาเป็นคนที่มีอิทธิพลคับฟ้าในเมืองหนาน เป็นบุคคลสำคัญของวงการแพทย์และวงการธุรกิจ ในเมื่อเขาสามารถตรวจสอบจนพบอดีตของพี่ชายได้ เธอกลัวจริง ๆ ว่าเขาจะจัดการพี่ชายของเธอเพื่อพาเธอกลับไป
ทว่าตอนที่เธอพยายามถามพี่ชาย จะอย่างไรเขาก็ไม่เล่าเรื่องในอดีตของตัวเอง เรื่องนี้ก็ทำให้เวินจิ้งรู้สึกกังวลมากเหมือนกัน
ทุกครั้งที่เธอวางสายจากมู่วี่สิง เขาก็จะโทรมาเธออย่างมีน้ำอดน้ำทน ไม่รู้จักว่าอะไรคือความเหน็ดเหนื่อย โทรจนกว่าเธอจะรับเขาถึงจะยอมหยุด
“กินข้าวหรือยัง”
ทุกครั้งก็เอาแต่ถามเรื่องน่าเบื่อพวกนี้
“กินแล้ว” เธอตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ “คุณโทรหาฉันทั้งวันก็เพื่อจะถามว่ากินข้าวหรือยังแค่นี้น่ะเหรอ คุณมู่คะ คุณหมอมู่ ฉันกินข้าวตรงเวลาทุกวัน”
“เก่งมาก” เขาเปลี่ยนไปชื่นชมเธอแทน
เวินจิ้ง “…”
ตอนที่เธอกำลังจะด่าเขาว่าเลิกเธอโทรศัพท์มารังควานเธอได้แล้ว ก็ได้ยินเสียงหวานละมุนดังแทรกขึ้นมาจากปลายสายเสียก่อน “พี่ชายวี่สิงคะ พี่หิวหรือยังคะ วันนี้ฉันตั้งใจทำซุปปลามาให้ มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูบาดแผล คุณปู่บอกว่าพี่ชอบทานมาก”
เวินจิ้งที่นั่งอยู่บนโซฟาในคอนโด แทบจะมองเห็นรอยยิ้มที่เหมือนดั่งดอกไม้จากเด็กสาวแรกรุ่นที่เต็มไปด้วยเสน่ห์งดงามออกมาจากโทรศัพท์
เธอลืมไปแล้วว่าจะพูดอะไรต่อไป
รีบทานเถอะค่ะ ไปก่อนนะคะ“”
“ฉันไม่อยากกิน”
เวินจิ้งยิ้มออกมาทั้งที่ในใจไม่ยิ้ม “คุณอย่าทำผิดต่อความห่วงใยของน้องมู่ซีสิ”
มู่วี่สิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เธอต่างหากที่ทำผิดต่อความห่วงใยของฉันมาตลอด”
เธอทำผิดต่อเขาหรือ
ผู้ชายคนนี้ช่างกล้าพูดเสียจริง
เวินจิ้งแค่นหัวเราะเย็น ๆ แล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มแห้งแล้งว่า “ดังนั้นก็อยากเสียเวลามายุ่งกับฉันนักเลย ตอบรับน้องสาวของคุณดี ๆ หน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้คุณจะเสียใจทีหลังเอานะ เธออาจจะทำผิดต่อคุณเหมือนที่ฉันทำก็ได้ คุณมู่เองก็เย็นชายเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
ใครก็ล้วนแต่มองเห็นได้ ที่คุณปู่มู่หามาไม่ใช่หลานสาว แต่เป็นหลานสะใภ้
มู่วี่สิงพูดเสียงเรียบ “ฉันไม่มีภรรยาคอยรักคอยดูแล มีน้องสาวมารักมาดูแลก็ผิดเหรอ จิ้งจิ้ง เธอกำลังหึงสินะ”
หึงบ้านนายสิ!
เวินจิ้งยังคงยิ้มตาหยี “คุณมู่ ฉันจำได้ว่าพี่ชายฉันไม่ได้ยิงสมองคุณนะ ฉันสลัดคุณทิ้งแล้ว คุณลืมไปแล้วหรือไง”
ชายหนุ่มพูดขึ้นมาอย่างหน้าไม่อายว่า “จิ้งจิ้ง เธอสลัดฉันไม่พ้นหรอกนะ”
“พี่ชายวี่สิงคะ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยคุยโทรศัพท์ต่อดีไหมคะ ถ้าซุปเย็นแล้วจะเสียคุณค่าทางโภชนาการเอาได้” มู่ซีพูดขึ้นมาด้วยเสียงหวานนุ่ม “พี่คิดถึงคุณหนูเวินขนาดนี้ แล้วทำไมเธอถึงไม่มาเยี่ยมพี่ที่โรงพยาบาลล่ะคะ ไม่พี่ก็บอกฉันมาว่าเธออยู่ที่ไหน เดี๋ยวฉันจะไปตามเธอมาให้เอง แบบนี้ดีไหมคะ”
เวินจิ้งขมวดคิ้วแน่น ทำไมเวลาได้ยินคำเรียกว่าพี่ชายวี่สิงทีไรถึงได้รู้สึกขนลุกทุกที
มู่วี่สิงเองก็มีความอดทนอดกลั้นจริง ๆ
ราวกับว่ามู่วี่สิงได้ยินเสียงในหัวใจของเวินจิ้ง จึงพูดขึ้นมาทันทีว่า “มู่ซี เธอสามารถเรียกชื่อฉันได้ และให้เรียกแค่ชื่อฉันก็พอ”
น้ำเสียงของมู่ซีแฝงไปด้วยความเสียใจและความน้อยใจอยู่หลายส่วน “ทำไมล่ะคะ ตอนนี้พี่เป็นพี่ชายของฉัน ทำไมฉันยังเรียกพี่แบบนี้ไม่ได้ล่ะคะ”
“ฉันมีน้องสาวแค่คนเดียว แต่เมื่อสามปีก่อนเธอไม่อยู่แล้ว คุณปู่ของฉันอยากจะมีหลานสาวสักคน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันเองก็อยากจะมีน้องสาวสักคนด้วยเช่นกัน”
มู่ซียิ่งรู้สึกน้อยใจมากขึ้นไปอีก “ถ้าอย่างนั้นฉันควรเรียกพี่ว่าอะไร ฉันเรียกชื่อพี่ไม่ได้ แบบนั้นจะดูห่างเหินกันจนเกินไป ถ้าคุณปู่ได้ยินจะต้องโมโหมากแน่ ๆ พี่…พี่เกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
เวินจิ้งรู้สึกว่าทำไมเธอถึงต้องมานั่งฟังเรื่องน่าเบื่อแบบนี้ด้วย
เธอวางสายโทรศัพท์ลงไปอย่างอึดอัดใจ
พี่ชายกำลังไล่ตามพี่สะใภ้ในอนาคต เธอเองก็ไม่อยากออกไปเผชิญเรื่องวุ่นวายข้างนอกคนเดียว ดังนั้นเลยได้แต่นอนดูโทรทัศน์อยู่ในห้อง เธอเบื่อมากจริง ๆ ตอนค่ำเลยตัดสินใจไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้กลับมาทำอาหาร
ซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ห่างจากคอนโดโดยใช้เวลาเดินสิบห้านาที เวินจิ้งเดินไปเรื่อย ๆ ก็ถึงห้างสรรพสินค้า
ซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่บนชั้นแปด เธอกำลังรอลิฟต์ ตอนที่ประตูเปิดออก อยู่ ๆ ก็ถูกคนโอบเอวไว้ เธอเกือบจะล้มเข้าไปข้างใน ตอนที่ประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็ถูกตรึงไว้ที่กำแพง
กลิ่นอายบุรุษเพศที่คุ้นปกคลุมเธอไว้ เวินจิ้งใจเต้นรัว ยื่นมือผลักเขาออก “มู่วี่สิง คุณนี่โรคจิตขึ้นทุกวันแล้วนะ! คุณนี่มันเป็นสต็อกเกอร์! อุบ…”
คำพูดของเธอถูกปิดกันเอาไว้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มประทับจูบบนริมฝีปากของเธออย่างลึกซึ้ง ราวกับเก็บกลั้นเอาไว้มาเนิ่นนาน
เวินจิ้งเบิกตากว้าง แววตาเต็มไปด้วยโทสะ เพียงแต่ไม่ว่าจะใช้แรงมากขนาดไหนก็ไม่สามารถสั่นไหวร่างกายสูงใหญ่ของเขาได้
หลังจากจูบ เขาก็ฝังศีรษะของเขาลงที่คออ่อนนุ่มของเธอ จูบเธอย้ำ ๆ เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำที่เคล้าลมหายใจ “จิ้งจิ้ง…”
ช่างกระตุ้นคนได้ดีเหลือเกิน
เวินจิ้งกัดฟันแน่น “มู่วี่สิง เชื่อไหมว่าฉันแจ้งจับคุณในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ”
มือของเขายังคงโอบเอวของเธอเอาไว้ กักขังเธอเอาไว้ในอ้อมแขน ท่าทีสนิทสนมชิดเชื้อ
“ล่วงละเมิด…ทางเพศเหรอ” เขาพูดห้าพยางค์นี้ขึ้นมาด้วยเสียงหยอกเย้า มือที่โอบเอวเธอไว้ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปข้างบนอย่างช้า ๆ “เธอพูดขนาดนี้แล้ว ฉันก็ควรทำต่อสินะ”
เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ถ้าคุณกล้าทำอะไรฉัน ฉันจะฟ้องพี่! ตอนนี้คุณยังเจ็บอยู่ ไม่มีทางสู้เขาได้แน่”
เห็นอยู่ชัด ๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะถูกยิงแขน น่าจะเพิ่งผัดตัดคงยังไม่หายดี ทำไมถึงไม่เห็นว่าเขาพันแผลหรืออะไรเลย…
ลมหายใจของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบในชั่วพริบตา จากนั้นก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ว่า “จิ้งจิ้ง เธอคิดว่าฉันบาดเจ็บแล้วจะสู้พี่ชายเธอไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่” เวินจิ้งพูดปฏิเสธอย่างไม่รู้ตัว
เขายอมสละมือแขนของตัวเองเพื่อช่วยเหลือเธอ ให้เธอพูดแบบนั้นก็ดูเหมือนว่าจะใจร้ายเกินไปหน่อย…
เวินจิ้งยิ้มเยาะ “ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ตอนนี้การแพทย์พัฒนาไปมาก แขนของคุณจะต้องดีขึ้นแน่ ๆ ”
พูดจบเวินจิ้งก็รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง คำพูดนี้ของเธอฟังแล้วเหมือนกำลังขายผ้าเอาหน้ารอด…
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง ก้มหน้ามองใบหน้าขาวใส แล้วจูบลงไปเบา ๆ “จิ้งจิ้ง กลับบ้านกับฉันนะ”
เวินจิ้งรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เธอพยายามหลบเลี่ยงสัมผัสจากเขาอยู่ตลอด พูดพลางทำหน้ามุ่ย “คราวก่อนฉันก็พูดไปชัดเจนแล้ว มู่วี่สิง คุณจะทำทุกวิถีทางอย่างไม่ยอมแพ้แบบนี้ไปเพื่ออะไร”
เธอไม่รู้เลยว่าน้ำเสียงของตนเองนั้นช่างแผ่วเบา ดวงตากลอกกลิ้งไปมา ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วถามขึ้นมาว่า “คุณกับพี่ชายไม่ได้เป็นศัตรูกัน คุณจะไม่ให้คนจับเขาใช่ไหม”
นี่เป็นปัญหาที่เธอกังวลมาตลอด
มู่วี่สิงคว้าคางของเธอเอาไว้ เอ่ยที่ข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “จิ้งจิ้ง พี่ชายของเธอไม่เคยบอกเหรอว่าเมื่อก่อนเขาเคยทำเรื่องผิดกฎหมาย”
เวินจิ้งมองเขาทันที
ริมฝีปากบางของมู่วี่สิงยิ้มบาง ๆ “พี่ชายของเธอเคยติดคุกในข้อหาข่มขืนมาก่อน ตอนนี้ระยะเวลาจำคุกยังไม่หมด เขาใช้เส้นสายส่วนตัวออกมา”