บทที่ 711 เรื่องตลกที่เจ็บปวดที่สุด
ลี่หนานเฉิงจ้องมองไปทางห้องทำงาน “ถึงเวลาแล้วคุณเตือนเขาให้กลับไปพักผ่อนละกัน เขาบาดเจ็บ เหนื่อยมากไม่ได้”
กระทั่งช่วงเย็นมู่วี่สิงถึงจะออกจากโรงพยาบาล ถึงบ้านตระกูลมู่ก็เป็นเวลาอาหารค่ำพอดี
มู่ซีรีบเรียกเขา “พี่วี่สิง กินข้าวหรือยังคะ มานี่เร็วค่ะฉันจะตักข้าวให้”
เขาชายตามองไม่ใส่ใจ “เวินจิ้งกินข้าวหรือยัง”
มู่ซีตอบเสียงเบา “ฉันเรียกเธอแล้ว แต่เธอไม่สนใจฉัน…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มรีบขึ้นไปชั้นบนทันที มู่ซีสบตากับคุณปู่ ก้มหน้ากินข้าวต่อไปเงียบๆ
มู่เฉิงมองตามหลังเขาไป ถอนหายใจลึก
ขณะที่มู่วี่สิงเข้าไปในห้อง เวินจิ้งยังคงนอนบนเตียงในท่าเดิม ผมปรกดวงตา ดูไม่ออกว่าเธอหลับหรือไม่
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา นิ้วมือที่อยู่ขอบเตียงขยับเขยื้อน
มู่วี่สิงเดินเข้าไปหยุดยืนข้างเธอ ก้มตัวมองใบหน้าของเธอครู่ใหญ่ จึงพูดขึ้นเสียงแผ่วเบา “จิ้งจิ้ง ลุกขึ้นไปกินข้าวเถอะ”
เวินจิ้งหลับตา ไม่ขานรับ และไม่ตอบสนองแต่อย่างใด
ชายหนุ่มรออยู่ราวหนึ่งนาที แล้วก้มตัวลงอุ้มเธอลงจากเตียง เวินจิ้งลืมตาขึ้นทันที มองเขาสายตาเย็นชา
เขาถูกแววตาของเธอทิ่มแทง พูดเสียงแหบต่ำ “คุณไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันแล้ว เราลงไปกินข้าวกันดีไหม”
เขาถามเธอว่าดีไหมอย่างนั้นหรือ
เวินจิ้งรู้สึกว่าช่างน่าขันเหลือเกิน
เขาอุ้มเธอขึ้นมา เดินไปพลางพูดกับเธอ “เรื่องพี่ชายของคุณ ผมจะช่วยจัดการให้เรียบร้อย”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน จนเธอฟังออกถึงน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เจือการเอาอกเอาใจไม่น้อย
เวินจิ้งหลับตาอีกครั้ง “แล้วคุณล่ะ มู่วี่สิง”
เธอไม่เคยถามมาก่อน ถ้าพี่ชายตายแล้ว มู่วี่สิงมีบทบาทอะไรกันแน่ ในเรื่องนี้
เขาหรือ
มู่วี่สิงอุ้มเธอเดินลงมา ยิ้มนิดๆ ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววหมดหวังหนักอึ้งยิ่งกว่าเธอ “คุณไม่กระโดดลงทะเลแต่ตามผมกลับมา เพราะอยากแก้แค้นผมกับมือใช่ไหม”
เขาพูด ก้มหน้าจุมพิตดวงตาของเธอ น้ำเสียงเอาใจอย่างมาก “ผมจะรอดู รอดูคุณจะหาโอกาสฆ่าผม หรือจะทรมานผมช้าๆ”
มือของเวินจิ้งกำแน่น ยิ้มมองเขา “คุณมักทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณรักฉันลึกซึ้ง แต่มู่วี่สิง ถ้าคุณรักฉันอย่างจริงใจสักหน่อย คุณก็คงไม่มีทางทำร้ายพี่ชายฉัน”
ที่จริงเธอไม่ชอบหรือถึงขั้นกลัวปู่ของเขา แต่เพื่อเขาแล้วเธอเรียนรู้ที่จะอดทนและยอมรับ
เพียงแต่รอดูว่าฉากจบของเธอคืออะไร
คือเรื่องตลกที่เจ็บปวดที่สุด
เวินจิ้งถูกชายหนุ่มวางลงบนเก้าอี้ในห้องรับประทานอาหาร เธอมองสีหน้าของมู่เฉิงและมู่ซี คนหนึ่งสีหน้าสงบแต่ก็ซับซ้อน ขณะที่อีกคนหนึ่งก้มหน้ากินข้าว จิตใจกลับเหม่อลอย
มู่เฉิงยิ้มให้เธอ ดูแล้วใจดีมีเมตตาอย่างมาก และยังมีความรู้สึกผิดไม่น้อยซึ่งเธอไม่เข้าใจมันนัก “เวินจิ้ง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ร่างกายสำคัญที่สุดนะ”
มู่วี่สิงเข้าไปตักข้าวในห้องครัวให้เธอเอง วางลงตรงหน้าเธอ “เด็กดี กินข้าวก่อน”
ไม่ว่าเธอคิดจะทำอะไรเกลียดเขามากแค่ไหน เธอต้องกินข้าว
เวินจิ้งมองข้าวที่วางอยู่ตรงหน้า แล้วมองอาหารบนโต๊ะที่ยังแทบไม่ได้แตะ พูดขึ้นเสียงเรียบ “ฉันไม่กินกับข้าวเหลือทิ้ง”
ความเงียบงันฉับพลันเกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร แม้แต่มู่ซีที่กำลังก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ มาตลอดก็ยังชะงักไป
สีหน้าของมู่เฉิงเงียบขรึมลงแวบหนึ่ง
ขณะที่สีหน้ามู่วี่สิงยังคงเหมือนเดิม “ผมให้คนรับใช้ทำกับข้าวให้คุณใหม่”
มู่เฉิงอดกลั้น ไม่ปริปากอะไรออกมา
เวินจิ้งก็หลุบตานิ่งเงียบ เพียงแต่ยิ้มบางๆ
มู่วี่สิงยิ้มเช่นกัน ก้มหน้าจูบแก้มของเธอ “โอเค ผมไปทำให้ใหม่”
มู่วี่สิงลุกขึ้น ในที่สุดมู่เฉิงก็ทนไม่ไหว ออกคำสั่งเสียงเย็น “มู่วี่สิงปู่สั่งให้แกหยุดเดี๋ยวนี้”
เขามองสายตาของผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามที่มีแต่แววตาเยาะเย้ยและเย็นชา “หลินยี่สำคัญยังไง ต่อให้แกฆ่ามันแล้วยังไง มันสมควรตายอยู่แล้ว มันขับรถชนน้องสาวของแกตาย!”
มู่วี่สิงยังคงไม่หยุด
มู่เฉิงรู้สึกว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร มู่วี่สิงก็ทำเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด
ความรับรู้เช่นนี้ทำให้เขาโกรธจัด อารมณ์หงุดหงิดที่มีทั้งหมดถูกระบายใส่เวินจิ้ง “พี่ชายเธอลักพาตัวฉัน พี่ชายเธอก่อเรื่องทั้งหมดก่อน มู่วี่สิงลงมือแล้วยังไง เธอมีเหตุผลอะไรทรมานเขาเพราะเรื่องนี้”
หลานชายของเขาพูดจาเอาอกเอาใจผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไรกัน
เวินจิ้งยังคงยิ้ม “ท่านเกลียดฉันขนาดนี้ ทำไมกลัวตายล่ะคะ”
จังหวะเสียงของเวินจิ้งเรื่อยๆ “ท่านแสดงละครเนียนขนาดนี้ แล้วยังแกล้งทำเป็นใจกว้าง แม้แต่เข้าครัวทำอาหารให้ศัตรู ก็แค่อยากให้หลานของท่านเกลียดฉันใช่ไหมคะ”
เธอช้อนตา ตั้งใจเผยเสน่ห์ออกมา “ทำไมตอนนี้มีโอกาสแล้วท่านถึงกลัว ในเมื่อเป็นคนไปหาพี่ชายฉันเอง ถ้าท่านตายในมือเขาจริง ก็ไม่แน่ว่าจะเข้าทางที่ท่านต้องการให้หลานชายสุดที่รักเกลียดฉัน แต่ตอนนี้ น่าเสียดายอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น แล้วยังกลัวความตายอีก”
มือของมู่เฉิงที่ยังคีบตะเกียบขาวซีดเพราะข้อต่อออกแรงมาก
เวินจิ้งเห็นเช่นนั้น ก็ยิ้มกว้างขึ้น “มองเห็นศัตรูที่ทำให้หลานสาวตายทรมานหลานชายต่อหน้าต่อตา ยิ่งรู้สึกเกลียดฉันใช่ไหมคะ อยากให้ฉันตายเสียเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้นเองตะเกียบกระแทกบนโต๊ะเสียงดัง เวินจิ้งยังคงมีรอยยิ้มที่แสดงความไม่เคารพ สายตาเย็นชาเยาะเย้ย “ฉันชอบเหลือเกินที่ท่านอยากจะให้ฉันตายไปเสียแต่ก็ทำอะไรฉันไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ”
มู่เฉิงหายใจหอบถี่ เขามองหน้าเธอสายตาโกรธจัด หลายปีมานี้เป็นครั้งแรกที่มีคนทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้
มู่ซีก็วางตะเกียบในมือ “พี่เวินจิ้ง ทำเกินไปแล้ว! พี่วี่สิงเห็นใจที่พี่เพิ่งเสียญาติไปถึงได้ยอมให้ พี่อย่าได้คืบเอาศอกทำร้ายคุณปู่”
“เกินไปงั้นหรือ” เวินจิ้งยิ้มอ่อน “เทียบกับที่ท่านหลอกหลานชายว่าฉันท้องเพื่อทำให้พี่ฉันตาย นี่ก็นับว่าฉันใจดีมากแล้ว”
มู่ซีเถียงทันที “พี่เวินจิ้ง พูดอย่างนี้ได้ยังไง พวกเราทำอย่างนี้ก็แค่อยากให้พี่ได้กลับไปหาพี่ชาย เพียงแต่คิดไม่ถึงพี่วี่สิงจะขังพี่ไว้ก็เท่านั้น”
สายตาที่ว่องไวของเวินจิ้งจับได้ถึงความรู้สึกผิดลึกๆ ในสายตาของมู่ซี
เธอไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่ยิ้มบางๆ “ครอบครัวคุณทุกคน ทำให้ฉันสะอิดสะเอียน”
แน่นอนว่าอาหารมื้อนี้กินไม่ลงแล้วมู่ซี ประคองคุณปู่กำลังจะเดินออกไป ไม่ลืมที่จะพูดกับเวินจิ้งน้ำเสียงเย็นชา “พี่เวินจิ้ง อย่าลืมว่าตระกูลหลินยังอยู่ในมือตระกูลมู่ ตอนนี้แม้แต่คนสนับสนุนพี่ก็ไม่มีสักคน บางทีตอนนี้พี่วี่สิงยังรู้สึกผิดกับพี่อยู่บ้าง แต่คิดหรือว่ามันจะอีกนานเท่าไร หรือพี่คิดว่า แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รักเขาจะเทียบกับญาติแท้ๆ ได้”
“อย่าลืมสิ ถ้าพี่เป็นคนสำคัญในใจของเขาจริง พี่ชายของพี่ก็คงไม่ตาย”