บทที่ 723 คุณกำลังเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสุนัข
สีหน้าของหยูจิ่งห้วนเปลี่ยนเป็นดำมืด “ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนดูถูก เธอบอกฉันทีสิว่าเธอก็แค่กำลังให้เกียรติมู่วี่สิง”
เธอกำลังทำร้ายเขา หรือว่าเธอรู้สึกว่าเขาไม่มีกำลังมากพอที่จะปกป้องเธออย่างนั้นเหรอ
เวินจิ้งรู้สึกลำบากใจ พูดเสียงเบา “ฉันก็แค่เป็นห่วงคุณ…”
เขามองไปที่เวินจิ้งและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “รอร่างกายของเธอกลับมาแข็งแรงเมื่อไหร่ฉันจะรีบพาเธอไป”
เวินจิ้งมองแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของหยูจิ่งห้วน ใช้เวลาสักพักก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
ทว่าไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้หัวของเธอชั่วพริบตาก็ว่างเปล่าเป็นอย่างมาก
หยูจิ่งห้วนมองไปที่ดวงตาของเธอ อารมณ์ที่สงบนิ่งเช่นนั้นไม่เหมือนกับเวินจิ้งคนเดิมเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกปวดใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก
เขารู้ว่าพี่ชายของเธอตายแล้ว รู้ว่าเธอเข้าโรงพยาบาลเพราะแท้งลูก ไม่ว่าจะเรื่องไหน ถ้าถามอีกครั้งก็ไม่ต่างอะไรจากการเปิดแผลของเธอ แบบนั้นแล้วสู้ไม่ถามจะดีกว่า
ตอนที่มู่วี่สิงกลับเข้ามา หยูจิ่งห้วนก็กลับไปแล้ว
เวินจิ้งมองเขายกกล่องอาหารวางไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา จากนั้นก็หยิบกับข้าวออกมาทีละอย่าง
เวินจิ้งเลิกผ้าห่ม สวมรองเท้าแล้วลงจากเตียง
มู่วี่สิงเลิกคิ้ว รู้สึกแปลกใจกับท่าทีเฉลียวฉลาดน่าเอ็นดูของเธอเล็กน้อย แต่ก็คิดไปถึงเรื่องที่ว่าเธอยอมลงมาเองเพราะไม่อยากจะให้เขาอุ้มขึ้นมาทันที
เขาเตรียมอาหารเย็นมาให้เธอกินคนเดียว ไม่เข้าใจว่านั่งมองอยู่ข้าง ๆ มันมีความสุขยังไง แต่เวินจิ้งก็คร้านจะถาม
พวกเขาทั้งคู่เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดหนึ่งเดือน เวินจิ้งพูดน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทั้งยังไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับเขาก่อน มีสองครั้งที่เขาพูดว่าอยากจะพาเธอออกจากโรงพยาบาล แล้วกลับไปรักษาตัวที่บ้านตระกูลมู่ แต่ล้วนถูกเธอปฏิเสธ
สีหน้าของมู่วี่สิงจะเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทุกครั้ง ตอนที่เวินจิ้งคิดว่าเขากำลังจะบังคับให้เธอออกจากโรงพยาบาลอีกแล้ว สีหน้าที่ดำมืดของเขาก็ควบคุมเอาไว้ได้
คืนก่อนวันที่จะออกจากโรงพยาบาล เวินจิ้งเปลี่ยนเป็นชุดลำลองอย่างง่ายเพื่อเตรียมตัวออกไปจากห้องพักฟื้นคนเดียว ทว่ายังเดินไปไม่ถึงสองก้าว ก็ถูกผู้ชายในชุดสูทสีดำขวางเอาไว้ “คุณผู้หญิง ตอนนี้ร่างกายของคุณยังไม่แข็งแรง มีอะไรที่ต้องการก็สั่งพวกเราแทนเถอะครับ”
หยูจิ่งห้วนเคยพูดว่ามู่วี่สิงไม่ได้ส่งคนมาเฝ้าหน้าห้องพักฟื้น แต่ความจริงคนที่เขาส่งมากลับซ่อนตัวเอาไว้
เวินจิ้งไม่สนใจ เพียงพูดเสียงเรียบว่า “ตอนนี้ฉันอยากกลับบ้าน ถ้ามู่วี่สิงไม่อนุญาต พวกคุณก็โทรศัพท์ไปแจ้งเขา”
แม้ว่าคนพวกนี้จะไม่ยอมให้เธอออกไป แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่กล้าลงมือกับเธอ ทำได้แค่รีบโทรศัพท์หามู่วี่สิง หลังจากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ส่งให้เวินจิ้งอย่างนอบน้อม “คุณผู้หญิง เชิญพูดกับคุณมู่ครับ”
เสียงของผู้ชายคนนั้นเย็นชาเป็นอย่างมาก “มีเรื่องอะไร”
เวินจิ้งยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา ผ่านไปสักพักถึงพูดออกมาว่า “ฉันเอง”
น้ำเสียงของมู่วี่สิงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในทันที “จิ้งจิ้ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”
“คืนนี้ฉันอยากกลับไปนอนที่บ้าน ให้คนของคุณไปส่งฉันได้ไหม”
“กลับบ้านเหรอ” เสียงของเขาราวกับดังขึ้นจากข้างกายเธอ น้ำเสียงที่ใช้ถามออกมาแฝงไปด้วยความดีใจ “เธออยากกลับไปบ้านตระกูลมู่ใช่ไหม”
“อืม”
หลังจากนั้นเวินจิ้งก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนนั้นหยิบกุญแจขึ้นมา “เด็กดี เธอกลับเข้าไปในห้องพักก่อน ฉันจะรีบไปรับเธอกลับ”
เวินจิ้งชะงัก “ไม่ต้อง คุณมีงานมากมายต้องทำ ให้คนของคุณไปส่งฉันก็ได้แล้ว”
เธอรู้จักนิสัยของเขาดี ไม่มีทางที่จะพูดว่าให้เธอกลับไปด้วยตัวเองอะไรพวกนี้แน่
“รอฉัน” พูดสองคำนี้จบก็วางสายไป
เวินจิ้งยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้บอดี้การ์ดด บอดี้การ์ดดพูดขึ้นมาอย่างเคารพ “คุณผู้หญิง เชิญคุณกลับเข้าไปพักผ่อนในห้องก่อนเถอะครับ ข้างนอกอากาศเย็น”
ระเบียงทางเดินดี ๆ จะไปเย็นได้อย่างไร
เวินจิ้งเดินกลับไปนั่งโซฟาข้างในห้องพักฟื้น
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ประตูห้องพักฟื้นก็ถูกเปิดออก มู่วี่สิงมุ่งตรงมาทางเธอ โอบกอดเธอเอาไว้ แล้วจุมพิตลงบนริมฝีปากของเธออย่างเป็นธรรมชาติ “อยู่ที่นี่แล้วเบื่อใช่ไหม”
เวินจิ้งวางแขนลงบนไหล่ของเขา แล้วพูดเบา ๆ พร้อมกับหลับตาลง “อืม”
ใบหน้าที่ตามปกติไร้ซึ่งความรู้สึกชายหนุ่มเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขออกมา เขาอุ้มเธอด้วยท่าเจ้าสาว “ได้ ฉันจะพาเธอกลับ”
ตอนที่เดินมาถึงประตูห้อง พวกบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่เมื่อกี้นี้ก็ยังอยู่ มู่วี่สิงพูดสั่ง “เก็บของกลับตระกูลมู่ หลังจากนั้นก็ไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล”
“ครับ”
เวินจิ้งแนบศีรษะลงบนไหล่ของเขา ท่าทีสนิทสนมน่ารักเช่นนี้ทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูอ่อนโยนไม่น้อย “ช่วงนี้ฉันค่อนข้างยุ่ง ตอนกลางวันเลยไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเธอ พรุ่งนี้ฉันพาเธอไปซื้อของดีไหม”
“ดีค่ะ” เวินจิ้งปิดตาลงอย่างเกียจคร้าน “ฉันอยากได้สุนัขตัวใหญ่ที่มีพละกำลัง จูงออกไปแล้วดูน่าเกรงขามอะไรประเภทนั้น”
มู่วี่สิงพูด “จูงฉันออกไปไม่ดูน่าเกรงขามกว่าเหรอ”
เวินจิ้ง “…”
“คุณกำลังเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสุนัขอยู่เหรอ”
มู่วี่สิง “…”
ทำไมเขาถึงได้พูดเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นออกไปกันนะ
พอขึ้นรถเธอถึงได้ยกมือออก เขาคาดเข็มขัดให้เธอ ตอนที่ผละออกไปยังหอมแก้มเธออีกหนึ่งที เวินจิ้งกะพริบตาโดยไม่พูดอะไร
มู่วี่สิงขับเข้าไปในลานจอดรถชั้นใต้ดิน ตอนที่กลับไปที่ตระกูลมู่ ทันทีที่เข้าประตูไปไฟก็ถูกเปิดเอาไว้อย่างสว่างไสว
เหล่าคนรับใช้ออกมาต้อนรับด้วยในหน้ายิ้มแย้ม “คุณผู้ชาย คุณนาย กลับมาแล้วเหรอคะ เชิญพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ พวกเราจะไปยกชามาให้”
เวินจิ้งเงยหน้าขึ้น ยิ้มออกมาบาง ๆ “ฉันจัดการเอง”
เธอเดินไปขวางคนรับใช้ไว้ “หลายวันมานี้ฉันศึกษาเรื่องการชงชามาไม่น้อย รู้สึกคันไม้คันมือ”
มู่วี่สิงที่กำลังค่อย ๆ ถอดเสื้อนอกออกแข็งค้างไปพักหนึ่ง จากนั้นก็รีบส่งเสื้อตัวนั้นให้คนรับใช้อย่างลวก ๆ แล้วพูดว่า “เธอรีบพักผ่อนเถอะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็กลับไปก่อน”
ตอนที่เวินจิ้งออกมาก็เห็นมู่วี่สิงนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา ในมือของเธอถือจานเล็กขนาดเล็กที่มีลวดลายสวยงามกับแก้วคู่รักที่เข้าคู่กันไว้อยู่
ชายหนุ่มตบลงไปบนที่ว่างข้าง ๆ ตัวเอง ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ “มานั่งตรงนี้”
เวินจิ้งถือชุดชาเดินเข้าไป เพิ่งจะวางของลง แขนยาว ๆ ของชายหนุ่มก็ดึงเธอให้นั่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เขากอดเธอไว้ ลมหายใจของคนสองคนรินรดกัน เขาไม่ได้จูบเธอ แต่ท่าทีเช่นนี้ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาแนบชิดกันมาก
หน้าผากของเขาแนบชิดกับเธอ ริมฝีปากของเขาก็ปัดผ่านแก้มของเธอโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ “ทำไมวันนี้ถึงได้น่ารักแบบนี้ หืม มีอะไรที่อยากขอฉันหรือเปล่า”
เวินจิ้งไม่สบตาเขา “รีบดื่มชาเถอะ ฉันจะไปอาบน้ำนอนแล้ว”
เขาใช้มือโอบเอวเธอไว้ เดิมทีก็เป็นคนที่กระดูกเล็กอยู่แล้ว ช่วงนี้ก็ผอมลงไปมาก ยิ่งเป็นเอว แขน ขาก็ยิ่งเห็นได้ชัด น้ำเสียงพร่าต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นข้างหู เต็มไปด้วยความจำยอมและรักเอ็นดูยิ่ง “จิ้งจิ้ง ยาที่อยู่ในน้ำชาไม่มีผลอะไรกับฉันหรอกนะ เธอไปนอนกับฉันอย่างว่าง่ายนะ”
เวินจิ้งเงยหน้าสบตาเขาโดยไม่พูดอะไรออกมา
มู่วี่สิงเชยคางของเธอขึ้นอย่างขบขัน “หลายวันมานี้เธอเย็นชาไม่พูดไม่สนใจฉัน อยู่ ๆ ก็ชงชามาให้ฉันด้วยตัวเองแบบนี้ ฉันควรรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความรักความเอาใจใส่ หรือว่าควรจะสงสัยว่าเธอกำลังวางยาฉันดีนะ”