บทที่ 730 ฉันยังคิดว่าเธอจะออกมาไม่ได้แล้วเสียอีก
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที
“ที่พวกเราแต่งงานกันตอนแรกก็ไม่ใช่เพราะว่ารักกัน แต่ละคนก็ต่างทำเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ คุณต้องการภรรยา ส่วนฉันต้องรับมือกับแรงกดดันของที่บ้าน ถึงเวลาพวกเราก็แยกย้ายกัน”
เวินจิ้งเม้มริมฝีปาก ข้างนอกยิ้มแต่ข้างในไม่ยิ้ม “เดิมทีหยูจิ่งห้วนเป็นคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของคุณ ฉันถูกออร่าของเขาดึงดูด ฉันชอบชายหนุ่มที่มีชีวิตชีวาแบบนั้น ไม่ชอบผู้ชายที่เผด็จการไม่มีเหตุผลเหมือนกับคุณ เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เล็กจนโต”
นัยน์ตาดำดั่งหินออบซิเดี้ยนของมู่วี่สิงจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง ดวงตาของเขาดำลึก ผิวของเขาไม่มีแม้แต่สีเลือด
หัวใจของเธออ่อนยวบ จึงหมุนตัวไม่มองเขาอีก “ฉันจะไปเอาอาหารเที่ยงมาให้”
มองเงาแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินออกไป ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยแพร่กระจายไปทั่วหัวใจของเขา จากนั้นมันก็กระจายไปทั่วทั้งร่างกายอย่างรวดเร็ว
ตอนที่เวินจิ้งเพิ่งจะออกไป ลี่หนานเฉิงก็เข้ามา เขาสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในห้องพักฟื้นไม่ค่อยดีนัก
เขายิ้มเยาะแล้วก้าวไปข้างหน้า “เป็นยังไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนไหม”
หัวใจของเขาเต้นดังตึกตัก หรือว่าเวินจิ้งพูดกระตุ้นอะไรไป
มู่วี่สิงพูดออกมาอย่างเย็นชา “ผู้ชายที่เวินจิ้งชอบเป็นแบบไหน”
ลี่หนานเฉิงเกาหัว พยายามขุดสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับหยูจิ่งห้วนออกมา
“เขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อย มีการศึกษาและวัฒนธรรม…รู้จักหักห้ามใจ คล่องแคล่วว่องไว เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ…”
มู่วี่สิงขมวดคิ้วแน่น บาดแผลทั้งร่างราวกับกำลังฉีกขาด
อัจฉริยะเหรอ…
เขาก็เป็นอัจฉริยะ เขาก็มีการศึกษาและวัฒนธรรม แต่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเวินจิ้ง…จะให้เขาทำตัวปกติได้อย่างไง จะรู้จักหักห้ามใจได้อย่างไร
หลังจากนั้นสิบนาทีเวินจิ้งก็ยกมื้อเที่ยงเข้ามา ลี่หนานเฉิงไม่อยู่แล้ว ห้องพักพื้นที่สว่างไสวเงียบราวกับจะได้ยินเสียงลงหายใจ ชายหนุ่มหลับตา ลมหายใจสม่ำเสมอ
เธอเหลือบมองเขา จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างเตียง จากนั้นก็สะกิดลงบนใบหน้าของเขาอย่างไร้ความรู้สึก “กินข้าวเถอะ เลิกแกล้งหลับได้แล้ว”
มู่วี่สิงลืมตา ถามออกมาอย่างอึดอัดใจ “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันยังไม่หลับ”
เวินจิ้งตักโจ๊กอย่างระมัดระวังพลางตอบคำถามเขา “เวลาคุณหลับไม่ได้หายใจแบบนี้”
เธอตักโจ๊กถั่วแดงป้อนเขาอย่างระมัดระวัง “กินเถอะ”
เขาไม่อ้าปากรับ ทำเพียงจ้องมองเธอ นัยน์ตาดำลึก พูดดอกมาทีละคำ ๆ “เวินจิ้ง เขาไปแล้ว ไม่สนใจว่าเธอจะรักเขามากขนาดไหน”
เธอถือโจ๊กถั่วแดงที่ยังคงเต็มช้อนเอาไว้ แล้วหลับตาลงอย่างเงียบ ๆ
ชายหนุ่มยกมือขึ้น เห็นชัด ๆ ว่าการทำอย่างนี้กินแรงเขาอยู่มาก แต่เขาก็ยังคงพยายามที่จะยกมือขึ้น กระทั่งปลายนิ้วที่แสบร้อนสัมผัสลงบนผิวของเธอ “ฉันทำให้เขาไปแล้ว หลังจากนี้ฉันจะดีกับเธอให้มากกว่าเขา”
ไม่รู้ว่าเพราะค่อย ๆ พูดช้าลง หรือเพราะว่าการที่ต้องพูดมากมากขนาดนั้นกินแรงของเขามากกันแน่ “ฉันชดใช้ให้เธอได้ จะใช้อนาคตทั้งหมดกับเธอคนเดียว ขอแค่เธอลืมเขา”
ดวงตาของเขามักจับจ้องใบหน้าเล็ก ๆ ของเธออย่างตั้งใจ ไม่ยอมที่จะพลาดสีหน้าใด ๆ ของเธอ
เธออดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม
ฉันชดใช้ให้เธอได้ จะใช้อนาคตทั้งหมดกับเธอคนเดียว
เธอหลับตาลง “กินโจ๊กเถอะ เดี๋ยวมันจะเย็น”
แววตาของชายหนุ่มเปลี่ยนมืดมนอย่างรวดเร็ว เขาพูดเสียงเบา “ได้ เธอป้อนฉัน”
…
หลังจากที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลกว่าหนึ่งเดือน มู่วี่สิงก็ยืนยันที่จะกลับไปพักต่อที่บ้าน
เมื่อมู่เฉิงได้ยินแบบนี้ก็มองไปที่เวินจิ้งที่นั่งเงียบอยู่บนโซฟา เขายิ้มออกมาอย่างอบอุ่น “แบบนั้นก็ดี วี่สิง แกกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านใหญ่ก็แล้วกัน ที่นั่นมีคนรับใช้เก่าแก่อยู่เยอะ การดูแลไม่ต่างจากพยาบาลในโรงพยาบาลมากนัก”
เวินจิ้งอ่านนิตยสารที่อยู่ในมือเป็นพัก ๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร
ทว่ามู่วี่สิงปฏิเสธ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา “ไม่ต้องหรอกครับ ผมกับเวินจิ้งจะกลับบ้านตระกูลมู่ เธอจะดูแลผมเอง”
นิ้วมือของเวินจิ้งแข็งค้าง จากนั้นก็เงยหน้ามองเขา “มู่วี่สิง คุณปู่ของคุณบอกให้คุณกลับบ้านใหญ่ก็กลับบ้านใหญ่ ฉันไม่ชอบดูแลใคร”
มู่เฉิงรีบสอดปากทันที “แกดูสิ แต่งเมียมาเพื่อในเธอดูแลแกหรอกเหรอ มีคนรับใช้ให้กดขี่กลับไม่ใช้ จะใช้เมีย ไม่แปลกใจที่เธอจะไม่สนใจแก”
น้ำเสียงของเขาฟังดูเปิดเผย แต่กลับมีความไม่แน่ใจและการหยั่งเชิงแฝงอยู่หลายส่วนอย่างน่าแปลกประหลาด
ปลายนิ้วมือของเวินจิ้งยังคงพลิกเปิดนิตยสารต่อไป พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ใช่”
หลังจากที่เธอตกบันไดจนแท้งลูกเมื่อครั้งนั้น เธอก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านตระกูลมู่อีก เธอคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้ว
ดังนั้นเมื่อเธอต้องเห็นแสงภายใต้โคมไฟหลากสีของตระกูลมู่กับบันไดสูงชันนั่นอีกครั้ง ความเจ็บปวดรวดร้าวแพร่กระจายไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจทันที
นิ้วเรียวของเธอกำแน่น พยายามสูดหายใจแรงเพื่อระงับและขับไล่ความเจ็บปวดในใจ
หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ เธอก็เข้ามาในห้องนอนเพื่อทำความสะอาดที่นอน ตอนนี้มีบนเตียงมีหมอนอยู่เพียงใบเดียว
มู่วี่สิงมองหน้าเธอ น้ำเสียงหลบซ่อนความแปลกใจเอาไว้ไม่อยู่ ขมวดคิ้วแน่น “เธอไม่ได้นอนกับฉันเหรอ”
หรือว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยนอนหนุนหมอนร่วมเตียงกับเธออย่างนั้นเหรอ
สีหน้าของเวินจิ้งไม่เปลี่ยน “พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน แน่นอนว่าไม่ได้นอนด้วยกัน”
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองเล็กน้อย “ฉันไม่เคยแตะต้องเธอเลยอย่างนั้นเหรอ”
ดวงตาของเธอใสสะอาดไร้มลทิน “ใช่ ถ้าคุณกล้าแตะต้องฉัน ฉันก็จะตายไปพร้อมกับคุณ”
เหอะ ตายไปพร้อมกัน
เป็นเพราะเจ้าหยูจิ่งห้วนคนนั้นเหรอ
เขาเม้มริมฝีปาก แววตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงของเธอก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “จิ่งห้วนออกจากเมืองหนานไปแล้ว คุณไม่ได้รับอนุญาตให้สืบหาเขาหรือส่งคนไปติดตามและแก้แค้นเขาอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่มีวันให้อภัยคุณ”
นัยน์ตาดำลึกของเขาไม่สามารถคาดเดาในตัวเธอได้ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ได้ ฉันจะไม่ตามหาเขา จะไม่ส่งคนไปทำอะไรเขา แต่มีข้อแม้ เธอต้องยอมเป็นคุณนายมู่ของฉัน”
เวินจิ้งยกยิ้มเย็น “มู่วี่สิง เดิมทีข้อตกลงแบบนี้ก็ไม่ได้ต้องการความสมัครใจ แต่ฉันรอได้ ดูสิว่าคุณหรือฉันที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก่อน”
ดวงตาของเธอโปร่งใสเหมือนกระจก “ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ถ้าใช้เวลาถึงสามปีเปลี่ยนมันไม่ได้ ดังนั้นจะเวลาสิบปีหรือสามสิบปีก็เปลี่ยนมันไม่ได้เหมือนกัน”
พูดจบเธอก็เดินออกไป
มู่เฉิงยืนถือไม้เท้าอยู่นอกระเบียงทางเดิน ดูเหมือนว่าจะตั้งใจรอเธออยู่
ในเมื่อเขาไม่เคาะประตู ก็น่าจะแปลว่ากำลังรอเธอออกมา
“ฉันยังคิดว่าเธอจะออกมาไม่ได้แล้วเสียอีก เวินจิ้ง วี่สิงเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว”
“คุณปู่มู่มารอหนูถึงที่นี่ คงไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้หรอกใช่ไหมคะ”
มู่เฉิงจ้องมองเธออยู่นาน จากนั้นก็เปิดปากพูด “ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่ยอมให้อภัยวี่สิงจริง ๆ ใช่ไหม”