บทที่ 731 เธอเป็นคนขี้หึงตั้งแต่เมื่อไร
“เรื่องที่เขาติดค้างฉันหรือพวกคุณติดค้างฉันก็ชดใช้แล้ว จึงไม่เกี่ยวกับว่าฉันจะให้อภัยหรือไม่ ตอนนี้ฉันก็ไม่มีสถานะหรือเหตุผลอะไรจะตำหนิเขาค่ะ”
เรื่องของความรู้สึก ใช่ว่าให้อภัยหรือไม่ให้อภัยจะจัดการความรู้สึกได้
มู่เฉิงถอนหายใจลึก “เธอตัดสินใจหย่าแน่แล้วใช่มั้ย”
“ฉันไม่เคยเปลี่ยนความตั้งใจค่ะ”
“ก็ดี” เขาเอ่ยขึ้นเคร่งขรึม “ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้วจะไม่คืนดีกับวี่สิง อย่างนั้นมู่ซีจะกลับมาตระกูลมู่ เธอคงจะไม่ว่าอะไร ใช่มั้ย”
มู่ซีหรือ
เวินจิ้งที่เดิมนิ่งขรึมอยู่แล้วก็เงียบไป ในสมองอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงคำพูดของมู่ซีที่พูดกับเธอที่ปากบันไดในวันนั้น เธอตอบเสียงเย็นชา “เรื่องของตระกูลมู่ฉันไม่มีสิทธิ์วุ่นวาย แต่ฉันไม่รับประกัน มู่ซีกลับมาแล้ว ฉันจะอยู่ร่วมกับเธอได้ไม่มีปัญหา”
สิ่งที่ควรพูดนั้น เธอทำไม่ได้จริงๆ
การที่เธอพูดออกไปว่าไม่เกลียดมู่วี่สิงกับคนของตระกูลมู่ นั่นก็เพราะเขาต้องถูกแทง และยังอุบัติเหตุนั่นอีก เขาชดใช้ความแค้นทุกอย่างหมดแล้ว
ทั้งรักทั้งเกลียดหมดสิ้นแล้ว เธอเพียงหวังว่าทั้งสองคนจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกันอีก
น้ำเสียงมู่เฉิงผ่อนคลาย “มู่ซีจะไม่ทำให้เธอลำบากใจแน่ เพียงแต่เธออย่าต่อว่าอะไรต่อหน้ามู่ซี”
สีหน้าของเวินจิ้งเย็นชาขึ้น เมื่อได้ยินชื่อนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เมื่อกลับไปที่ห้องนอนข้างห้องนอนใหญ่ เวินจิ้งปิดประตูทันที
ตอนนี้คืออะไรกัน ผู้ชายคนนั้นจำอะไรไม่ได้นอกจากเธอคนเดียว ถึงได้ยิ่งเผด็จการและทำตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้เธออยากไปจากที่นี่ก็ทำไม่ได้ เรื่องหย่ายิ่งห่างไกลไม่รู้จะเป็นไปได้เมื่อไร
ตอนนี้ยิ่งน่าขันเข้าไปใหญ่ เธอต้องเห็นผู้หญิงคนนั้นมู่ซีกลับมาลอยหน้าลอยตา เอาอกเอาใจสามี “ในนาม” ของเธอทุกวัน
ตอนนั้นเธอคิดดีแล้วที่จะไม่เก็บเด็กคนนั้นไว้ก็จริง…แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ตั้งใจยั่วยุเธอ บางที…เธออาจไม่หวั่นไหวขนาดนั้น…
บางที เด็กคนนั้นอาจจะยังอยู่…
เธอจะไม่ยอมแพ้ ที่จริงเธอจะยอมแพ้ได้อย่างไรกัน…
……
วันรุ่งขึ้น เวินจิ้งถูกนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงปลุกให้ตื่น สายตาพร่ามัวมองเวลาบนนาฬิกา
เจ็ดโมงเช้าแล้ว ถึงเวลาต้องเรียกเขาตื่นนอน
เธอเปลี่ยนชุดนอนและอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็เดินไปทางห้องนอนใหญ่ แต่ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ หญิงสาววัยรุ่นสดใสก็เคาะประตูอย่างมีมารยาทแล้ว
เวินจิ้งรู้สึกว่า เธอต้องรำคาญผู้หญิงคนนี้ถึงขั้นสุดขอบโลกแน่ๆ เมื่อก่อนเธอเห็นผู้หญิงคนไหนที่ชอบมู่วี่สิงก็จะรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้ง
แต่เธอยืนนิ่งที่เดิม ไม่เดินเข้าไปตรงนั้น ไม่รู้เพราะอะไรจึงไม่เดินกลับไป
มู่ซีกลับไม่สังเกตเห็นว่าเวินจิ้งยืนอยู่ไม่ไกล หลังจากเคาะประตูครู่หนึ่งแล้ว เสียงอ่อนหวานก็พูดขึ้นอย่างมีมารยาท “พี่วี่สิง พี่ตื่นยังคะ ฉันจะเข้าไปนะคะ”
รออยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีเสียงตอบรับจากในห้องนอน มู่ซีค่อยๆเปิดประตูอย่างระมัดระวัง
ใบหน้ามู่วี่สิงสีเย็นชา หรี่ตามองไม่พอใจ “ออกไป”
มู่ซีมองเขาตาโตประหลาดใจ น้ำเสียงทั้งประหลาดใจและเสียใจ “พี่วี่สิง พี่จำฉันไม่ได้จริงๆ หรือคะ”
ชายหนุ่มจึงหรี่ตามองเธออีกครั้ง สีหน้านิ่งขรึมยิ่งขึ้น “เธอคือคนรับใช้ที่เวินจิ้งหามาหรือ”
เสียงของเขาสูงขึ้น น้ำเสียงแสดงความโมโหอย่างชัดเจน “เวินจิ้งหาผู้หญิงที่เหมือนเธอขนาดนี้มาอ่อยฉันหรือ”
แต่แรกเวินจิ้งคิดจะเดินกลับไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคนั้นก็ชะงักเท้า เม้มริมฝีปากบาง คิ้วที่ขมวดอยู่คลายลงบ้าง
มู่ซีมองชายหนุ่มหวาดกลัว กัดริมฝีปากน้อยใจ “ฉันไม่ใช่คนที่พี่สะใภ้หามา ฉันเป็นหลานสาวที่คุณปู่รับเลี้ยง และไม่ใช่คนรับใช้ด้วย”
สีหน้ามู่วี่สิงเริ่มผ่อนคลายลง แต่ยังคงไม่พอใจอยู่มาก “งั้นก็ออกไป หน้าที่ปลุกฉันมีแต่ผู้หญิงของฉันกับคนรับใช้ เวินจิ้งเป็นคนขี้หึง เธออย่าไปให้เขาเห็นหน้าล่ะ”
เวินจิ้ง:……
เธอเป็นคนขี้หึงตั้งแต่เมื่อไรกัน
เธอหันหลังกลับ เดินเข้าไปเงียบๆ
เธอยืนที่หน้าประตู สีหน้าเรียบเฉย หรี่ตามองมู่ซีที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดกับชายหนุ่มบนเตียง “ในเมื่อมีคนดูแลแล้ว งั้นก็ไม่ต้องการฉันแล้ว”
เธอพูดเสียงเรียบ “ใส่เสื้อผ้าอาบน้ำแล้วลงไปกินข้าวเช้าค่ะ”
“จิ้งจิ้ง” เธอยังไม่ทันหันหลังกลับไป เสียงเคร่งขรึมของชายหนุ่มก็ดังขึ้น “ผมเจ็บแผลที่อก คุณมาช่วยผมใส่เสื้อหน่อย”
คงกังวลว่าเธอจะปฏิเสธ เขาจึงสำทับอีกประโยค “ผมไม่ชอบผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาถูกเนื้อต้องตัว”
บาดแผลที่อกของเขา…เธอเองที่เป็นสาเหตุ
เวินจิ้งหันไปบอกมู่ซีที่กำลังจะขยับปากพอดี “เธอออกไปก่อนเถอะ”
มู่ซีก้มหน้าน้อยใจ “คุณปู่เป็นคนให้ฉันมาปลุกพี่วี่สิง…”
เวินจิ้งพูดเสียงเย็น “มู่ซีอย่าให้ฉันได้ยิน “พี่วี่สิง” หลุดออกมาจากปากเธออีก”
เธอฟังแล้วรำคาญหู เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองไม่มีสถานะจะห้าม แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องการสถานะอะไรแล้ว
เธอไม่อยากได้ยิน เหตุผลแค่นี้ก็มากพอ!
มู่ซีมองเธอตาโต “พี่สะใภ้…พี่ไม่ยอมยกโทษให้ฉัน…”
มู่วี่สิงรำคาญที่สุดตอนที่ผู้หญิงต่อล้อต่อเถียงกัน ยิ่งผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิงของเขาด้วยแล้ว ขณะนั้นใบหน้าเย็นชา “เธอไม่อยากอยู่บ้านตระกูลมู่หรือไง”
ถึงจะเป็นน้องสาวแท้ๆ มาอยู่ตรงนี้ก็ไม่แน่ว่าเขาจะจำอะไรได้ ยิ่งเป็นน้องสาวที่ไม่รู้มาจากไหนยิ่งแล้วใหญ่
มู่ซีไม่กล้าพูดมาก ได้แต่ก้มหน้ากระซิบเสียงแผ่ว “งั้นฉันออกไปช่วยเตรียมอาหารเช้าก่อน พวกพี่รีบลงไปนะคะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็ปิดประตู
เวินจิ้งเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อเชิ้ตผู้ชายออกมาตัวหนึ่ง คุกเข่าลงข้างเตียง สายตาของชายหนุ่มจับจ้องเธอตลอดเวลา
ใบหน้าหล่อเหลาแม้จะเรียบเฉย ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรมากมาย แต่ดวงตาคู่นั้นก็มีความคาดหวังและดีใจระคนกันอยู่ลึกๆ
เธอเองไม่รู้ว่าเขาคาดหวังเรื่องอะไรและดีใจเรื่องอะไร
“ที่รัก ช่วยผมถอดเสื้อผ้าหน่อย” เสียงของชายหนุ่มกดต่ำจนฟังดูเซ็กซี่ และยังไม่ลืมต่อท้าย “ผมเจ็บแผล”
เวลายกแขนอาจจะทำให้แผลที่หน้าอกตึง เวินจิ้งขมวดคิ้ว เธอยื่นมือไปปลดกระดุมเสื้อของเขา
ท่าทางของเธอเป็นธรรมชาติ ราวกับเคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ร่างกายของชายหนุ่มสั่นเบาๆ จ้องมองใบหน้าของเธอ พูดขึ้นเสียงแข็ง “คุณถอดเสื้อให้ หมอหยูบ่อยๆ หรือ”
ผู้ชายคนนี้หลังจากสูญเสียความทรงจำวิธีคิดช่างเรียบง่าย ในเมื่อเธอไม่รักเขาแล้ว การปฏิบัติเช่นนี้มีแต่ร่างกายบาดเจ็บเท่านั้นถึงจะเป็นไปได้ และเขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะบาดเจ็บบ่อยๆ เสียด้วย
เวินจิ้งกะพริบตา แล้วช้อนตายิ้มเยาะ พูดสบายๆ “คุณอยากรู้เรื่องนี้จริงหรือคะ”
เธอเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณอยากรู้ละเอียดแค่ไหนล่ะ”