บทที่ 733 เพราะเป็นแฟน
มู่ซีคิดไม่ถึงตอนนี้มู่วี่สิงเกลียดเธอยิ่งกว่าเก่า เห็นชัดว่าเขาจำอดีตไม่ได้ แต่ความเกลียดชังกลับรุนแรงมากขึ้น
เธอถึงกับรู้สึกว่า เขารังเกียจเธอ เพียงเพราะเวินจิ้งไม่ชอบหน้าเธอ ในเมื่อเขาไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับเธอแล้ว
เธอช้อนตา กระซิบ “ฉัน…”
ชายหนุ่มส่งสายตามา เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
มู่เฉิงขยับริมฝีปาก แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ในที่สุดบนโต๊ะรับประทานอาหารก็เงียบลง มู่วี่สิงก้มหน้ามองชามข้าวต้มที่อยู่ตรงหน้า ย่นคิ้วไม่ชอบใจ “ข้าวต้มอีกแล้วหรือ”
มู่ซีเพิ่งจะหยิบช้อนก็ถามเสียงเบา “พี่…คุณอยากกินอะไร ฉันทำให้ค่ะ”
ชายหนุ่มไม่สนใจเธอ มองแต่เวินจิ้ง สายตาเช่นนี้เหมือนไฟลุกโชน เธอถอนหายใจพูดกับเขา “แผลของคุณยังไม่หายสนิท กินอาหารมันมากไม่ได้ ตอนเช้ากินข้าวต้มเหมาะที่สุด พวกเราทุกคนกินเป็นเพื่อนคุณ ยังไม่พอใจอีกหรือคะ”
มู่วี่สิงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็คลายความหงุดหงิด ไม่บ่นอะไรอีกก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มแต่โดยดี
เวินจิ้งสังเกตเห็น ตั้งแต่สูญเสียความทรงจำมู่วี่สิงอารมณ์เสียง่ายขึ้น แต่ก็มีชีวิตชีวามากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นสามปีก่อน หรือสามปีให้หลังมู่วี่สิงที่เธอรู้จัก ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ หรือบางที นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา เพียงแต่เมื่อก่อนเขาเคยชินที่จะใส่หน้ากากเย็นชาเฉยเมยก็เท่านั้น
สีหน้ามู่วี่สิงซับซ้อนมองเวินจิ้ง ยังไม่ดึงสายตากลับ มือของชายหนุ่มก็ยื่นมาอีกครั้ง หยิบนมที่ตั้งข้างตัวเองส่งให้เธอ ใบหน้างดงามขมวดคิ้วไม่ค่อยพอใจนัก พูดขึ้นเสียงขรึม “สีหน้าคุณไม่ค่อยดี ต้องบำรุงหน่อย ดื่มนมสิ”
ตั้งแต่เธอแท้งก็ไม่ได้พักผ่อนบำรุงตัวเองเต็มที่ ช่วงที่ผ่านมาเขาอยู่โรงพยาบาลเธอก็คอยดูแลตลอด สีหน้าจะดีได้อย่างไร
หลังจากมู่วี่สิงกลับมาพักฟื้นที่บ้านตระกูลมู่ ก็มีบรรดาคนรับใช้ของตระกูลมู่ดูแล เวินจิ้งย่อมไม่ต้องลำบากมาก ค่อยพอมีเวลาว่างพักผ่อนเป็นส่วนตัวบ้าง
ช่วงที่ผ่านมา เธอแทบไม่ได้ทำอะไรที่ตัวเองอยากจะทำ
ตั้งแต่วันนั้นหยูจิ่งห้วนก็เงียบหายไป เธอลองติดต่อเขาก็ติดต่อไม่ได้ ได้แต่หวังว่าวันนั้นเขาจะขึ้นเครื่องบินไปแล้ว เขาคงหลุดพ้นจากตระกูลหยูได้แล้วหรือเปล่า
ถือว่าได้รับอิสรภาพ
เธอไม่อยากอยู่บ้านตระกูลมู่เผชิญหน้ากับมู่เฉิงและมู่ซีและไม่อยากอยู่สองต่อสายกับผู้ชายคนนั้น จึงออกจากบ้านแต่เช้า
ภายในร้านกาแฟเงียบสงบ เธอครอบครองที่นั่งมุมหนึ่งเพียงลำพัง ไม่สนใจแขกคนอื่น ไม่อ่านหนังสือ และไม่เล่นโทรศัพท์ เบื้องหน้าเธอไม่มีแล็ปท็อปวางเช่นกัน
นอกจากกาแฟหอมกรุ่นแก้วหนึ่ง เธอนั่งตรงนั้น ราวกับเพื่อนั่งตรงนั้นเท่านั้น
เจ้าของร้านเดินเข้ามาในร้าน ก็มองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งเงียบๆ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เธอนั่งตรงที่นั่งประจำของเขานั่นเอง
รู้สึกว่าใบหน้านั้นคุ้นตาไม่น้อย แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน
หยีเป่ยโจวหยุดยืนนิ่ง เบิกตามอง เมื่อมองจากมุมของเขา เห็นแต่ใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว เพราะเธอมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา
เธอดูเป็นผู้ใหญ่ ผมยาวสีดำเรียบลื่น ไม่สั้นไม่ยาวประบ่า ใบหน้าเรียวเล็ก สวมเสื้อสเวตเตอร์สีเทาเข้ม เสื้อทรงหลวมทำให้เธอดูผ่อนคลาย ยิ่งขับให้เธอดูบริสุทธิ์มากขึ้น
ไม่รู้เพราะอะไร รู้สึกว่าถ้าเธอยิ้มคงจะสวยมากแน่
“นั่งคนเดียวไม่เบื่อหรือครับ” เสียงมีเสน่ห์ดังขึ้นข้างตัว รอยยิ้มอ่อนโยนสบายๆ ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นมาก
เวินจิ้งชะงัก เมื่อหันหน้าไปมอง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนเบื้องหน้าเธอ เธอรู้สึกตัวทันที ขณะยิ้มตาหยี “อารมณ์ที่ชอบความน่าเบื่อก็ไม่เลวค่ะ”
“อย่างนั้นผมรบกวนอารมณ์ของคุณหรือเปล่า” สายตาของชายหนุ่มมีรอยยิ้ม “ผมชื่อหยีเป่ยโจว เป็นเจ้าของร้านนี้”
เวินจิ้งผงกศีรษะนิดนึง ไม่คิดจะสานต่อบทสนทนา
“คุณทำงานแถวนี้หรือครับ” เขาถาม
เวินจิ้งงุนงงนิดหนึ่ง ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้ทำงานนานแล้วค่ะ”
หยีเป่ยโจวประหลาดใจ เมื่อดูการแต่งตัวของหญิงสาว ถึงแม้จะไม่ใช่แบรนด์เนมทั้งตัว แต่ดูแล้วรสนิยมไม่ธรรมดา และยังรูปลักษณ์โดดเด่น ดูท่าแล้วน่าจะเป็นคนหนูในตระกูลร่ำรวย
เวินจิ้งก้มหน้าจิบกาแฟ เลียริมฝีปากนิดหนึ่ง ลิ้มรสชาติ กะพริบตามองหยีเป่ยโจว “หลายวันมานี้ฉันไปดื่มกาแฟหลายร้าน ฉันชอบกาแฟร้านของคุณมากที่สุด ช่วยสอนฉันชงได้ไหมคะ ฉันยินดีจ่ายค่าเรียนค่ะ”
หยีเป่ยโจวยิ้ม “ถ้าคุณไม่ยุ่ง ก็มาช่วยที่ร้านได้ ถือเสียเป็นค่าเรียนละกันครับ”
เวินจิ้งนั่งที่ร้านกาแฟจนถึงพลบค่ำ เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะดังขึ้น เธอเหลือบมองหน้าจอ ยิ้มเป็นเชิงขอโทษให้หยีเป่ยโจว แล้วรับสายนั้น
“คุณอยู่ไหน” เสียงปลายสายคือเสียงเคร่งเครียดของมู่วี่สิง
เธอตอบโดยไม่ใส่ใจนัก “นั่งเล่นข้างนอก”
นิ้วเรียวของหญิงสาวเคาะโต๊ะโดยไม่ตั้งใจ “ฉันจะกลับไปกินข้าวเย็นค่ะ”
มู่วี่สิงไม่เห็นเธอทั้งวันก็รู้สึกกังวลมาก ถ้าหากมู่เฉิงไม่บอกว่าเมื่อก่อนเวินจิ้งไม่ชอบให้เขาเผด็จการควบคุมมากเกินไป เขาคงส่งคนไปรับเธอนานแล้ว คงไม่รอจนป่านนี้ถึงโทรศัพท์หาเธอ
“คุณอยู่ไหน ผมจะส่งคนไปรับ” เขาพยายามระงับอารมณ์โกรธเต็มที่
ทีแรกนึกว่าเวินจิ้งจะปฏิเสธ จนเตรียมตัวที่จะรับอารมณ์โกรธของเธอ นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวเพียงตอบรับง่ายๆ และบอกที่อยู่ให้
วางสายแล้ว หยีเป่ยโจวถามยิ้มๆ “คุณพ่อหรือครับ”
เวินจิ้งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ไม่ใช่แน่นอนค่ะ”
ถ้าไม่ใช่พ่อของเธอ…คือแฟนงั้นหรือ
สายตาของหยีเป่ยโจวฉายแววผิดหวังอยู่ลึกๆ แต่ไม่ได้แสดงออก ศีรษะของเวินจิ้งพิงพนักโซฟา สายตามองผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท้องถนนด้านนอก
สิบนาทีต่อมา รถยนต์เบนท์ลีย์หรูหราขับเข้ามาจอดที่หน้าประตูร้านกาแฟ
เวินจิ้งหยิบมือถือขึ้นมา “ฉันไปก่อนค่ะ ขอบคุณสำหรับกาแฟ และขอบคุณที่อยู่คุยเป็นเพื่อนค่ะ”
หยีเป่ยโจว ยิ้มบางๆ “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
เมื่อมองผ่านกระจก เขาเห็นเธอเดินไปที่ข้างรถ ผู้ชายที่ดูเหมือนคนขับรถรีบเปิดประตูรถด้านหลังให้อย่างสุภาพ จากนั้นเธอก็ขึ้นรถไป
ขณะที่เขายังใจลอย ก็มีเสียงดังขึ้นทางด้านหลัง “ไม่ต้องมองแล้ว ถ้านายดูสไตล์ของเธอแล้วยังดูไม่ออก ก็ดูรถคันนั้นเธออยู่สูงเกินกว่านายจะปีนไหว…หญิงสาวอายุน้อยอย่างนี้ คงเป็นกิ๊กที่เศรษฐีเลี้ยงไว้นั่นล่ะ”
หยีเป่ยโจวแย้งโดยอัตโนมัติ “บางทีอาจเป็นพ่อของเธอส่งคนมารับ”
“สมัยนี้ยังมีพ่อกำหนดให้ลูกสาวต้องกลับบ้านไปกินข้าวหกโมงตรงหรือไง
ในดวงตาของเธอมีประกายอ่อนๆ มองไม่เห็นความรักและเกลียดลึกซึ้งนัก แต่ก็ทำให้คนรู้สึกว่าชีวิตของเธอมีเรื่องราว