บทที่ 759 เธอแบกรับความเสียสละของเขาไม่ไหว
มู่วี่สิงนิ่งไปสักพัก ก่อนจะชักเท้าเดินกลับไปด้านหลัง และรีบปิดประตูห้องพักฟื้นทันที
เมื่อเวินจิ้งกลับมาที่เตียงอีกรอบ เธอหันไปถามเขาเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ทำไมเรื่องสำคัญขนาดนี้เขาถึงไม่บอกเธอ?
“ไม่มีอะไรหรอก หลิงเหยาพยายามที่จะยัดข้อหาให้คุณเป็นคนฆ่า เธอมีอำนาจของตระกูลหลิงหนุนหลัง ดังนั้นตอนนี้มันก็เลยยุ่งยากไปหน่อย”
ถึงแม้มู่วี่สิงจะพูดกระชับเข้าใจง่ายแค่ไหน แต่เธอก็ไม่เข้าใจสักที
มืออบอุ่นของมู่วี่สิงกำลังช่วยคลึงระหว่างคิ้วที่กำลังขมวดของเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ผมไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรกับคุณแน่ๆ”
เวินจิ้งเงียบ ไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน
ในตอนนั้นที่หลิงเหยาหุนหันพลันแล่นแบบนั้น เธอก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความผิดของหลิงเหยา แต่ทำไมคนที่ทำผิดถึงต้องเป็นเธอ?
ตอนนี้ตระกูลหลินตกต่ำลงแล้ว คนที่เธอจะพึ่งพาได้ ก็มีแค่ มู่วี่สิง
เธอยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนหันไปมองยังมู่วี่สิง “ฉันรู้ว่าคุณจะช่วยฉัน แต่ฉันไม่ต้องการความเสียสละของคุณ ฉันรับมันไม่ไหวหรอก มู่วี่สิง ได้โปรดจำไว้”
วินาทีถัดมา คางบอบบางของเธอก็ถูกเขาบีบแน่น ดวงตาของชายคนนั้นเอ่อล้นไปด้วยความขุ่นเคือง “เวินจิ้ง ทำไมถึงพูดว่ารับความเสียสละของผมไม่ได้? ทำไม?”
เขาเป็นสามีของเธอ ส่วนเธอคือภรรยาของเขา เป็นคนที่เขารักมากที่สุด ไม่ว่าเธอจะขอร้องเรื่องอะไร เขายินดีทำให้ทุกอย่าง
แต่ตอนนี้เธอพูดแบบนี้ รับความช่วยเหลือของเขาไม่ได้
เขาคิดว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขามันค่อยๆดีขึ้น
ในที่สุดเธอก็ยอมรับแหวนของเขาแล้ว รับจูบของเขา เริ่มที่จะพึ่งพาเขาเหมือนเคย เหมือนสามปีก่อนที่เคยอยู่ด้วยกันแบบนั้น
ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาวูบหนึ่งมีความเจ็บปวดฉายชัดออกมา ก่อนที่เขาจะพูดต่อ “ความหมายของผมง่ายมาก ถ้าหากวันนี้คุณสูญเสียอะไรไป เพราะผม หากทีหลังผมจากคุณไป งั้นคุณก็ไม่ขาดอะไรไปมากแล้ว”
เขาจ้องมองใบหน้าซีดเซียวของเธออยู่นานก่อนจะยิ้มกับตัวเอง เสียงทุ้มพูดขึ้น “เวินจิ้ง ดูเหมือนคุณจะมั่นใจมากว่าผมรักคุณมาก ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหรือจะพูดอะไรผมก็จะยังรักคุณมาก”
ดวงตาของเธอสั่นระริก “ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น”
เขาโอบเอวของเธอไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธเธอ แต่กลับออกห่างจากเธอ ทำตัวไม่สนิทสนมไม่ได้ “หากคุณคิดแบบนั้นได้ เพราะผมก็เป็นแบบนั้นแหละ”
จูบลงบนแก้มเธอ “จิ้งจิ้ง อย่าพูดแบบนี้กับผมอีกได้ไหม ผมเสียใจนะ”
เธอนิ่งแข็งไม่ขยับตัวอยู่ภายใต้อ้อมอกเขา
ความรู้สึกอบอุ่นทำให้ใจเธอสั่นสะท้าน
เธอนึกว่าเธอแสดงความรู้สึกของเธอออกไปอย่างชัดเจนแล้ว สองปีให้หลังนี้เธอยังคงจะไปจากเขา ความคิดนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
เธอไม่ได้โทษเขา ไม่ได้เกลียดเขา แต่แค่ไม่อยากที่จะรบกวนเขาต่อไป และไม่ยินยอมอย่างยิ่งที่จะมีอะไรติดค้างกับเขา
เมื่อมีหนี้บุญคุณระหว่างคนสองคน ก็จะยิ่งมีแต่ความพัวพันที่คลุมเครือไม่จบสิ้น
มู่วี่สิงไม่ได้บอกรายละเอียดที่ชัดเจนของเรื่องนี้แก่เธอ เวินจิ้งก็เลยเปิดเน็ตหาเองในโทรศัพท์มือถือ เธอเลื่อนดูทีละข่าว
วันนั้นทำไมอั้ยเถียน ถึงส่งข้อความมาหาเธอ ตอนนี้นับว่าชัดเจนแล้ว เบอร์ของเธอถูกแอบเอาไปใช้ ดังนั้นเธอเลยได้รับข้อความจากอั้ยเถียน หรือแท้ที่จริงอั้ยเถียนไม่ได้มาที่เมืองหนานด้วยซ้ำ
ส่วนใครแอบนำเบอร์อั้ยเถียนมาใช้นั้น… …
เธอก็ไม่รู้ว่าจะใช่หลิงเหยาหรือเปล่า
สถานการณ์ตอนนี้ ไม่มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดจากลานจอดรถ ไม่มีพยาน กระทั่งดีเอ็นเอของหลิงเหยาหรือลายนิ้วมือ ทั้งหมดโดนลบไปอย่างหมดจด
เธอจ้องไปที่มือถือ ก่อนยิ้มอย่างเย็นชา มิน่ามู่วี่สิงถึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเธอ ที่เกิดเหตุมีคนตายหนึ่งคน ตลอดจนมีแค่เธอคนเดียวที่อยู่ตรงนั้น รถที่ชนก็เป็นรถของเธออีก
ถ้าไม่ใช่เธอ ผีก็คงทำ
… …
คดีฆาตกรรมนี้ในเมืองหนานกลายเป็นที่รู้จักและพูดถึงไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเวินจิ้ง ภรรยาของมู่วี่สิง ซึ่งเป็นตัวเอกของเหตุการณ์นี้
ทันทีที่เวินจิ้งออกจากโรงพยาบาลหมายศาลก็มาถึงเธอ ส่วนวันขึ้นศาลก็ใกล้เข้ามาทุกที
ข้างนอกศาลฝูงนักข่าวขนาดใหญ่ก็ได้มาหลั่งไหลเข้ามาราวกับสายน้ำ ทันทีที่รรถเบนท์ลีย์สีดำหยุดลง เหล่าผู้สื่อข่าวก็รีบยกไมโครโฟนขึ้นมาเพื่อสัมภาษณ์
เวินจิ้งอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม บนหน้าผากของเธอยังคงมีผ้าพันแผลพันไว้อยู่ บนกายสวมเสื้อสเวตเตอร์สีเข้มตัวโคร่ง ร่างกายส่วนใหญ่อยู่ในอ้อมแขนของมู่วี่สิงแทบทั้งหมด
โดยไม่ต้องรอให้นักข่าวมีโอกาสเข้ามาถามคำถาม บอดี้การ์ดหลายสิบคนในรถรีบลงมาแยกทุกคนอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามได้มีโอกาสเข้าใกล้เวินจิ้ง
มู่วี่สิงปฏิเสธที่จะให้ผู้สื่อข่าวทุกคนเข้าฟังคดีนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงยืนอออยู่ข้างนอก คิดหาโอกาสที่จะได้ข่าวเพียงเล็กๆน้อยๆจากข้างใน
เมื่อเวินจิ้งรีบเดินกลับไปยังรถที่จอดไว้ เสียงเศร้าสลดจากกลุ่มคนลอยดังเข้ามากระทบโสตประสาทของเธอ เสียงนั้นดังมาอย่างชัดเจนจากหน้าประตูศาลท่ามกลางเสียงจอแจตรงนั้น
“เวินจิ้ง หยุดอยู่ตรงนั้น!”
เวินจิ้งชะงักฝีเท้า หันกลับไปอย่างเย็นชา หญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปี รอบตัวแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์เดินตรงมาหาเธอ
สิ่งที่เธอรู้สึกตลกมากก็คือ ตรงหน้าเธอคาดไม่ถึงเลยว่าคือหลิงเหยา
เพราะว่ามีมู่วี่สิงบดบังอยู่ข้างหน้า ดังนั้นพวกเธอจึงเข้าไม่ถึงเธอ ทว่าเธอกลับเดินออกมาเผชิญหน้าด้วยตัวเอง มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ก่อนเดินขึ้นไปอยู่ข้างๆเธอ
ผู้หญิงตรงหน้าเธอคือส้งลี่มารดาของหลิงเหยา มารดาของหลิงฉิงได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว ดังนั้นคนที่เลี้ยงหลิงฉิงมากับมือคือส้งลี่
“คุณหญิงหลิง” เวินจิ้งยืนอย่างสงบนิ่ง ท่าทางเธอไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่อ่อนน้อมจนดูต้อยต่ำ
ส้งลี่โกรธจนตัวสั่นเมื่อมองไปยังเวินจิ้ง “เวินจิ้ง ทำไมเธอถึงได้โหดร้ายถึงเพียงนี้ พวกเราตระกูลหลิงสนับสนุนตระกูลหลินมาโดยตลอด แต่ตอนนี้พวกเราไม่ได้ติดหนี้พวกเธอแล้ว เธอเกลียดชังอะไรหลิงฉิงนัก ถึงได้ขับรถชนเขาจนตายแบบนี้!”
เธอพึมพำ ก่อนที่โผเข้ามาหาเวินจิ้งอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง การกระทำขาดสติแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวัง หลิงเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆเข้ามาขวางได้ทัน “แม่ ใจเย็นหน่อย อย่าวู่วาม”
เวินจิ้งยังคงยืนเฉยๆ ลูกน้องของมู่วี่สิงมีความเป็นมืออาชีพมาก ผมเส้นเดียวของเวินจิ้งเธอก็ไม่ได้แตะ
เธอขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “คุณนายหลิง ได้โปรดอย่าเศร้าเลยค่ะ”
ส่งคนหนุ่มไปสวรรค์ก่อนตัวเอง เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจที่สุดในโลก
หลิงฉิงผู้ล่วงลับเป็นผู้บริสุทธิ์ เธอก็เป็นผู้บริสุทธิ์ คุณนายหลิงก็ยิ่งเป็นผู้บริสุทธิ์
“เธออย่ามาตีหน้าเซ่อที่นี่” ส้งลี่ตะโกนใส่เธออย่างน่าตกใจ “เมื่อก่อนฉันรักเธอราวกับเป็นลูกตัวเอง ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนจิตใจเลวทรามแบบนี้ หลิงฉิงเป็นสายเลือดของตระกูลหลิง ครั้งนี้ฉันจะไล่ล่าพวกเธอให้ถึงที่สุด จะให้เธอชดใช้ด้วยชีวิต!”
เวินจิ้งมองหญิงตรงหน้าด้วยความตะลึง หัวใจเธอเหมือนถูกแทง ก้าวไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว มู่วี่สิงสังเกตเห็นท่าทางของเธอ จึงกระชับแขนโอบเธอแน่น
เธอฝืนยิ้มก่อนพูด “พวกเราไปเถอะ”
มู่วี่สิงชำเลืองมองไปยัง ส้งลี่ ที่ท่าทางของเธอราวกับจะแตกสลายรอมร่อ ก่อนจะหยุดสายตาไปที่หลิงเหยา สายตาแบบนั้นที่ทำให้เธอหนาวเหน็บจนเข้ากระดูก