บทที่760 ไม่เคยสงสัยอะไรในตัวเธอ
มู่วี่สิงกอดเวินจิ้งก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว
เธอจับไปที่มือของเขาที่กำลังโอบเอวของเธออยู่อย่างแน่นโดยไม่รู้ตัว มู่วี่สิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องสนพวกนั้นหรอก โอเคไหม?”
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นหญิงวัยกลางคนที่เสียหลานชายไป ผู้น่าสงสารคนนั้น เธอกล้าที่จะโกรธเวินจิ้งแบบนั้นต่อหน้า เขาจะทอดทิ้งเธอได้อย่างไร
มือของเวินจิ้งเย็นเฉียบ “ฉันเศร้าจริงๆ”
เธอเงยหน้าขึ้นไปมองคางที่เคร่งขรึมแต่ดูมั่นคงของเขา พึมพำเบาๆ “เมื่อก่อนฉันกับคุณหญิงหลิงสนิทกัน เธอปฏิบัติกับฉันอย่างดีมาตลอด ถึงแม้ฉันจะไม่ยอมรับหลิงอี้ แต่เธอก็ยังคงอวยพรให้ฉันมีความสุขเสมอ”
แต่ว่าตอนนี้ หล่อนเกลียดเธอเข้ากระดูกดำไปเสียแล้ว
คนที่ทำดีกับเธอ เธอจะจดจำได้ดีเสมอ เธอไม่จำเรื่องราวที่ไม่ดีพวกนั้น แต่เรื่องราวที่สวยงามเหล่านั้น ควรค่าแก่การที่เธอจะถนอมมันไว้
“ฉันรู้สึกว่าเธอน่าสงสารจริงๆ ตั้งแต่เด็กหลิงฉิงอยู่ข้างกายเธอจนโต จนนับได้ว่าจะเป็นลูกอีกคนหนึ่งของเธอไปแล้ว”
เวินจิ้งกัดริมฝีปาก เสียงเธอเบาลง “ถ้าหากไม่ใช่ฉัน เขาคงไม่มาตายแบบนี้”
“อย่าพูดเหลวไหล!” มู่วี่สิงพูดตัดบทเธอโดยไม่ต้องติด น้ำเสียงเขาหนักแน่นกว่าที่เคย “การตายของหลิงฉิงไม่เกี่ยวกับคุณ จิ้งจิ้ง โปรดจำไว้”
แต่ไหนแต่ไรมาเธอเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมาโดยตลอด แต่เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น เธอก็มักจะโทษตัวเองเสมอ
เวินจิ้งหยุดชะงัก พยายามฝืนยิ้มบางๆ
ชั่วครู่หนึ่ง เธอใช้นิ้วปัดผ่านเบาๆไปที่แขนของเขา พลางพูดเสียงเบา “มู่วี่สิง ขอบคุณนะที่เชื่อฉันมาโดยตลอด”
ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร แค่คำเดียวเขาก็เชื่อ ถึงแม้ว่าหลักฐานทั้งหมดจะกล่าวหาว่าเธอเป็นคนทำ เขาก็ไม่เคยสงสัยอะไรในตัวเธอเลย
ถึงแม้ว่าคนภายนอก จะเห็นว่าเธอเป็นคนที่ฆ่าไปแล้ว
มู่วี่สิงก้มลงไปกดจูบบนใบหน้าเธออย่างแรง “ผมอยากได้ยินคุณพูดว่ารักผมมากกว่า”
เขาไม่เคยต้องการคำขอบคุณของเธอเลย ไม่เลย
เวินจิ้งเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำ
ศาลประชาชนเมืองหนาน
มู่วี่สิงนั่งฟังอยู่ข้างๆ เขานั่งอยู่แถวแรกสุด ใบหน้าหล่อเหลาหม่นหมอง ฉายชัดถึงความเครียดลึกๆ
ดวงตาลึกล้ำจ้องมองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงฝั่งจำเลยอย่างไม่วางตา
คิ้วและดวงตาของเธอสะอาดสวยงาม บางครั้งเขาก็อดคิดถึงรอยยิ้มที่บางคราก็เงียบสงบ หรือบางคราก็ซุกซน คิ้วโก่งสวยของเธอ สวยจนทำให้ผู้คนหลงใหล
ผู้หญิงที่เขารักมากคนนี้ ควรที่จะยิ้ม หัวเราะ ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจ
ส้งลี่นั่งอยู่ที่นั่งฝั่งโจทก์ ดวงตาของเธอแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เธอหันไปมองตาเวินจิ้ง เกลียดเธอมากจนอยากจะถลกหนังของเธอออกมา
“จำเลย เมื่อวันที่12 เดือน12 ปี2019 เวลาบ่ายสอง คุณรับสารภาพหรือไม่ว่าคุณจงใจที่จะขับรถชนนายหลิงฉิง จนเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ความตาย”
เวินจิ้งนั่งอย่างสงบที่ฝั่งจำเลย ดวงตาของเธอยังเย็นชา
“ดิฉันไม่ได้จงใจชนนายหลิงฉิง ดิฉันไม่ได้ขับรถคันนั้น คนที่ขับไปชนก็ไม่ใช่ดิฉัน”
หลิงอี้และหลิงเหยานั่งอยู่อีกฝั่ง สีหน้าของหลิงเหยาสงบสุขุม สงบจนมองไม่เห็นความผิดปกติอะไรทั้งนั้น
ทนายความของโจทก์ยืนอยู่กลางศาล เขายิ้มและพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “จำเลย ทุกคนรู้ว่าในสถานที่เกิดเหตุมีเพียงคุณกับผู้ตาย รถคันที่ก่อเหตุก็เป็นรถของสามีคุณ วันนั้นคุณขับรถมาที่จุดเกิดเหตุ เพราะว่าหลังคุณลงมาจากรถ ผู้ตายขับรถได้ขับรถชนคุณ ดังนั้นคุณจึงบันดาลโทสะกลับขึ้นไปยังรถ ก่อนขับมาชนเขา”
“วันนั้นในจุดเกิดเหตุไม่ได้มีแค่ฉันกับหลิงฉิง”
เวินจิ้งพูดอย่างใจเย็น ตลอดจนกระทั่งสายตาของเธอก็สงบนิ่ง
“ยังมีลูกสาวคนรองของตระกูลหลิงอยู่ด้วย วันนั้นหลิงเหยามาดักรอฉันก่อนที่ลานจอดรถ”
น้ำเสียงของทนายความฝ่ายตรงข้ามเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “แต่ไม่มีร่องรอยของคุณหลิงในที่เกิดเหตุ”
เวินจิ้งยิ้ม “ร่องรอยสามารถถูกจัดการให้หายไปได้ ไม่ใช่หรือคะ?”
“เนื่องจากหลักฐานได้ถูกลบไปแล้วจึงไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ เลยยิ่งไม่สามารถบอกได้ว่ามีบุคคลที่สามอีกในจุดเกิดเหตุ”
เวินจิ้งยิ้ม เม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ข้าแต่ศาลที่เคารพ”ครู่หนึ่ง ทนายฝั่งจำเลยที่เงียบอยู่นานได้พูดขึ้นมา “ผมยื่นหมายศาลเรียกให้คุณหลิงมาร่วมในการตัดสินคดีในวันนี้ด้วย วันเกิดเหตุลูกความของผมเสียเลือดมากซ้ำยังหมดสติไป ภายในเวลานั้นบุคคลที่สามจึงมีโอกาสที่จะจัดการลบหลักฐานในจุดเกิดเหตุ ก่อนจะหลบหนีไป”
เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ถ้าหากว่าลูกความผมเจตนาที่จะขับรถไปชน แล้วทำไมตัวเองถึงได้บาดเจ็บจนสลบไปเหมือนกันล่ะครับ?”
ผู้พิพากษาพยักหน้า “เห็นด้วยกับทนายของจำเลย”
หลิงเหยาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เดินตรงไปยังที่นั่งของพยานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แค่หางตาก็ไม่เหลือบไปมองยังเวินจิ้ง
เธอหยิบยกเหตุผลที่เธอไม่ได้อยู่ในจุดเกิดเหตุขึ้นมาพูด ดูเหมือนว่าจะเตรียมการมาเป็นอย่างดี
เวินจิ้งมองตรงไปข้างหน้าอย่างสงบ ทว่าดวงตาของเธอกลับยิ่งเย็นเยือกขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนั้นเองที่ทนายฝ่ายจำเลยของเวินจิ้งขยับเข้ามาใกล้ เธอกระซิบอะไรสักอย่างกับทนาย ทันใดเขาก็ยกยิ้มขึ้น “ข้าแต่ศาลที่เคารพ ฝั่งของผมได้พยานคนใหม่มาแล้ว ขออนุญาตนำตัวมา”
หลิงเหยากำมือแน่น มองไปยังชายหนุ่มที่นั่งฟังเงียบๆอยู่ที่ที่นั่ง เขายังคงมองไปที่เวินจิ้ง แววตายากที่จะหยั่งรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไร
ข้างกายเขามีลี่หนานเฉิงนั่งอยู่ด้วย แถวข้างหลังคือคนตระกูลมู่ มู่เฉิง กระทั่งมู่ซีก็มาด้วย
พยานที่เดินเข้ามา คือชายชราอายุราวหกสิบปี
นอกจากนี้ได้มีเอกสารข้อมูลชุดหนึ่งถูกส่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ข้าแต่ศาลที่เคารพ พยานคนนี้เป็นผู้ดูแลลานจอดรถแห่งนั้น เขาสามารถยืนยันได้ว่าวันนั้นที่จุดเกิดเหตุยังมีอีกคนหนึ่งนอกจากจำเลยและผู้ตาย”
สีหน้าของหลิงเหยาเปลี่ยนไป เป็นไปไม่ได้ วันนั้นตอนที่เธอขับเข้าไปในลานจอดรถ ชายแก่คนนั้นยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับอีกคนนี่ ไม่ได้สนใจเธอแน่นอน
คือ มู่วี่สิง
เธอค่อยๆกำมือแน่น ไม่คิดมาก่อนว่ามู่วี่สิงจะพยายามทำทุกอย่างให้เวินจิ้งพ้นข้อกล่าวหา ชายชราคนนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเคยเจอเธอวันนั้นแน่นอน เขาแสดงได้เก่งจริงๆ
“วันนั้นฉันไม่ได้อยู่ที่จุดเกิดเหตุ ฉันกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหาร” หลิงเหยาตอบกลับอย่างเย็นชา
เธอหันไปมองพี่ชายที่นั่งฟังอยู่ สายตาที่มองกันเป็นอะไรที่คนนอกมองไม่เข้าใจ
ไม่นานนัก ผู้ช่วยทนายความของโจทก์ก็เดินลงมา หลิงอี้หยิบซองเอกสารที่ตั้งอยู่ข้างกายเขาให้ไป เวินจิ้งเห็นได้ชัดเจน ภายในเสี้ยววินาทีนัยน์ตาของเขาเผยความลังเลออกมา
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ดวงตาเขามืดลงทันทีที่ได้ฟังว่าหลิงอี้ยังคงมีหลักฐานอีก รู้สึกได้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
นอกจากกล้องวงจรปิดในจุดเกิดเหตุ ยังจะมีหลักฐานอะไรอีก?
และถ้าหากว่าภาพในกล้องวงจรนั้นถูกหามาได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อเวินจิ้ง ไม่รู้ว่าผู้ช่วยพูดอะไรกับทนายของโจทก์ข้างหู มู่วี่สิงเห็นสีหน้าของทนายคนนั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นดีใจ คล้ายกำชัยชนะไว้ในมือ
ปลายนิ้วที่เคาะบนเข่าพลันหยุดลง