บทที่ 768 คุณจะแต่งงานกับหญิงอื่นเหรอ
เวินจิ้งตกใจ พูดพึมพำขึ้น “คุณจะแต่งงานกับหญิงอื่นเหรอ”
นิ้วนางข้างซ้ายของเธอยังคงสวมแหวนที่ประณีตและเรียบง่าย
นิ้วมือข้างขวาของเธอปกปิดแหวนเพชรที่ระยิบระยับอยู่บนนิ้วมือข้างซ้ายของเธอ ดวงใจช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
จินตนาการภาพที่มู่วี่สิงแต่งงานอีกครั้ง เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ผู้ชายได้เดินไปถึงประตูแล้ว เพียงแค่หมุนตัวเขาก็จะหายลับไปทันที
“เวินจิ้ง คุณวางใจได้ ผมไม่ล้มลงแบบนี้อย่างแน่นอน และไม่ทำตัวให้เวทนาเพียงเพราะต้องสูญเสียคุณไป และยิ่งไม่มีทางเป็นเพราะคุณแล้วไม่แต่งงานใหม่”
แบบนี้ถึงจะทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
นี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายสำหรับการหย่าที่เขามอบให้กับเธอ
หยดน้ำตาอุ่นๆได้ไหลลงกระทบลงเพชรที่โปร่งใส
ลู่เซิ่นได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขณะที่เดินไปได้เหลือบมองเวินจิ้งแวบหนึ่ง “หยุดร้องได้แล้ว เขาไม่ต้องการคุณแล้ว”
ผู้หญิงคนนี้ชอบร้องไห้มากกว่าลู่โยวโยว อีกทั้งเวลาร้องไห้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่า
เวินจิ้งเงยหน้าขึ้น จ้องเขม็งเขาอย่างดุเดือด
ลู่เซิ่นรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างไร้เดียงสาจริงๆ พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย “ถ้าหากว่าเขายังรักคุณ ต้องการจะรั้งคุณไว้ เขาคงต้องแสดงออกมาอย่างน่าเวทนา ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจบความสัมพันธ์กับคุณ และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจความสุขของคุณอีก คุณจะร้องไห้อีกทำไม”
เวินจิ้งรู้สึกว่าวิธีคิดของชายคนนี้น่าแปลกจริงๆ “สมองของคุณจะปกติหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
คำพูดของชายคนนี้เป็นระบบระเบียบ ทำให้เธอยิ่งรู้สึกอึดอัดรำคาญ
จิตใจเธอตอนนี้ย่ำแย่มาก คำพูดที่พูดออกจึงอาจจะโหดร้ายไปนิด “ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะ คุณอย่ามาคำก็ว่าที่ภรรยาสองคำก็ว่าที่ภรรยา ผู้ชายทึ่มๆอย่างคุณหล่ออย่างเดียวจะมีประโยชน์อะไร ฉันไม่ชอบคุณ และยิ่งไม่มีทางจะแต่งงานกับคุณ คุณเปลี่ยนใจซะเถอะ”
ลู่เซิ่นมองหญิงสาวตรงหน้าที่ไม่รู้จักว่าอะไรดีไม่ดี “เพราะฉะนั้นความหมายของคุณก็คือผมนั้นสู้ไม่ได้กับอดีตสามีคุณงั้นสิ”
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้กุมอำนาจตระกูลลู่ คนใหญ่คนโตของห้างสรรพสินค้าที่มีอยู่ทั่วสารทิศ
เวินจิ้งไม่อยากจะสนทนาเรื่องไร้สาระกับเขาอีก จึงนิ่งไปชั่วขณะ และเธอก็ถามขึ้นอย่างกระวนกระวายใจว่า “มู่วี่สิงไม่เป็นอะไรจริงๆใช่ไหม”
ลู่เซิ่นที่ยังคงอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดจากการถูกเปรียบเทียบได้ตอบอย่างห้วนๆว่า “ผีคงรู้มั้ง”
สิ้นประโยค เขาได้เดินนำไปข้างหน้าแล้ว “ยังไม่ไปเหรอ พี่ชายเธอกำลังรอเธอช่วยเหลืออยู่นะ”
พี่ชาย…..เวินจิ้งกัดริมฝีปาก แล้วก็เดินตามออกไป
…..
ณ การ์เด้นมูเจียวาน
ทันทีที่เวินจิ้งเดินเข้ามา ก็เห็นหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมสีขาวนั่งยองๆอยู่ข้างๆโต๊ะกาแฟ กำลังจัดเก็บกล่องยา ตัวดำๆที่นอนอยู่ข้างๆคือมู่เสี่ยวเฮย
บางทีอาจเพราะได้กลิ่นตัวเธอ จากที่นอนอย่างขี้เกียจก็ลุกขึ้นสะบัดขนดุ๊กดิ๊กส่งเสียงร้องเห่า แล้ววิ่งมาถูไถอยู่ที่เท้าของเธอ
เวินจิ้งดีใจย่อตัวยองๆแล้วอุ้มมันขึ้น ใช้มือลูบหลังที่ขนนุ่มนิ่มไปมา พูดด้วยความเอ็นดูว่า “ก็เห็นอยู่ว่าตัวโตขึ้น แต่ทำไมถึงยังผอมเช่นนี้”
แพทย์สาวยิ้มให้พร้อมกับลุกขึ้น ที่ไหล่สะพายกล่องยา “คุณนายมู่คะ ช่วงนี้คุณไม่ได้อยู่บ้าน คุณมู่ก็ไม่ค่อยอยู่บ้านเสี่ยวเฮยจึงคิดถึงจนไม่เป็นอันจะกิน ถึงได้ผอมลงค่ะ แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากนะคะ คุณวางใจได้เลยค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ” เวินจิ้งยิ้มขอบคุณ “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ”
“ดิฉันชื่อมู้ชิง ในครึ่งเดือนที่ผ่านมาดิฉันได้ช่วยดูแลตั้งหลายครั้งเลยนะคะ”
เห็นรอยยิ้มของมู้ชิงทำให้รู้สึกสบายใจ “ตอนนี้คุณได้กลับมาแล้ว มันก็คงจะไม่เป็นอะไรแล้ว ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกใช้ดิฉันได้เลยนะคะ”
“ค่ะ” เวินจิ้งเงยพูดกับป้าหลี่ “ไปส่งหมอมู้หน่อย”
เธออุ้มมู่เสี่ยวเฮยไว้ หน้ารูปไข่ลูบไล้ไปมากับขนที่ปุยนุ่นของมัน กลับมองเห็นใบหน้าที่รังเกียจของลู่เซิ่นยืนอยู่ข้างๆ “นี่เป็นสุนัขพันธุ์อะไร”
เวินจิ้งไม่ได้สนใจเขา และมุ่งเดินตรงไปที่ห้องนอน
ผ้าม่านถูกดึงออก ผ้าปูที่นอนที่อยู่บนเตียงดูเรียบเป็นระเบียบ เหมือนกับตอนที่เธอจากไปเมื่อเดือนก่อน ราวกับว่าเขานั้นไม่ได้มานอนค้างคืนที่นี่
อันที่จริงก็ไม่มีสิ่งของที่ต้องเก็บ เวินจิ้งหยุดชะงักจ้องดูเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ เสื้อผ้าสักชิ้นก็ไม่ได้หยิบไป
สักพัก เธอก็ไปที่ห้องหนังสือ โคมไฟได้ทับแผ่นใบหย่าไว้ ยังมีหนังสือของเธอที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะหนังสือ
เธอค่อยๆหยิบกระดาษบางๆแผ่นนั้นขึ้น
ตั้งแต่เธอกลับมา เจ้ามู่เสี่ยวเฮยก็ตามติดเธอตลอด เธอเดินมันก็เดินตาม เมื่อเธอหยุดมันก็จะหยุดอยู่ข้างๆขาของเธออย่างเงียบๆ
เวินจิ้งนั่งยองๆ ลูบคลอเคลียขนดำๆของมัน แล้วพูดเสียงต่ำ “อยากจะไปกับฉันหรอ”
เธอดูเหมือนกำลังรำพึงรำพัน “หรือว่าเธออยากอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขา”
มู่เสี่ยวเฮยเหมือนกับเข้าใจในคำพูดของเธอ จึงส่งเสียงร้องเห่าขึ้น
โฮ่งๆโฮ่งๆ
เธออุ้มมู่เสี่ยวเฮยขึ้นมาจากพื้นแล้ววางลงบนโต๊ะ มือยังคงลูบไล้สุนัขของเธอไปมา มืออีกข้างหนึ่งยังคงจับแผ่นใบหย่าใบนั้น มองดูอยู่นาน เธอจึงพูดขึ้นเบาๆ “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาแล้วกัน แล้วฉันค่อยมารับเจ้าทีหลัง แบบนี้ดีไหม”
มือของหญิงสาวลูบอยู่ที่หัวของมัน “ดีไหม หือ?”
ดวงตาดำเข้มของลูกสุนัขมองเธออย่างเงียบๆ บางทีมีแลบลิ้นออกมาเลียเธอ
เธอจับปากกาที่อยู่ข้างๆขึ้น หัวปากกากดอยู่ที่กระดาษ
“แผ่นใบหย่านี้ฉันเซ็นไปตั้งหลายครั้งแล้ว” เธอพึมพำ
มู่เสี่ยวเฮยยังคงเห่าใส่เธอสองสามที ดวงตาดำเข้มแฝงด้วยความน่าสงสาร ราวกับว่ามันสังเกตเห็นถึงบางอย่าง มันจึงยิ่งเข้ามาใกล้แขนของเธอ
แสงไฟสีส้มได้แผ่กระจายอยู่บนใบหน้าเธอ ทำให้รูปร่างของเธอนั้นดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น
มือที่ขาวสะอาดจับอยู่ที่ปากกา หัวปากกาติดอยู่ที่กระดาษ เธอค่อยๆหรี่ตาลง และสุดท้ายเธอก็วางปากกาลง
เธอเม้มริมฝีปากแล้วหันไปพูดกับมู่เสี่ยวเฮย “แม้ว่าเขานั้นดูเหมือนกำลังเล่นละครอยู่ แต่ถ้าตอนนี้ฉันหย่ากับเขา….ก็จะดูเป็นคนขาดมโนธรรมไปไหม ต่อไปจะมีผู้ชายคนไหนต้องการฉันอีก…..”
เธอเม้มริมฝีปาก แล้วตบหัวมู่เสี่ยวเฮยเบาๆ ยิ้มตาหยีขึ้น
เธอพูดขึ้นเบาๆ “เอาแบบนี้แล้วกันนะ รอพี่ชายฉันหายดีแล้ว ฉันจะพาเขากลับไปหาแม่ที่ลอนดอน จากนั้นฉันก็จะกลับมารับเจ้า…..แล้วค่อยดำเนินการเซ็นใบหย่าตามขั้นตอน”
เสียงพูดเพิ่งจบ เสียงเคาะประตูห้องหนังสือก็ดังขึ้น “คุณนายคะ คุณปู่มู่มาแล้วค่ะ”
มู่เฉิงมาแล้วเหรอ
เวินจิ้งรีบหุบรอยยิ้มลง อุ้มมู่เสี่ยวเฮยลงจากโต๊ะ แล้วตัวเองก็เดินออกไปก่อน
ลมพัดเบาๆได้พัดกระดาษบางๆใบนั้นตกไปที่พื้น
มู่เสี่ยวเฮยเงยหน้าแล้ววิ่งตามกระดาษใบนั้นที่ปลิวสะบัด
มันก้มลงดมด้วยความสงสัย แล้วจึงคาบไว้ในปาก จากนั้นก็วิ่งตามออกไปทันที
ขณะที่เวินจิ้งลงไป มู่เฉิงได้นั่งอยู่บนโซฟา เมื่อเห็นเธอเดินลงมา ก็มองเห็นดวงตาหม่นหมองและซับซ้อนของเธอ
สำหรับมู่เฉิงแล้ว เธอไม่มีความโกรธเกลียดเคียดแค้นอะไรอีก เพียงแต่แค่ไม่สามารถที่จะไปสนิทสนมเหมือนอย่างช่วงแรกๆ เพราะสิ่งที่เขาเคยทำนั้น เธอไม่สามารถจะลืมได้
“คุณปู่มู่”
มู่เฉิงมองดูหญิงสาวบอบบางที่ยืนอยู่หน้าตัวเอง ไม่มีการพูดอะไรใดๆ ปล่อยบรรยากาศให้เงียบอย่างสงบ