บทที่ 816 ผู้หญิงก็ต้องอยากเก็บส่วนตัวไว้บ้าง
เวินจิ้งตื่นสายในวันรุ่งขึ้น หนำซ้ำตื่นด้วยเสียงร้องไห้ของเวินซิน
เธอนวดขมับเบาๆ ฤทธิ์เหล้านั้นช่างแรงจริงๆ
คนรับใช้อุ้มเวินซินยืนอยู่ที่หน้าประตู ถึงกับรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเวินจิ้งเดินออกมา
“คุณเวิน คุณตื่นแล้วเหรอคะ”
เวินจิ้งยิ้มขึ้น แล้วรับตัวเวินซินมาอุ้มไว้ เด็กคนนี้ตั้งแต่เกิดมาก็ติดเธอหนักมาก ไม่ยอมเอาใครเลย ทำให้เธอถึงกับปวดหัวเล็กน้อย
อุ้มเวินซินแล้วออกจากห้องไป เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว มู่วี่สิงยังคงอยู่ที่ห้องอาหาร สายตาจดจ่ออยู่กับแท็บเล็ตที่อยู่ตรงหน้า
เวินจิ้งนั่งลงและสนใจแต่ป้อนอาหารให้เวินซิน ไม่ได้สนใจมู่วี่สิงแต่อย่างใด ทำให้ใครบางคนถึงกับลนลาน
“จิ้งจิ้ง”
เวินจิ้งมองเขาด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรเหรอคะ คุณหมอมู่”
ชายหนุ่มมองเธอที่ลักษณะท่าทางไม่รู้สึกรู้สา จึงพูดอย่างจนปัญญาว่า “ผมไม่ได้ไปทำงาน ก็เพื่อทำอาหารกลางวันให้คุณ คุณจะไม่ขอบคุณผมสักคำเหรอ”
เวินจิ้งก้มหน้าก้มตาทานซี่โครงหมู กะพริบตาแล้วพูดขึ้น “คุณรับของขวัญราคาแพงของฉัน คุณยังไม่ขอบคุณฉันเลย”
เพราะที่ปากยังเคี้ยวอาหารอยู่ เวลาเธอพูดจึงไม่ชัดถ้อยชัดคำ
สีหน้ามู่วี่สิงถึงกับถอดสี “จิ้งจิ้ง ของที่คุณจะให้ผมทำไมต้องบอกว่าให้ลู่เซิ่นด้วย คุณจะบอกให้ผมโดยตรงไม่ได้เหรอ เสื้อของผมเกือบถูกป้าหลี่บริจาคไปพื้นที่ภัยพิบัติแล้ว”
ใบหน้าชายหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในความโกรธ ลูกตาดำของเวินจิ้งกลิ้งกลอกไปมา วางเวินซินลง เดินอ้อมมานั่งลงข้างๆเขา แล้วคีบซี่โครงหมูป้อนเข้าปากเขา “โถ อย่าอารมณ์เสียแต่เช้าสิ ไม่ดีต่อสุขภาพนะ ทานซี่โครงหมูหน่อยอารมณ์จะได้ดีขึ้น”
ความจริงมู่วี่สิงก็ไม่ได้โกรธจริงๆ เพียงแค่เวินจิ้งให้ความสนแต่เวินซินทำให้เขาน้อยใจก็เท่านั้นเอง
เขาก้มลงทานซี่โครงหมูอย่างเชื่อฟัง เวินจิ้งถึงกับยิ้มขึ้นแล้วกลับไปที่นั่งเดิม พูดช้าๆว่า “นี่จะโทษฉันไม่ได้นะ คุณนั่นแหละที่สมควรโดน”
ดวงตาชายหนุ่มที่ลุ่มลึกได้หรี่ขึ้น “เวินจิ้ง”
อะไรคือสมควรโดน
สีหน้าเวินจิ้งค่อยๆบึ้งตึงขึ้น “คุณยังกล้ามาพูดอีก ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น คุณยังใช้ความคิดอุบาทว์มาคาดเดาฉันเลย ถ้าคุณไม่คิดไปเองว่าฉันเป็นผู้หญิงหลายใจ คุณก็คงไม่ต้องนั่งงอนอยู่แบบนี้ นี่ฉันยังไม่โกรธคุณด้วยซ้ำนะ”
เวินจิ้งตำหนิอย่างไม่พอใจ มู่วี่สิงถึงกับตกใจ
ไม่พูดถึงก็ดีอยู่แล้ว พอพูดขึ้นมาเธอก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ “ฉันใช้เงินของคุณซื้อเครื่องลายครามที่แพงขนาดนั้นให้อดีตสามีของฉัน สมองของฉันยังไม่เลอะเลือนนะ ฉันจะทำเรื่องที่ไร้หัวใจแบบนั้นได้อย่างไร อีกอย่างฉันจะพาผู้ชายอีกคนเพื่อไปเลือกซื้อเสื้อให้ผู้ชายอีกคนได้อย่างไร ฉันไม่ได้โง่นะ”
เธอกัดซี่โครงหมูอย่างดุเดือด ราวกับว่ากำลังระบายอารมณ์โกรธ ที่เขาโกรธเพียงนี้ก็เพราะหาเรื่องเองแท้ๆ ใครใช้ให้เขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่ดีเล่า
เวินซินที่นั่งกะพริบตาที่กลมโตอยู่ข้างๆมองพวกเขาสองคนด้วยสีหน้างุนงง
มู่วี่สิงมองดูหญิงสาวที่สีหน้าบึ้งตึง อะไรจะน่ารักสดใสเช่นนั้น ผมตรงยาวเงาสลวย แก้มขาวเนียน ความตุ้ยนุ้ยเมื่อหลายปีก่อนได้ลดลงไม่น้อย ทำให้รูปร่างเข้ารูปดูดีขึ้น
เขาจ้องมองเธอที่ท่าทีโมโห แล้วป้อนนมให้ เวินซินอย่างระมัดระวัง จิตใจจึงเย็นลงในทันใด
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า เธออาจจะทำถูกที่ทิ้งเขาไปเมื่อปีก่อน และก็ไม่เสียแรงเปล่าที่เขารอเธอมาโดยตลอด
ตอนนั้นเธอมีบาดแผลเต็มตัว ถึงแม้จะฝืนอยู่ต่อเพราะความรู้สึกผิดที่มีต่อเขาหรือเพราะความรัก เธอก็คงไม่ใช่เวินจิ้งที่สดใสในตอนนี้
การแยกจากกันสองครั้งของพวกเขา ทำให้เกิดความเจ็บปวด ดังนั้นการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ พวกเขาจึงสามารถเข้ากันได้อย่างไม่มีข้อแม้ เหมือนกับว่าให้เรื่องราวที่ผ่านมาให้มันผ่านไป
บางทีตอนนี้อาจเป็นตอนจบที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
ในตอนกลางวันเวินจิ้งอยากพาเวินซินออกไปเดินเล่น มู่วี่สิงเสนอให้ไปสวนสนุก ถึงแม้ว่าเวินซินจะยังเล็ก แต่ว่าเมื่อได้ยินมู่วี่สิงพูดถึงสวนสนุกแววตาเธอก็เปล่งประกายขึ้น เวินจิ้งก็เห็นด้วยเช่นกัน
เธอกลับห้องไปเปลี่ยนชุด มู่วี่สิงก็เดินตามเข้ามาด้วยเช่นกัน เขาหยิบผืนผ้าพันคอมาพันให้เวินจิ้ง แล้วจัดให้เข้าที่พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้างนอกมันหนาว เดี๋ยวจะไม่สบาย”
เวินจิ้งไม่ได้ใส่ใจคำพูดของมู่วี่สิงแต่อย่างใด “ทราบแล้ว”
มู่วี่สิงขับรถด้วยตัวเอง ขณะที่เวินจิ้งนั่งอุ้มเวินซินอยู่ที่เบาะที่นั่งข้างคนขับ วันนี้เวินซินเป็นเด็กดี ไม่งอแง ไม่ร้องไห้ ยิ้มตาหยีมองมู่วี่สิงตลอดทาง
แววตาเวินจิ้งเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
แต่หลังจากที่ขับรถไปได้สักพัก เวินจิ้งสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง “สวนสนุกอยู่ทางนี้เหรอ ทำไมฉันรู้สึกว่าไม่ใช่เส้นทางนี้ล่ะ”
“ผมหนาวจัง” มู่วี่สิงพูดอย่างใจเย็น
เวินจิ้งที่ยังไม่รู้ตัว มองไปทางชายหนุ่มที่ใส่เพียงเสื้อเชิ้ตเพียงตัวเดียว ขมวดคิ้ว “ใครใช้ให้คุณอยากทำตัวเท่ใส่เสื้อเพียงตัวเดียวล่ะ สมน้ำหน้า”
ถึงแม้ว่าจะพูดเช่นนี้ออกไป แต่เธอก็หยิบกระเป๋าที่อยู่เบาะหลัง เธอจำได้ว่าในนั้นมีเสื้อกันหนาวอยู่หนึ่งตัว
“คุณจอดรถแล้วใส่เสื้อก่อน”
มู่วี่สิงเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าขรึมว่า “คอผมหนาว”
“คอหนาวเหรอ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว หางตาเหลือบเห็นถนนที่คุ้นเคย ตกใจค้าง ในที่สุดถึงได้รู้ตัว
เธอยิ้มอย่างหงุดหงิด พูดด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง “คุณไม่ชอบใส่ผ้าพันคอด้วยสิ ทำอย่างไรดีล่ะ”
ตอนที่เธอบอกว่าซื้อให้ลู่เซิ่นนั้น เขามีสีหน้าที่รังเกียจด้วยซ้ำ
หุหุ รับผลแห่งการกระทำไปละกัน
รถคาเยนน์ได้มาหยุดตรงร้านเสื้อผ้าผู้ชายร้านนั้น เวินจิ้งเข็นรถเข็นเด็กพร้อมกับเวินซินเดินตามอยู่ด้านหลัง
เมื่อเดินเข้ามา ผ้าพันคอสีข้าวโอ๊ตผืนนั้นยังคงแขวนห้อยอยู่ตรงนั้น
มู่วี่สิงจึงพูดขึ้นกับเธอว่า “ซื้อสิ”
เวินจิ้ง:…..
เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่มู่วี่สิงพูด จึงหันไปพูดกับพนักงานว่า “รบกวนหยิบผ้าพันคอผืนนั้นมาให้ดิฉันหน่อยค่ะ”
“ต้องการให้ใส่ถุงไหมคะ” พนักงานถามอย่างสุภาพ
เวินจิ้งส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ คุณหยิบมาให้ดิฉันก็พอ”
เมื่อรับผ้าพันคอมาแล้ว เธอก็หันกลับไปหาชายหนุ่มรูปงาม “มู่วี่สิง คุณจะอึ้งอยู่ทำไม ไปจ่ายตังค์สิ”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว “คุณจะซื้อผ้าพันคอให้ผม ทำไมต้องให้ผมจ่ายตังค์ล่ะ”
เวินจิ้งนิ่วหน้า ไม่เข้าใจความหมายของมู่วี่สิง ปกติเธอซื้อของทีไรเขาก็จะรีบแย่งจ่ายเงินให้ทุกที เธอหยิบป้ายราคาขึ้นมาดู ถึงกับยิ้มไม่ออก มีเลขศูนย์หลายตัวเลย!
เธอมุ่ยปากแล้วพูดอย่างออดอ้อนว่า “แพงจังเลย บัตรของฉันรูดจนจะหมดแล้ว”
เธอตอนนี้ไม่ได้ขอเงินพี่ชายกับทางบ้านแล้ว ใช้แต่เงินเดือนของตัวเอง ครั้งก่อนที่ซื้อเสื้อผ้าให้เขาชุดนั้น เงินออมของเธอแทบจะไม่เหลือแล้ว
“หมดก็หมดสิ รีบไปรูดเร็ว อย่าทำให้เวินซินต้องเสียเวลา”
เวินจิ้งยิ่งหน้านิ่วขึ้น อะไรคือหมดก็หมดสิ…..
ผู้ชายคนนี้นิ…..
“หรือคุณไม่ได้พกตังค์มา”
ผ้าพันคอผืนนี้สำหรับเขาขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง แต่สำหรับเธอ…..ผู้หญิงก็ต้องอยากเก็บส่วนตัวไว้บ้างสิ!