บทที่ 834 ยกทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉินซี
ฉินซีบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้ จากนั้นก็พูดออกมาอย่างใจเย็นว่า “คุณไม่ต้องกลัว ฉันจะต้องตามหาตัวคนที่ส่งจดหมายข่มขู่ไปหาคุณได้แน่ คุณก็ระวังตัวสักหน่อย อย่าเดินทางไปในที่แปลก ๆ หรือให้ฉันหาบอดี้การ์ดให้คุณสักสองสามคนดีไหม”
ทนายความจ้าวปฏิเสธ “ไม่จำเป็น ผมยังต้องไปทำงานของตัวเอง มีบอดี้การ์ดตามไปด้วยคงไม่ค่อยสะดวก ผมจะระมัดระวังให้มากขึ้น”
ฉินซีเองก็ไม่ได้บังคับเขาต่ออีก หลังจากที่กำชับเขาเพิ่มสองสามประโยคก็วางสาย เหลือบมองไปที่บันทึกของตัวเองแล้วครุ่นคิด
เนื่องจากเป็นจดหมายขู่ที่ส่งมาหลังจากที่เธอไปหาฉินซึ่งเทียน ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นคนที่ได้ยินเรื่องที่เธอพูดในคืนวันนั้นเป็นคนทำ การที่เธอคิดจะเอาหุ้นของตัวเองคืน…ไปแตะโดนเค้กส่วนแบ่งของใครเข้า
คำตอบก็น่าจะเป็นฉินซึ่งเทียน
อยู่ ๆ ฉินซีก็รู้สึกว่าตัวเองรับรู้ได้ถึงอะไรที่เรียกว่า ‘โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ’ ขึ้นมาทันที
ฉินซึ่งเทียนทำเรื่องหน้าไม่อายไว้มากมาย ยังจะมีหน้ามาส่งจดหมายขู่อีก!
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือโทรออกไปยังหมายเลขของฉินซึ่งเทียนโดยไม่แม้แต่จะคิด
“อะไรขึ้น” น้ำเสียงที่ดังขึ้นคล้ายกับว่าผ่านโลกมามาก แต่มันกลับไม่สามารถกระตุ้นความสงสารของฉินซีได้เลยสักนิด
“ฉินซึ่งเทียน!” ฉินซีลุกโชนด้วยความโกรธ เธอไม่คิดจะสนใจเรื่องมารยาทอะไรพวกนั้นแล้ว เปิดปากพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณมีอะไรก็มาลงกับฉันโดยตรง เอาแต่ลอบแทงข้างหลังแบบนี้นับเป็นตัวอะไรได้”
ฝั่งนั้นเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาว่า “เธอพูดเรื่องอะไร”
ฉินซีแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ก็เห็นว่าฉันจะเอาหุ้นคืนก็เลยกลัวอย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นคุณมีอะไรก็มาพูดกับฉันโดยตรง ส่งจดหมายขู่ไปให้ทนายฉัน ลูกไม้แบบนี้คุณยังจะกล้าจะใช้อีกนะ”
ดูเหมือนว่าในที่สุดฉินซึ่งเทียนจะเข้าใจแล้วว่าฉินซีกำลังจะพูดอะไร เขาพูดออกมาอย่างจนปัญญา “เสี่ยวซี ฉันไม่ได้ทำเรื่องนี้ ฉันไม่มีทางที่จะหาคนมาเขียนจดหมายข่มขู่อะไรพวกนี้ได้…”
แน่นอนว่าฉินซีไม่เชื่อ เธอตะโกนขึ้นมาเสียงดังอย่างโมโห “ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร”
ฉินซึ่งเทียนคล้ายจะสำลักไปชั่วขณะ จากนั้นใช้เวลาสักพักว่าจะพูดออกมา “ไม่ใช่ฉันจริง ๆ ถ้าฉันมีเรื่องอะไรฉันก็ไปหาเธอโดยตรงได้ มีความจำเป็นอะไรจะต้องไปหาคนอื่นอีก ”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจเป็นอย่างมาก ฉินซีแค่นเสียงเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
พูดจบเธอก็วางสายโทรศัพท์ทันทีโดยไม่สนว่าฉินซึ่งเทียนจะพูดอะไรต่อ
“เป็นอะไร”
ฉินซีหันกลับไปมอง ก็เห็นลู่เซิ่นอยู่ที่ประตู
ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขาควรจะจัดการเอกสารอยู่ในห้องหนังสือหรอกเหรอ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
หรือเพราะว่าเมื่อกี้นี้เธอโมโหฉินซึ่งเทียนจนส่งเสียงดังมากไปหน่อย เลยทำให้เขาได้รับผลกระทบไปด้วย
ฉินซีมองชายหนุ่มอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “ฉันรบกวนคุณหรือเปล่าคะ”
ลู่เซิ่นไม่ได้สนใจประโยคที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนั้นของเธอ เขาเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้า แล้วมองเข้าไปข้างในตาของเธอ จากนั้นก็พูดออกมาได้เสียงทุ้มต่ำว่า “เป็นอะไรไป”
อาจเป็นเพราะอยู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา หรือไม่ก็เพราะน้ำเสียงทุ้มต่ำของลู่เซิ่นแสงไปด้วยการปลอบโยน ฉินซีนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ทนายที่ช่วยฉันจัดการเรื่องหุ้นได้รับจดหมายข่มขู่ ฉันสงสัยว่าฉินซึ่งเทียนเป็นคนทำ ก็เลยโทรศัพท์ไปถามเขา แต่เขาก็ไม่ยอมรับผิด”
พูดจบเธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีว่าเธอกำลังเอาเรื่องของตัวเองไปรบกวนลู่เซิ่น จึงรีบพูดต่อทันที “จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พรุ่งนี้ฉันว่าจะไปทนายความจ้าวสักหน่อย”
“ฉันจะไปกับเธอ” อยู่ ๆ ลู่เซิ่นก็พูดออกมา
“หา” ฉินซีรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ไม่ต้อง … “
ทว่าน้ำเสียงของลู่เซิ่นกลับไม่ง่ายที่จะปฏิเสธ “พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปด้วยกัน”
พูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งฉินซีเอาไว้กับความสับสนอยู่ตรงที่เดิม
ลู่เซิ่นจะไปกับเธออย่างนั้นเหรอ
แม้ว่าฉินซีจะรู้สึกงุนงง แต่ได้เห็นว่าเรื่องที่ลู่เซิ่นตัดสินใจแล้วไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้อีก เธอจึงทำได้เพียงพยักหน้า แล้วกลับไปจัดการรูปถ่ายต่อ
…
ความจริงแล้วลู่เซิ่นมาเพื่อดูว่าเมมโมรี่การ์ดสามารถกู้คืนกลับมาได้ดีเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะยืนฟังฉินซีคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าประตูจนจบ
เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย ความจริงแล้วเขาก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง คิดไม่ถึงเลยว่าฉินซีจะยอมบอกต้นสายปลายเหตุกับเขา
ในเมื่อมันเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับคุณนายลู่ของเขา ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วย
ทันทีที่กลับมาถึงห้องหนังสือ เขาก็กดโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ
“ค้นหากล้องวงจรปิดที่อยู่รอบ ๆสำนักงานกฎหมายของทนายของฉินซีให้ฉัน”
…
ฉินซีจัดการรูปถ่ายสองสามรูปจนพอใจ ตอนที่กำลังจะปิดคอมพิวเตอร์ ท่ามกลางแสงไฟที่สว่างไสว เธอก็นึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ตอนที่เธอต้องแต่งงานกับลู่เซิ่นนั้นก็ไม่ได้อธิบายเหตุผลอะไรชัดเจน ลู่เซิ่นไม่รู้ว่าที่เธอตกลงแต่งงานกับเขาก็เพราะเป็นเงื่อนไขในการรับมรดก ต่อมาเขาเองก็ไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงแต่งงานกับเขา ฉินซีเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเลือกที่จะปิดบังเหตุผลที่แท้จริงกับเขาด้วย
ถ้าหากพรุ่งนี้เธอกับเขาไปหาทนายความจ้าวด้วยกัน เรื่องที่เธอปกปิดมาอย่างยากลำบากก็ต้องถูกเขารู้เข้าแน่ ๆ !
พอคิดถึงตรงนี้แล้ว ฉินซีก็รีบส่งข้อความไปหาทนายความจ้าวทันที
“ทนายความจ้าวพรุ่งนี้ฉันกับลู่เซิ่นจะไปหาคุณ แต่เขายังไม่รู้เงื่อนไขในการรับมรดกของฉัน เพราะอย่างนั้นฉันคิดว่าพวกเราอย่าเพิ่งบอกเขาก่อนน่าจะดีกว่า ”
ทนายความจ้าวส่งข้อความตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า “ครับ”
เมื่อเห็นข้อความที่ตอบกลับมา ฉินซีก็รู้สึกใจชื้น
เธอขี้เกียจว่าจะคิดว่าทำไมเธอถึงกลัวว่าลู่เซิ่นจะรู้เหตุผลนัก
เพราะเธอรู้สึกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามคิดออกมา ก็กลัวว่ายากที่จะได้คำตอบอยู่ดี
วันต่อมาลู่เซิ่นนั่งรถไปที่สำนักงานกฎหมายพร้อมกับฉินซี
ทนายความจ้าวรอพวกเขาอยู่ที่ห้องทำงานแล้ว
ทนายความจ้าวเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ฉินซีไว้ใจ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นทนายความส่วนตัวในตอนที่แม่ของฉินซียังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะหลังจากที่แม่ของเธอจากไปแล้ว เขาก็ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่เคียงข้างแม่ของเธอ
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ แม่ของฉินซีจึงมอบพินัยกรรมให้เขา
…
ฉินซียังคงจำครั้งแรกที่มาที่นี่ได้
ห้องทำงานของทนายความจ้าวยังตกแต่งเหมือนเดิมไม่มีผิด สภาพอากาศในวันนี้ก็ต่างจากวันนั้นไม่มาก แสงแดดส่องลงบนต้นไม้สีเขียวที่อยู่ตรงมุมผนัง ก็ให้เกิดภาพที่ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ทว่าเธอว่าเธอในตอนนั้นกลับมองเห็นทุกอย่างเป็นสีเทาสลัว
“ทนายความจ้าว คุณบอกว่าคุณแม่ทิ้งพินัยกรรมเอาไว้อย่างนั้นเหรอคะ” ฉินซีในตอนนั้นถามขึ้นมาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ทนายความจ้าวไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระกับเธอ เขาส่งเอกสารในมือให้เธอโดยตรง “คุณแม่ของคุณ…เตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว เธอกลัวคุณจะคิดมาก ก็เลยไม่เคยบอกคุณ”
ความจริงแล้วเนื้อหาในพินัยกรรมของแม่ฉินซีเรียบง่ายมาก สามารถสรุปออกมาได้ในประโยคเดียว นั่นคือยกทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉินซี
ทว่าฉินซีกลับยิ้มออกมายังไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
“ทนายความจ้าว ตอนนี้คุณแม่ของฉัน…ยังมีอะไรเหลือไว้ให้ฉันอีกอันนั้นเหรอคะ”
ความจริงแล้ว ตอนที่แม่ของฉินซีออกไปจากตระกูลฉิน ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เอาอะไรติดตัวออกไปด้วย นอกจากนี้ฉินซึ่งเทียนเองก็ไม่เพียงแต่จะไม่แบ่งเงินให้เธอแม้แต่สตางค์แดงเดียว เขายังใช้ชื่อของเธอกู้ยืมเงินเป็นจำนวนมาก ทำให้หลังจากที่เธอออกไปแล้วก็ยังมีหนี้สินที่ต้องแบกรับอีกมากมาย
ฉินซีมองเห็นเรื่องทั้งหมดนี้กับตาของตัวเอง ดังนั้นเธอจึงมองไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่คุณแม่จะต้องทิ้งพินัยกรรมฉบับนี้เอาไว้ให้เธอ
ทนายความจ้าวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่ประโยคในพินัยกรรมและพูดว่า “ผมคำนวณมรดกของแม่ของคุณแล้ว ความจริง…มันยังไม่เพียงพอที่จะชดใช้หนี้สินที่คุณมีอยู่ตอนนี้ แต่ประโยคนี้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่าเธอยังมีหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป มันถูกโอนเป็นชื่อของเธอเพื่อเป็นสินสอดตอนที่แต่งงานกับฉินซึ่งเทียน แต่ว่าผมยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดของหุ้นตัวนี้อย่างชัดเจน”
ฉินซีในตอนนั้นแบบความเกลียดชังที่มีต่อฉินซึ่งเทียน พอได้ยินคำว่าบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปหกพยางค์นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน พูดออกมาอย่างโมโหว่า “ถึงจะนับว่ามี แต่ฉันเองก็ไม่ได้อยากได้อะไรจากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปหรอกนะ”