บทที่ 835 จัดการคนที่ควรจัดการให้เรียบร้อย
อย่างไรทนายความจ้าวก็คือผู้อาวุโส ดังนั้นเขาจึงพูดปลอบโยนเธอสองสามประโยค “ถึงอย่างไรมันก็เป็นหุ้นของแม่คุณ หากคุณไม่ต้องการ มันก็จะถูกส่งต่อไปในมือของคนนอก”
ผลลัพธ์ของคำพูดของเขาเกิดขึ้นทันที ถึงแม้ว่าฉินซีจะไม่อยากได้หุ้นของฉินซื่อกรุ๊ป แต่พอคิดว่าท้ายที่สุดแล้วทรัพย์สมบัติทุกชิ้นของแม่จะถูกฉินหว่านกับหลี่เหวยเอาไปจนหมด เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นกว่าเดิม
เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนคุณตรวจสอบให้ฉันด้วยแล้วกันค่ะ”
…
“คุณหนู ดื่มอะไรหน่อยไหม” ทนายความจ้าวดึงสติของฉินซีออกมาจากภาพความหลัง
ทนายความจ้าวเงยหน้ามองลู่เซิ่น เห็นเขาพยักหน้า จึงวางชุดน้ำชาที่อยู่ในมือลง “เชิญครับ พวกเรามาดูจดหมายนั่นกันเถอะ”
พูดพลางก็เดินไปที่โต๊ะทำงาน แล้วหยิบจดหมายสองฉบับที่วางอยู่บนนั้นส่งไปให้ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา “พอเปิดจดหมายฉบับแรกแล้วรู้ว่ามันเป็นจดหมายขู่ ผมก็เลยไม่ได้เปิดจดหมายฉบับที่สอง เพราะกลัวว่าจะไปทำให้ลายนิ้วมืออะไรพวกนั้นเสียหาย”
ฉินซีที่กำลังจะยื่นไปรับจดหมายฉบับนั้นรีบลดมือลงทันทีหลังจากได้ยินเรื่องนี้
ทว่าลู่เซิ่นกลับไม่รีบเร่ง หลังจากที่รับจดหมายมาก็มองมันอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ส่งกลับไปแล้วส่ายหน้า “ไม่น่าจะมีรอยนิ้วมืออะไร ในเมื่อมันส่งมาถึงหน้าประตูบ้านคุณ แปลว่าจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเลยทีเดียว”
แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ยื่นมือไปแตะกระดาษจดหมาย
ทนายความจ้าวหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ผมเคยถ่ายรูปจดหมายเอาไว้ เนื้อหาข้างในจดหมายขู่ก็ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ พิมพ์เอาไว้แค่หนึ่งบรรทัด จึงไม่สามารถประเมินอะไรได้เลย ”
ฉินซีเข้าไปดูใกล้ ๆ เนื้อหาข้างในจดหมายเรียบง่ายมาก เขียนเอาไว้แค่ประโยคเดียว
“ถ้าหากยังช่วยฉินซีทำเรื่องที่ไม่สมควรทำอีก ก็ระวังตัวไว้”
ฉินซีโมโหขึ้นมาแล้ว “อะไรคือเรื่องที่ไม่สมควรทำ ฉัน…”
“ฉินซี” ทันใดนั้นลู่เซิ่นก็ตบลงบนไหล่ของเธอคล้ายกับกำลังปลอบโยน
เขากับฉินซีนั่งอยู่ใกล้กันมาก ที่สามารถยื่นมือออกไปตบไหล่แบบนี้ได้ก็เป็นเพราะระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเริ่มขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นแล้ว
ฉินซีที่กำลังจมอยู่ในห้วงความโกรธไม่ได้รู้สึกถึงระยะห่างที่ขยับเข้ามาใกล้กันนี้ แต่มันก็เป็นความจริงที่ว่าพอถูกเขาตบ ๆ เข้าหน่อย เธอก็ไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไปแล้ว
ทนายความจ้าวที่ยืนอยู่อีกด้านรอให้อารมณ์ของฉินซีกลับมาสงบนิ่ง แล้วจึงเปิดปากพูดต่อ “อีเมลที่ส่งมาหาผมก็มีเนื้อหาเหมือนกัน ผมเลยอยากจะถามคุณว่า คุณจะตรวจสอบด้วยตัวเอง หรือจะให้ผมแจ้งความแล้วให้พวกตำรวจช่วยตรวจสอบ”
ฉินซียังไม่ทันได้ตอบ ลู่เซิ่นก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องแจ้งความ ฉันน่าตามจะหาตัวคนทำพบในเร็ว ๆ นี้”
ความจริงแล้วทนายความจ้าวเองก็ไม่เชื่อว่าตำรวจจะเอาจริงเอาจังกับคดีของเขา จะอย่างไรเขาก็แค่ถูกคุกคาม ไม่ได้ได้รับความเสียหายใด ๆ จึงเป็นเรื่องยากที่ตำรวจจะให้ความสนใจกับคดีแบบนี้ พอได้ยินลู่เซิ่นพูดแบบนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ทว่าฉินซีกับตามทั้งสองคนไม่ทัน ใช้เวลาอยู่ค่อนวันกว่าเธอจะหันกลับไปถามลู่เซิ่น “ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าคุณจะตามหาคนคนนั้นเจอ”
ลู่เซิ่นแกว่งโทรศัพท์ตรงหน้าเธอ “คำตอบจะมาภายในเช้าวันนี้”
ฉินซียังคงรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อ ทว่าทนายความจ้าวใจเย็นกว่าเธอมาก
แน่นอนว่าเขารู้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เป็นใคร ดังนั้นเขาจึงไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าลู่เซิ่นจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้หรือไม่
ทนายความจ้าวเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงในการแต่งงานของฉินซี
ตอนที่ฉินซีโทรศัพท์มาบอกเขาว่าเธอแต่งงานแล้ว สามารถที่จะเริ่มพิจารณาขั้นตอนการถ่ายโอนหุ้นได้แล้วนั้น ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“คุณแต่งงานกับใคร ทำไมถึงได้กะทันหันขนาดนี้ ไม่ได้ถูกหลอกใช่ไหม” เขาเห็นฉินซีมาตั้งแต่เด็กจนโต กลัวว่าเธอจะไปเดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่ดีเข้า
ทว่าฉินซีกลับตอบกลับมาอย่างคลุมเครือว่า “ก็แค่…คนที่ฉันเคยรู้จักเมื่อสมัยก่อน…”
ทนายความจ้าวได้ยินคำตอบที่ไม่ชัดเจนจากเธอก็เริ่มสงสัยมากยิ่งขึ้น “ฉินซี เรื่องการโอนหุ้นไม่ได้เร่งด่วนขนาดนั้น ส่วนเรื่องการแต่งงานก็ระวังให้มากกว่านี้หน่อยน่าจะดีกว่า”
เขาเน้นย้ำซ้ำ ๆ อยู่นาน ราวกับว่าถูกบังคับให้อดทนต่อไปไม่ไหว ฉินซีจึงพูดขึ้นมาอย่างอึก ๆ อัก ๆ “ฉันไม่ได้ถูกใครหลอกค่ะ…ฉันแต่งงานกับลู่เซิ่น”
แรงกระแทกที่ ทนายความจ้าว ได้รับมากมายมหาศาลจนเกินไป
ทว่าฉินซีกลับไม่ยอมพูดอะไรมากกว่านี้ เพียงบอกเขาว่าสามารถเตรียมตัวดำเนินขั้นตอนต่าง ๆ ได้แล้ว ก่อนจะวางสายไป
ทนายความจ้าวก็รู้สึกไม่ดีที่จะถามเธอต่ออีก แต่ในเมื่อเธอแต่งงานกับลู่เซิ่น ก็คงไม่ได้ถูกหลอกจริง ๆ
เขาทำได้แค่กลืนความกังวลที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งกลับเข้าไปในท้อง
วันนี้ดูแล้วเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างที่จะสนิทสนม ความกังวลที่เหลืออยู่อีกครึ่งจึงมลายหายไป
ขณะที่กำลังพูดกันอยู่ โทรศัพท์มือถือของลู่เซิ่นก็ดังขึ้น
คนที่โทรมาก็คือผู้ช่วยของลู่เซิ่น น้ำเสียงของเขาสุภาพและมีมารยาทเป็นอย่างมาก
“ประธานลู่ครับ กล้องวงจรปิดที่คุณต้องการตรวจสอบได้รับการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ผมส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้คุณแล้ว”
ลู่เซิ่นส่งเสียงรับคำก่อนจะวางโทรศัพท์ เขาเปิดดูรายงานที่ผู้ช่วยส่งมาให้ จากนั้นก็ยื่นมันไปให้ฉินซี
“เธอตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
ผู้ช่วยของลู่เซิ่นมีประสิทธิภาพสูงมาก รายงานที่เขาส่งมานั้นเขียนรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้อย่างชัดเจน
จดหมายขู่ที่ส่งมาที่บริษัทของทนายความจ้าวนั้นถูกคนเอามาวางด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่ากล้องวงจรปิดของบริษัทจะพังไปแล้ว แต่ก็ยังสามารถใช้กล้องวงจรปิดข้างนอกหาคนส่งจดหมายได้ เป็นผู้ชาย สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร แม้ว่าเขาจะสวมหมวก แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่ช่วงถนน เขาก็เข้าไปซื้อบุหรี่ในร้านสะดวกซื้อจึงถูกกล้องวงจรปิดตรงหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์จับภาพหน้าตรงเอาไว้ได้ ข้อมูลส่วนตัวของคนคนนั้นได้รับการยืนยันจากการจดจำใบหน้า จึงสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของเงินในธนาคารของเขาได้
ก่อนที่เขาจะมาส่งจดหมายก็มีเงินก้อนหนึ่งถูกโอนเข้ามาในบัญชีของเขา
ความจริงแล้วจำนวนเงินก็ไม่ได้มากมายอะไรนะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเป็นเลขบัญชีที่ไม่คุ้นเคย ก็คงจะถูกพบได้ยาก
คนที่ส่งจดหมายข่มขู่ไม่ใช่พวกมืออาชีพ ดูจากค่าตอบแทนที่เขาได้รับแล้ว เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจดหมายที่ตัวเองส่งเป็นจดหมายอะไร
หลังจากตรวจสอบบัญชีที่โอนเงินมาให้เขา ก็พบว่าเจ้าของบัญชีคือบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างกายหลี่เหวย
“หลี่เหวยอย่างนั้นเหรอ”
อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือไปจากความคาดหมายของฉินซีเท่าไหร่ เพียงแต่ตอนนั้นเธอจดจ่ออยู่กับการสืบหาที่อยู่และบริษัทของทนายความจ้าว ทั้งยังต้องตามหาคนมาจัดการเรื่องนี้ ประเมินว่าหลี่เหวยกับฉินหว่านคงไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเธอจึงมั่นใจว่าฉินซึ่งเทียน จะต้องเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
แน่นอนว่าตอนนี้เธอก็ยังไม่เลิกสงสัยในตัวของฉินซึ่งเทียน เพียงแต่ดูจากสภาพการณ์ภายนอกแล้วเขาคงไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้จริง ๆ
ดูเหมือนว่า…เธอจะประเมินสองแม่ลูกคู่นั้นต่ำไป
ขณะที่ฉินซีกำลังใช้ความคิด ทนายความจ้าวที่อ่านหลักฐานทั้งหมดอยู่อีกด้านกลับส่ายหน้าเบา ๆ
“อาศัยของแค่นี้คงไม่สามารถที่จะถอนรากถอนโคนได้ เรื่องทั้งหมดสามารถจัดการได้ แต่ว่าคงต้องยุ่งยากสักหน่อย…”
รายงานของคุณผู้ช่วยกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า บอดี้การ์ดของหลี่เหวยนั้นทำอะไรรอบคอบกว่าที่คิดเอาไว้มาก คนที่เขาหามาก็คือคนบ้านเดียวกันที่เขาเคยรู้จักเมื่อหลายปีก่อน
ไม่ต้องพูดถึงว่าคนคนนั้นจะซัดทอดไปถึงบอดี้การ์ดหรือเปล่า ถึงแม้ว่าจะยอมรับสารภาพ แต่เงินที่บอดี้การ์ดโอนมาให้เขาก็ไม่ได้มากมายอะไร ถามไปแล้วจะเอาอะไรมาอ้างลวก ๆ ก็ได้ทั้งนั้น นับประสาอะไรกับการดึงหลี่เหวยสองแม่ลูกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
จะไม่มีแม้แต่วิธีเดียวจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ
ลู่เซิ่นมองเห็นสีหน้าระมัดระวังของทนายความจ้าวก็ยกมุมปากขึ้น “แค่ใช้กฎหมายเอาผิดไม่ได้ ก็ไม่มีวิธีจัดการแล้วอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีเงยหน้ามองเขา “ถ้าอย่างนั้นคุณคิดจะจัดการยังไง”
ลู่เซิ่นยกมือขึ้น ส่งบัญชีจากฉินซีให้ฉินซึ่งเทียนผ่านทางอีเมล
“จัดการคนที่ควรจัดการให้เรียบร้อย”
ตามสไตล์ของเขา ลงมือทำโดยไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ