บทที่ 836 ยากที่จะอธิบาย
ฉินซีกลับรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ทำแบบนี้มีประโยชน์อะไรอย่างนั้นเหรอ”
ถ้าหากฉินซึ่งเทียนเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังจริง ๆ บอกเขาไปตรง ๆ แบบนี้ อาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไร
สีหน้าของทนายความจ้าวอบอุ่น เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป เธอโทรศัพท์ไปหาฉินซึ่งเทียนแล้ว ในเมื่อเขาพูดแล้วว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอได้แจ้งเขาแล้ว แม้ว่าเขาจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ก็จำเป็นต้องแทรกแซงเข้ามาเพื่อหยุดมัน”
เขาเพิ่งจะพูดจบ เสียงโทรศัพท์ของฉินซีก็ดังขึ้น
คนที่โทรเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น แน่นอนว่าต้องเป็นฉินซึ่งเทียน
“ฉินซี เธอส่งสิ่งนี้มาให้ฉัน ต้องการจะสื่อถึงอะไร”
น้ำเสียงของฉินซึ่งเทียน แฝงไปด้วยความสับสนงุนงงเป็นอย่างมาก ถ้าแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยขนาดนี้เขายังแสดงออกมาได้ ดังนั้นการที่เขาไม่ได้ไปเรียนการแสดง ก็นับว่าเป็นการทำเรื่องน่าเสียดายแล้ว
แต่ฉินซียังคงจำได้ว่าผู้ชายคนนี้ล่อลวงแม่ของเธอยังไง
เกรงว่าจะมีแค่ฉินซีที่รู้ว่าเขามีทักษะการแสดงมากมายขนาดไหน
ดังนั้นฉินซีซึ่งยังคงระมัดระวัง เพียงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ไม่ใช่คุณเป็นคนพูดเองว่าไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งจดหมายข่มขู่มาให้ทนายของฉันอย่างนั้นเหรอ คุณไม่ได้ตรวจสอบ ดังนั้นพอฉันนั้นตรวจสอบพบแล้วก็เลยส่งให้คุณดูยังไงละ”
ฉินซึ่งเทียนชะงักอยู่นาน ก่อนจะถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เธอหมายถึงหลี่เหวยอย่างนั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้ ป้าหลี่ของเธอ…”
เมื่อเห็นว่าเขากำลังเริ่มจะออกตัวปกป้องหลี่เหวย ฉินซีจึงตัดพูดของเขาอย่างไม่คิดจะอดทนทันที “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าหลี่เหวยจะเป็นคนหรือผี อย่างไรก็ตามฉันก็สืบพบแล้วว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถึงคุณจะพูดอะไรอีกก็ไม่สามารถที่จะลบล้างหลักฐานได้”
ฉินซึ่งเทียนพูดแทรกขึ้นมาอีกว่า “แต่ฉันมองไม่เห็นว่าหลักฐานชิ้นนี้จะเกี่ยวข้องอะไรกับหลี่เหวย”
ฉินซีแค่นหัวเราะเย็น ๆ เริ่มที่จะพูดโกหกตาใส “ทำไมฉันจะต้องส่งหลักฐานสำคัญให้คุณด้วย ฉันก็แค่อยากจะให้คุณรู้เอาไว้ ว่าฉันรู้เรื่องคนที่ส่งจดหมายข่มขู่พวกนี้หมดแล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะ จัดการคนของคุณให้ดี แล้วก็หยุดความคิดชั่วร้ายพวกนี้ซะ มีอะไรก็มาพูดกับฉันตรง ๆ ”
พูดจบฉินซีก็วางสายไป
เธอยกน้ำขึ้นดื่ม แล้วเงยหน้ามองทนายความจ้าว “คุณคิดว่า…ทำแบบนี้พอได้ไหม”
ทนายความจ้าวพยักหน้า “ไม่ว่าเขาจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ แต่เขาก็คงไม่กล้าผลีผลามในเวลาแบบนี้แน่”
เขาค่อนข้างที่จะเหนือความคาดหมาย คิดไม่ถึงเลยว่าฉินซีจะคุ้นเคยกับวิธีการ…หลอกลวงคนขนาดนี้
ไม่มีใครสังเกตเลยว่า ตอนที่ฉินซีถามทนายความจ้าวครั้งแรกนั้น สีหน้าของลู่เซิ่นที่อยู่อีกด้านมืดครึ้มเล็กน้อย
ตลอดหนึ่งปีมานี้ ทนายความจ้าว คล้ายจะเป็นผู้อาวุโสเพียงคนเดียวที่ฉินซีเชื่อใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ทรัพย์สมบัติของแม่ฉินซียังอยู่ในมือเขา เกรงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะมากมายเสียยิ่งกว่าความสัมพันธ์ของลู่เซิ่นกับฉินซีเสียอีก
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว ดูไม่ชอบบรรยากาศที่สนิทสนมกันระหว่างพวกเขาสองคนอย่างเห็นได้ชัด
“โอเค เรื่องทั้งหมดก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว งั้นพวกเราไม่ขอรบกวนคุณต่อแล้ว”
ลู่เซิ่นลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ถือโอกาสดึงตัวฉินซีให้ลุกขึ้นมาด้วย
“เอ่อ…ฉันยังมีเรื่องอีกนิดหน่อย…”
ฉินซีค่อนข้างที่จะประหลาดใจ คิดไม่ถึงเลยว่าลู่เซิ่นต้องการจะไปพร้อมกับเธอ ยังคิดอยู่เลยว่ารอให้ลู่เซิ่นไปก่อนแล้วจะปรึกษาเรื่องการโอนหุ้นกับทนายความจ้าวต่อ
ทว่าแรงที่ลู่เซิ่นใช้กับแขนของเธอนั้นมั่นคงมาก “มีนัดทานข้าวกลางวัน ไม่ไปไม่ได้”
ประโยคนี้เขาพูดกับทนายความจ้าว แต่เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้ฉินซีได้ยิน
ฉินซีไม่เข้าใจ “แล้วมื้อเที่ยงของคุณมันเกี่ยวอะไรกับฉัน…”
ทว่าเธอยังไม่ทันพูดจบก็ถูกลู่เซิ่นฉุดกระชากลากถูออกมาจากห้องทำงานของทนายความจ้าว
“ลู่เซิ่น!” เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงลิฟต์ ฉินซีจึงสามารถหาโอกาสสลัดมือของเขาออกได้ จากนั้นก็ถลึงตาใส่เขา “มื้อเที่ยงอะไรของคุณ! ฉันยังมีธุระกับทนายความจ้าวต่อนะ!”
ลู่เซิ่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “เหรอ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กลับไปด้วยกัน”
ฉินซีขวางมือที่กำลังจะกดหมายเลขชั้นของเขาเอาไว้ “คุณมีแผนจะไปทานข้าวก็ไปเถอะ ฉันกลับเองได้ ไม่รบกวนคุณ…”
ลู่เซิ่นหันไปมองเธอทันที จากนั้นก็ถามว่า “ฉินซี แม่ของเธอตายไปตั้งหนึ่งปีแล้ว แล้วทำไมตอนนี้ถึงเพิ่งจะเริ่มดำเนินขั้นตอนการรับมรดกหุ้น”
ฉินซีรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ทำไมอยู่ ๆ ลู่เซิ่นถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา
หรือว่า…เขาสืบพบอะไรแล้วอย่างนั้นเหรอ
แม้จะมีความตื่นตระหนกอยู่ในใจ แต่ฉินซีก็ยังคงพูดอย่างหนักแน่นว่า “ตอนการโอนถ่ายหุ้นค่อนข้างที่จะยุ่งยาก ดังนั้นมันเลยล่าช้ามาจนถึงทุกวันนี้”
ลู่เซิ่นมองเธออย่างลึกซึ้ง สีหน้าของเขาทำให้คนอื่นมองไม่เห็นถึงความสุขหรือความโกรธเคือง “ฉินซี ทางที่ดีเธอหยุดพูดโกหกต่อหน้าฉันจะดีกว่า”
ฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ไม่มีใครรู้เรื่องพินัยกรรมนอกจากทนายความจ้าว ลู่เซิ่นก็แค่พูดขู่เธอ เขาไม่มีทางที่จะรู้…
“ ฉันโกหกคุณเรื่องแบบนี้เพื่ออะไร” เธอพูดเสียงเรียบ
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกฉินซีก็ไม่ได้มองไปที่อีก เธอรีบเดินตรงออกไป
คิดว่าคราวนี้คงไม่มีโอกาสได้ปรึกษาพูดคุยกับทนายความจ้าวแล้ว ครั้งหน้าเธอค่อยมาด้วยตัวเองก็แล้วกัน
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วมองตามแผ่นหลังของเธอไป
…
ครั้งนี้ฉินซึ่งเทียนไม่ได้โกหกจริง ๆ
เขาไม่เข้าใจอะไรสักอย่างตอนที่ได้รับอีเมลของฉินซี แต่หลังจากคุยโทรศัพท์จบ สีหน้าของเขาก็ไม่น่าดูเป็นอย่างมาก
“ไปเรียกคุณนายมา”
เขาออกคำสั่งด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
ผู้ช่วยที่อยู่ตรงข้างให้ฟังเรื่องทั้งหมดอย่างคร่าว ๆ แล้ว เขาจึงรีบออกไปตามหาคนอย่างเป็นกังวลสุดขีด
ตอนที่หลี่เหวยก็ยังคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงคิดที่จะเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ ฉินซึ่งเทียนเหมือนตามปกติ ทว่ากลับถูกเขาตวาดด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ “คุณไปสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ฉินซีมาอย่างนั้นเหรอ”
หลี่เหวยตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ตอบสนองได้ทันทีว่าฉินซึ่งเทียนกำลังพูดเรื่องอะไร
หรือว่าเรื่องทั้งหมดจะถูกเปิดเผยแล้ว เป็นไปไม่ได้…
ฉินซึ่งเทียนไม่คิดจะพูดเรื่องไร้สาระต่อ เขาโยนโทรศัพท์ไปให้เธอ “คุณดูเอาเองเถอะ”
หลี่เหวยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างละเอียด สีหน้าไม่น่ามองขึ้นเรื่อย ๆ
“นี่…นี่มัน…” เธอพยายามที่จะอธิบาย
ฉินซึ่งเทียนกลับตัดคำพูดของเธออย่างไม่สบอารมณ์ “คุณเป็นคนทำจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ”
หยาดน้ำตาคลออยู่เต็มดวงตาทั้งสองข้างของหลี่เหวยในทันที เธอทรุดตัวลง เงยหน้าขึ้นมองฉินซึ่งเทียน สีหน้าเต็มไปด้วยความน่าสงสาร “คนคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของฉันจริง ๆ แต่ว่าเขาทำอะไรลงไป ทำไมคุณถึง…ถึงมั่นใจว่าเป็นฉัน…”
เสียงพูดของเธอเบาลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะสะอื้นเบา ๆ
ฉินซึ่งเทียนเห็นเธอร้องไห้แบบนั้นแล้ว ในชั่วพริบตาความโกรธที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่นี้ก็มลายหายไปถึงครึ่งส่วน เขายื่นมือออกไปดึงตัวเธอเข้ามากอด “แต่คนของเธอเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ แน่นอนว่าฉินซีจะต้องสงสัยเธอ”
ฉินซีอย่างนั้นเหรอ
เธอคิดว่าสิ่งที่เธอทำนั้นสมบูรณ์แบบ คิดไม่ถึงเลยว่าฉินซีจะเก่งกาจขนาดนี้ ยังสามารถสืบหาเรื่องนี้พบได้…
หลี่เหวยกำลังจดจำไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ ทว่าสีหน้าของเธอกลับยังคงเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ถึงแม้ว่าบอดี้การ์ดจะเป็นคนของฉัน แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาเงินมาจากไหน…”
เธอเก่งเรื่องการทำหน้าน่าสงสารเป็นที่สุด น้ำตาไหลรินเป็นสาย ฉินซึ่งเทียนถูกการร้องไห้ของเธอทำให้แนวป้องกันในหัวใจพังทลาย ทั้งยังถูกทำให้หลงเชื่อในคำพูดไม่กี่คำนั้น แม้กระทั่งสัญญาซ้ำ ๆ ว่าเขาจะไปอธิบายกับฉินซีด้วยตัวเอง หลี่เหวยจึงเช็ดน้ำตา แล้วเดินออกไปจากหนังสือ
เมื่อกลับมาถึงห้อง หลี่เหวยก็ล้างคราบน้ำตาที่อยู่บนหน้า และขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ
ความจริงแล้วเธอค่อนข้างที่จะกังวล เลยคิดว่าแผนค่อนข้างที่จะละเอียดถี่ถ้วน คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกฉินซีพบเข้า
…ยังดีที่สุดท้ายเธอยังเหลือทางรอดเอาไว้ ไม่ได้ออกหน้าด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นแล้วเมื่อกี้นี้ก็คงยากที่จะอธิบาย