บทที่ 842 ความคิดของเธอถูกมองทะลุปรุโปร่ง
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดไม่ถึงว่าฉินซีจะพูดตรงๆ ขนาดนี้ ชะงักไปครู่หนึ่ง “ยังเดินไหวไหมครับ”
ฉินซีไม่สนว่าจะหน้าหนา ส่ายศีรษะ
ชายหนุ่มลังเลอยู่อึดใจ “อย่างนั้นผมประคองคุณเข้าไปพักก่อน ฝนซาแล้วค่อยไปส่งคุณ”
ฉินซีเงยหน้าแปลกใจ ชี้ไปที่รีสอร์ทชิงหยวน“คุณบอกว่าให้ฉันเข้าไปหรือคะ”
ชายหนุ่มหล่อเหลาไม่อยากจะพูดอะไรอีก หันไปกวักมือเรียก ฉินซีถึงเพิ่งจะเห็นว่ามีคนยืนห่างออกไปอีกสองคน
……อุ๊ปส์ ท่าทางน่าขายหน้าของเธอเมื่อครู่ก็มีคนเห็นตั้งสามคนสิ
แน่นอนว่าเธอไม่รู้ ยังมีกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในห้องควบคุมเห็นตอนที่เธอลื่นล้มด้วย
“พาเธอไปตึกใหญ่” คนนั้นกำชับชายสองคนที่ยืนด้านหลังน้ำเสียงเรียบเฉย
คนที่ยืนด้านหลังรับคำ
ฉินซีแทบจะแน่ใจแล้ว คนนี้คือคนที่ซื้อบ้านตระกูลฉินแน่นอน
โทษที่เธอเองวันนี้พอได้ยินข่าวว่าบ้านเก่าถูกขายก็ทะเลาะกับฉินซึ่งเทียนแม้แต่ใครซื้อบ้านก็ไม่รู้
ไม่เช่นนั้นตอนนี้ เธอคงไม่ตกใจขนาดนี้
แน่นอนถึงแม้ ฉินซีนึกขึ้นมาได้ไปถามก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนั้นที่ ลู่เซิ่นซื้อบ้าน หลินหยัง ออกหน้าตลอด แม้แต่ฉินซึ่งเทียนก็ไม่รู้ว่าผู้ซื้อตัวจริงคือใครกันแน่
เผชิญหน้ากับคนที่ไม่เคยรู้จักอย่างนี้ ฉินซีจะปฏิเสธก็ได้ แต่ความรู้สึกคิดถึงบ้านเก่าของตระกูลฉินมีมากกว่า อีกทั้งสัญชาตญาณของเธอยังบอกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด จึงเดินตามไปแต่โดยดี
เกินกว่าที่เธอคาดคิด ความเปลี่ยนแปลงภายในบ้านตระกูลฉินกลับไม่มากอย่างที่เธอคิดไว้
หลายมุมที่สำคัญที่สุดในความทรงจำของเธอ รวมทั้งถนนสายเล็กนั้นด้วยไม่เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร เพียงแต่สไตล์ของอาคารโดยรวมเปลี่ยนไป
เพียงแต่การปรับเปลี่ยนเท่านี้ก็ทำให้บ้านตระกูลฉินที่เคยเรียบๆไม่มีอะไรตื่นเต้น กลายเป็นบ้านหรูหรา “รีสอร์ทชิงหยวน” ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสุนทรีย์
ฉินซีมองไปรอบๆ พลางคิดชมในใจเงียบๆ แทบจะลืมเจตนาของตัวเองที่มาที่นี่ กระทั่งถึงหน้าตึกใหญ่ สองคนที่ช่วยประคองก็นำเธอเข้าไปในห้องรับแขก เธอมองเห็นหมอประจำบ้านที่รออยู่ด้านหนึ่งถึงจะรู้สึกตัว
ตัวเองมารำลึกความหลังต่างหาก ทำไมกลายเป็นมารักษาอาการบาดเจ็บเสียได้
ทั้งสองคนประคองพาเธอไปนั่งที่โซฟาเรียบร้อยแล้วก็ออกไป หมอประจำบ้านเป็นหญิงสาวใจดีวัยกลางคนไม่รีบตรวจดูเท้าของเธอ แต่ส่งเสื้อผ้าสะอาดให้เธอชุดหนึ่ง
“เสื้อผ้าชุดใหม่ค่ะ เปลี่ยนก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
ฉินซีประหลาดใจที่ได้รับน้ำใจ ยกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวชุดก็แห้ง”
คุณหมอประจำบ้านยังคงยืนยัน “เปลี่ยนก่อนจะดีกว่าค่ะ”
ฉินซีมองรอบๆ เห็นโซฟาด้านหลังตัวเองเป็นหนังแท้ คิดดูแล้วเธอคงจะกลัวว่าเสื้อผ้าเปียกชื้นของตัวเองจะทำให้หนังแท้เสียหาย จึงได้แต่ตอบรับ
เรื่องราวต่อจากนั้นก็เป็นไปตามขั้นตอนปกติ
คุณหมอฉีดพ่นยาให้เธอ บีบนวดครู่หนึ่ง ตรงที่เคล็ดก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อย ฉินซีก็รู้สึกว่าตัวเองเดินกะโผลกกะเผลกได้เองไม่ต้องให้คนอื่นประคอง เธอกล่าวขอบคุณคุณหมอ ด้านข้างก็มีคนรับใช้เข้ามา ส่งเสื้อผ้าที่เธอเพิ่งเปลี่ยนให้
เสื้อผ้าซักสะอาดอบแห้งแล้ว
ฉินซีไม่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดก็ตอนที่คนรับใช้เชิญให้เธออยู่กินอาหารมื้อค่ำนั่นเอง
“คือว่า ฉันเห็นว่าฝนซาลงมากแล้วจะรบกวนพวกคุณ ส่งฉันกลับบ้านได้ไหมคะ” ฉินซีจับมือคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
คนรับใช้จึงได้แต่พยักหน้ารับคำ
ตั้งแต่เช้า ฉินซีไปหาฉินซึ่งเทียนที่บ้านตระกูลฉินจนถึงตอนนี้มืดค่ำขนาดนี้แล้ว เธอไม่อยู่กับแม่ทั้งวัน ตอนนี้จิตใจของแม่ฉินไม่ค่อยปกติ แม้ว่าที่โรงพยาบาลจะมีคนดูแลแม่ แต่ฉินซีก็ยังรู้สึกไม่วางใจนัก
คนรับใช้ท่าทางอ่อนโยน แต่การปฏิเสธไม่อ้อมค้อมสักนิด “คุณผู้ชายให้คุณไปรับอาหารก่อน แล้วค่อยไปส่งคุณค่ะ”
ฉินซีรู้สึกอึดอัด “งั้นนายของคุณอยู่ที่ไหน ฉันขอคุยกับเขาได้ไหมคะ”
คนรับใช้คนนั้นท่าทางลำบากใจเดินออกไป แล้วกลับมาพยักหน้า “คุณผู้ชายบอกว่า ให้คุณไปพบที่ห้องหนังสือได้ ฉันจะนำคุณไปค่ะ”
ฉินซีเดินกะโผลกกะเผลก ตามคนรับใช้ขึ้นไปชั้นบน
เธอเดินช้าๆ คนรับใช้ก็ไม่รีบร้อน เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดรอเธอ
ทันใดนั้นฉินซีก็ตั้งคำถามหนึ่งขึ้น “นายของคุณชื่อ…อะไรคะ”
คนรับใช้ดูเหมือนจะแปลกใจที่ถูกสั่งให้ต้องนอบน้อมกับคนที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อเจ้าของบ้าน เธอคิดนิดหนึ่ง รู้สึกว่าในเมื่อคนก็เข้ามาในรีสอร์ทชิงหยวนแล้ว บอกไปก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
“คุณผู้ชายชื่อลู่เซิ่นค่ะ” เธอตอบเสียงเบา
ฉินซีตะลึง
ถึงแม้เธอจะไม่ได้ทำธุรกิจ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่รู้ชื่อคนใหญ่คนโตในแวดวงธุรกิจ
คุณชายตระกูลลู่ ทายาทโดยชอบธรรมของบริษัทลู่ซื่อ
มิน่าถึงได้ซื้อบ้านหลังนี้ได้ง่ายดาย และยังตกแต่งสวยงามขนาดนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ ขายบ้านเก่าให้เขาก็ไม่เสียหาย ดีกว่าปล่อยให้ทรุดโทรมในมือคนแบบฉินซึ่งเทียน
เธอเดินคิดเรื่อยเปื่อย ในที่สุดทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าห้องหนังสือ
ที่หน้าห้องหนังสือ คนรับใช้เคาะประตูอย่างระมัดระวัง ปล่อยให้ฉินซีเข้าไป แล้วปิดประตู
ฉินซีมองชายหนุ่มที่นั่งหลังโต๊ะหนังสือสบตากับเขาพอดี
ภายใต้แสงสว่างในห้องหนังสือ ตอนนี้มองเห็นใบหน้าที่เห็นไม่ชัดเมื่อครู่ได้ชัดเจนขึ้น
ฉินซีประหลาดใจไม่น้อย
เธอยอมรับว่าเคยเห็นผู้ชายหน้าตาดีมาก็มาก แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าหล่อจนถึงขั้นที่เธอต้องอุทานด้วยความชื่นชม
จมูกโด่งเป็นสัน โครงหน้าคมเข้ม ดวงตาล้ำลึกคู่นั้นเมื่อส่งสายตามา ทำให้คนอยากจะก้มหน้าหลบพลังจากเขาโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร
นี่คือเหตุผลที่ฉินซีก้มหน้างุดไม่สบตาเขา
แต่เธอยังไม่ทันอธิบายความตั้งใจของตัวเองที่อยากจะกลับบ้านลู่เซิ่นก็ชิงพูดขึ้นก่อน “คุณ…รู้ได้ยังไงครับว่ามีทางเล็กตรงนั้น”
ฉินซีเหมือนถูกราดน้ำเย็นทั้งหัว รู้สึกตัวขึ้นมาในทันใด
ตั้งแต่เห็นลู่เซิ่นจนถึงตอนนี้ แม้ว่าเขาจะมีบุคลิกติดตัวที่ทำให้รู้สึกกดดัน แต่กับฉินซีเรียกได้ว่าเป็นมิตร และไม่ได้ถูกถามชื่อแซ่ เธอจึงแทบจะลืม ตัวเองถูกพบที่ไหน
เวลานี้โกหกไปก็กลัวว่าจะทำให้เกิดปัญหาฉินซีจึงได้แต่พูดไปตามความจริง “ฉันชื่อฉินซีค่ะ ที่นี่เดิมเป็นบ้านเก่าของฉัน ฉัน…ผ่านมาก็เลยอยากจะมาดูทางเดินเล็กเมื่อก่อนนี้ยังอยู่หรือเปล่า”
เพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้พูดโกหก เธอเงยหน้ามองลู่เซิ่น“บ้านนี้คุณซื้อจากพ่อฉัน คุณไปถามเขาได้ ฉันไม่ได้โกหกค่ะ”
ลู่เซิ่นกลับไม่สงสัยสถานะของเธอแม้แต่น้อย เพียงแต่จ้องมองเธอ ถามคำถามที่ฉินซีคิดว่าไม่มีความหมายอะไร “เมื่อก่อนคุณใช้ทางนั้นบ่อยๆ หรือครับ”
ฉินซีสงสัยทำไมเขาสนใจกับคำถามนี้ แต่ก็พยักหน้ารับ
“ผมเข้าใจละ” ลู่เซิ่นดูเหมือนแค่สนใจก็เลยถามไม่ได้พูดอะไรต่อไป แต่สายตาหยุดที่ ฉินซีตลอด “คนรับใช้บอกว่าคุณอยากคุยกับผม มีเรื่องอะไรหรือครับ”
สายตาของเขาดูเหมือนจะสำรวจเธอ ฉินซีรู้สึกว่าความคิดของเธอถูกมองทะลุปรุโปร่งแล้ว