บทที่ 850 แกกล้าดียังไง
ฉินซึ่งเทียนมีอำนาจครอบงำพูดคำไหนคำนั้นภายในบริษัทมาตลอด แต่วันนี้จำนวนผู้ถือหุ้นรายเล็กรายกลางมากันจำนวนมาก พวกเขาไม่สนใจว่าฉินซึ่งเทียนมีอำนาจแค่ไหน เมื่อเจอเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อครู่ ความเชื่อถือฉินซึ่งเทียนในใจพวกเขาหดหายไปมาก จึงไม่สนใจคำพูดของเขาอีก
คนหนึ่งในพวกเขาถาม ฉินซี“คุณฉิน คุณไม่มีประสบการณ์ทำงานจริง ถ้าเข้ามาเป็นคณะกรรมการยากที่จะตัดสินใจได้เหมาะสม”
คนที่ตั้งคำถามจริงจัง น้ำเสียงเป็นมิตร ดูแล้วไม่มีเจตนากวนน้ำให้ขุ่น ฉินซีก็ตอบคำถามอย่างอดทนน้ำเสียงนุ่มนวล “ดิฉันไม่มีประสบการณ์บริหารบริษัทก็จริงค่ะ แต่ก็คุ้นเคยไม่น้อย แถมมีประสบการณ์บ้าง ดิฉันเรียนจบที่คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยSถือว่าได้ฝึกฝนทักษะความรู้มาบ้าง”
มหาวิทยาลัยS คือมหาวิทยาลัยระดับท็อปของประเทศ มีศิษย์เก่าที่เก่งก็มาก ชื่อเสียงขจรขจาย
“มหาวิทยาลัยS” ทุกคนประหลาดใจ พากันรุมซักถามเซ็งแซ่
“คณะบริหารธุรกิจเอกอะไร”
“จบปีไหน”
“เรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษาคนไหนไม่แน่เราอาจเรียนสาขาเดียวกัน!”
ทางด้าน ฉินซีทุกคนเข้ามาสอบถามเธอคึกคัก เมื่อเทียบกันแล้ว ทางด้านฉินซึ่งเทียนไม่มีคนซักถามอะไร เห็นได้ว่าบรรยากาศกร่อยไปทีเดียว
ฉินซียิ้มเยือกเย็นในใจ
เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยSได้เอง เธอสมัครเรียนวิชาเอกสื่อสารมวชนที่ตัวเองอยากเรียนมานาน แต่ ฉินซึ่งเทียนไม่อยากให้เธอเรียนวิชาเอกนี้มาตลอด ทั้งสองคนจึงทะเลาะกันนับครั้งไม่ถ้วน
จะว่าไป ในตอนแรกก็ต้องขอบคุณ อยากให้เธอแต่งงานดองญาติกับเศรษฐีอย่างมาก บังคับให้เธอเรียนปริญญาสองใบของคณะบริหารธุรกิจ หวังว่าเธอจะได้รู้จักกับพวกทายาทเศรษฐกิจที่คณะ ไต่เต้าให้สูงขึ้น
ถ้าหากรู้ว่าจะมีวันนี้ เขาคงจะเสียใจแทบบ้า
หลังจากพูดคุยกันเรื่องมหาวิทยาลัยแล้ว ระยะห่างระหว่างฉินซีกับทุกคนก็หายไปมาก เรื่องที่เธอจะเข้าเป็นคณะกรรมการก็เห็นได้ว่าไม่เป็นเรื่องเกิดคาดขนาดนั้นแล้ว
เลขาสั่นด้วยความกลัวมองสีหน้าของฉินซึ่งเทียนแล้วพูดผ่านไมโครโฟน “ขอให้ทุกคนเงียบก่อนค่ะ วาระการประชุมวันนี้ไม่มีหัวข้อคณะกรรมการครบวาระ เรื่องคุณฉินซีเข้าเป็นคณะกรรมการ ยังต้องกำหนดวันอีกครั้ง…”
เธอยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหุ้นส่วนที่เพิ่งทำความรู้จักกับฉินซีว่ามีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกันพูดขัดขึ้น “เราไม่จำเป็นต้องเลือกคณะกรรมการใหม่อีกครั้งครับ เพียงแต่ฉินซึ่งเทียนถือหุ้นในส่วนของฉินซีมานาน ตอนนี้หุ้นกลับมาอยู่ในมือของฉินซีแล้วไม่ต้องใช้สิทธิ์ออกเสียงแทนอีกต่อไป ต้องเพิ่มตำแหน่งในคณะกรรมการให้ฉินซีกลับเข้าไปก็แค่นั้น”
เขาไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท หุ้นเล็กน้อยที่มีในมือวางอยู่ตรงไหนก็มองไม่เห็นคาดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขามาประชุม ทุกคนในที่ประชุมจึงไม่คุ้นหน้าเขา
แต่ด้วยเหตุผลข้อนี้ ทำให้เขาไม่เกรงกลัวฉินซึ่งเทียนและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่สีหน้าหม่นหมองพูดจบยังหันไปมองพวกผู้ถือหุ้นข้างน้อยที่อยู่รอบตัว “พวกคุณคิดว่ายังไงครับ”
คนเท้าเปล่าไม่กลัวสวมรองเท้า วันนี้พวกผู้ถือหุ้นข้างน้อยขัดใจผู้บริหารระดับสูง ออกจากห้องไปขายหุ้นก็แค่นั้น จึงไม่กลัวคนในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเช่นกัน และยิ่งได้พูดคุยกับฉินซีเมื่อครู่ก็รู้สึกว่าเธอเป็นสาวน้อยที่มีความกล้าหาญ
บางคนก็รู้สึกถึงมิตรภาพของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยด้วย
พวกเขาทุกคนจึงตอบรับพร้อมกัน พากันกล่าว “จริงด้วย แต่เดิมตำแหน่งนี้เป็นของฉินซีแค่คืนให้เธอเท่านั้น มีตรงไหนไม่ถูก”
เลขาทนแรงกดดันไม่ไหว หันไปมองฉินซึ่งเทียนขอให้ช่วยเหลือ สีหน้าฉินซึ่งเทียนโกรธจนหน้าแดง ขณะที่อยากจะพูดบางอย่างก็ถูกคนในคณะกรรมการกำกับดูแลขัดขึ้นก่อน “พวกคุณพูดก็ถูกต้องจริงๆ ฉินซีควรจะต้องได้ส่วนที่เป็นของเธอคืน”
ฉินซึ่งเทียนหันไปมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ปกติแล้วคนในคณะกรรมการกำกับดูแลคนนี้ไม่ค่อยออกความเห็นฉินซึ่งเทียนประชุมมานานขนาดนี้ แทบไม่ค่อยเห็นเขาพูดอะไร ต่างคนต่างอยู่ไม่มีปัญหาอะไรกันมานานปี คาดไม่ถึงจะเป็นคนทำให้เขาตกที่นั่งลำบากในเวลานี้
การพูดครั้งนี้ก็คือระเบิดลูกใหญ่
แต่โชคร้ายที่ ตำแหน่งของคนนี้สูงมากฉินซึ่งเทียนนึกไม่ออกว่าจะใช้วิธีอะไรปิดปากเขา ได้แต่จ้องมองเขาพูดจนจบ หลังจากนั้นผู้ถือหุ้นต่างพากันขานรับ
เลขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่ส่งไมโครโฟนให้ฉินซึ่งเทียนมองคนด้านล่างเวทีที่กระตือรือร้น แม้ว่าปกติแล้วเขาไม่เคยเห็นพวกผู้ถือหุ้นรายเล็กอยู่ในสายตา แต่เขารู้ดีถึงหลักการคนล้มกระทืบซ้ำ ถ้าหากตอนนี้ตัวเองยังยืนกรานไม่ให้ฉินซีเข้าเป็นคณะกรรมการ หลังจากเรื่องวันนี้แพร่ออกไป เกรงว่าความน่าเชื่อถือของเขาคงแทบไม่เหลือสักเท่าไรแล้ว
เขากัดฟันกรอด แทบจะพูดลอดไรฟัน “ผม…ไม่มีความเห็นเรื่องฉินซีจะเข้าเป็นคณะกรรมการ”
ฉินซีหันไปมองหลี่เหวยและฉินซึ่งเทียนปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ
“ขอบคุณค่ะพ่อ” เสียงของเธอเบามาก
เพียงแต่“พ่อ” คำนี้พูดเบามากและน้ำเสียงขัดหูฉินซึ่งเทียนได้ยินแล้วรู้สึกว่าเป็นคำพูดเยาะเย้ย สีหน้าของเขายิ่งบอกบุญไม่รับ
สีหน้าหลี่เหวยที่อยู่ข้างเขายิ่งแย่กว่า
เธอจ้องฉินซีตาเขม็ง แทบจะรักษาภาพลักษณ์นางพญาของตัวเองไม่อยู่
ฉินซีมาคนเดียวไม่มีใครในบริษัทเกรงกลัวเธอ แต่เธอเผยแพร่เรื่องการรับหุ้นต่อสาธารณะก่อนหนึ่งวัน ดึงดูดให้กลุ่มผู้ถือหุ้นข้างน้อยมากันคึกคัก และยังใช้วิธีการต่างๆ ทำให้ตัวเองได้ทุกอย่าง
ใจดำอำมหิตมาก!
หลี่เหวยไม่รู้สึกสักนิดว่าคำพูดนี้น่าขันเช่นไรเมื่อเธอใช้กับคนอื่น ในหัวมัวแต่คิดแผนการณ์ใหม่อยู่ตลอด
จะต้องมีวิธีสิ…ต้องมีวิธีทำให้ฉินซีเหมือนแม่ของเธอ หายไปตลอดกาลโดยไม่เหลืออะไรเลย!
เมื่อเลขาได้ยินฉินซึ่งเทียนพูดเช่นนั้นก็เหมือนได้รับอภัยโทษรีบร้อนจับไมโครโฟนพูด “เอาล่ะค่ะ วาระสุดท้ายของคณะกรรมการบริหารครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว ขอต้อนรับคุณฉินซี เข้าสู่คณะกรรมการบริหาร! การประชุมครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน ขอเชิญผู้ถือหุ้นทุกท่านแยกย้ายกันได้ค่ะ…”
ฉินซีลุกขึ้นพร้อมกับคนอื่นเตรียมตัวกลับ แต่ผู้ช่วยของฉินซึ่งเทียนเข้ามาขวางเธอไว้
“ประธานฉินมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณค่ะ” ผู้ช่วยกระซิบ
ฉินซีรู้ว่าฉินซึ่งเทียนชอบวางแผนแยบคายไม่มีทางทำเรื่องอะไรที่อันตรายต่อความปลอดภัยของเธอ จึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เดินตามผู้ช่วยไป
ฉินซึ่งเทียนกับหลี่เหวยรอในห้องรับรองเล็กติดกับห้องประชุม พอฉินซีผลักประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงด่าทอโดยไม่ให้ทันตั้งตัว
“ฉินซีฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กไม่เคยรู้ว่าตัวเองเลี้ยงงูพิษ!”
ฉินซึ่งเทียนโกรธจนหน้าแดงก่ำหลี่เหวยคอยลูบหลังปลอบใจเขาอยู่ข้างๆ
ฉากนี้พูดง่ายๆ ว่าไม่อยากเห็นยิ้มเย็น “ฉันก็แค่อยากได้ของที่แม่ให้คืนก็เท่านั้น ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่เห็นต้องตื่นเต้นขนาดนี้”
“แก!” ฉินซึ่งเทียนเดือดดาล “แกกล้าดียังไง!”
“ฉันเป็นลูกสาวของคุณไม่ได้กล้าดีอะไร” ฉินซีแสยะยิ้มเย็น “ก็แค่ตอนนี้ฉันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง และเป็นกรรมการบริษัท…ก็เท่านั้น”