บทที่ 862 จมไปในความอ่อนโยน
ลู่เซิ่นค่อยๆเดินไปตรงหน้าฉินซี จับไหล่ของเธอผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบาง “เธอยังไม่ได้ทายาเลย”
ท่าทางของฉินซีดูแข็งกระด้าง เธอเอื้อมมือไปหยิบยาจากเขา
ลู่เซิ่นยกมือขึ้น “เธอเห็นเหรอ”
ฉินซีตอบอย่างเย็นชา “ไม่ต้องสนใจฉัน”
เดิมทีฉินซีไม่ได้โกรธอะไรมากนัก เธอกลับไปที่ห้องและถอดรองเท้าออก เมื่อเห็นรอยแดงที่ฝ่าเท้า เธอคิดว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะลู่เซิ่นเมื่อเหมารวมและพุ่งเป้าไปที่เขาเธอก็เกิดโมโหขึ้นมา
ลู่เซิ่นหรี่ตาพลางเอื้อมมือไปจับคางของเธอ “เธอเป็นภรรยาของฉัน หน้าขอเธอ ฉันต้องสน”
ฉินซีไม่สามารถปัดมือของเขาออกไปได้ พูดอย่างเคืองๆ “ฉันกลัวว่าระหว่างที่นายทายาแล้วจู่ๆเกิดโกรธขึ้นมาอีก อย่าทรมานฉันเลย”
ลู่เซิ่นจับคางของเธอ ทายาอย่างระมัดระวังโดยไม่ตอบอะไรออกมา
เห็นได้ชัดว่ามือที่จับคางนั้นแข็งแกร่งมาก อย่างกับไม่รู้จักหนักเบาอย่างไรอย่างนั้น แต่ทว่ามือที่ทายากลับช่างอ่อนโยนเหลือเกิน ราวกับว่าฉินซีเป็นสิ่งที่เปราะบาง กลัวว่าหากหนักมือไปจะทำให้เธอรู้สึกเจ็บได้
ทั้งสองคนอยู่ใกล้ชิดกัน ฉินซีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาของลู่เซิ่นที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ในดวงตาของเขามีเพียงเงาสะท้อนของตัวเอง ราวกับสามารถทำให้คนจมไปในความอ่อนโยนนั้น
…ความอ่อนโยน?
เธอไม่คาดคิดว่าตัวเองจะเอาคำแบบนี้มาแปะบนตัวคนอย่างลู่เซิ่น
แต่บรรยากาศที่เป็นใจมากทำให้เธออดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอีกครั้ง “ทำไม…วันนี้นายถึงมาบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปล่ะ”
ลู่เซิ่นตอบไม่ตรงคำถาม เขาพูดเบาๆ “เธอไม่อยากให้ฉันไปเหรอ”
ฉินซีอยากจะส่ายหัว แต่ก็ถูกจับคางเอาไว้ “ไม่ใช่ไม่อยาก ก็แค่…อยากรู้ว่าทำไมนายถึงไปปรากฏตัวได้”
ลู่เซิ่นทายาเสร็จก็เก็บของเขาหยิบกระดาษจากด้านข้างและค่อยๆเช็ดมือ “เธอคือคุณนายลู่ สถานการณ์แบบนี้จะปล่อยให้เสียหน้าได้ยังไง”
อาจเป็นเพราะระยะห่างของทั้งสองคนถูกแยกออกจากกันอีกครั้ง หรืออาจจะเป็นอย่างที่ลู่เซิ่นว่า ฉินซีรู้สึกว่าความอ่อนโยนวาบหวามที่อบอวลในห้องเมื่อครู่นี้หายวับไปกับตา
ฉินซีเหลือบมองสีหน้าที่แข็งกระด้างของเขา “ ก็แค่การแต่งงานตามข้อตกลง จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ”
ลู่เซิ่นยิ้มเยาะ เขายกมือขึ้นโยนกระดาษทิชชู่ลงถังขยะ วางท่ามาดใหญ่ “จำเป็นหรือไม่จำเป็น มันขึ้นอยู่กับฉัน”
พูดจบ ไม่รอให้ฉินซีมีปฏิกิริยาตอบกลับ เขาก็หันหลังและออกจากห้องไป
ฉินซีมองไปที่ด้านหลังของเขาพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
ทั้งสองคนรู้จักกันมานานกว่าหนึ่งปี เขารักษาระยะห่างแบบนี้มาโดยตลอด
ให้ความช่วยเหลือเสมอตอนที่ต้องการมากที่สุด แต่ก็เฉยเมยที่สุดเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากัน
บางครั้งก็รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างคนสองคนใกล้กันมาก แต่ในพริบตาเดียว ราวกับว่าเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
….
ลู่เซิ่นที่กำลังฟังรายงานของหลินหยังในห้องทำงาน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์สตาร์ทจากทางด้านนอก
เขาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเป็นเชิงให้หลินหยังหยุด ต่อโทรศัพท์สายใน “คุณนายออกไปข้างนอกเหรอ?”
พ่อบ้านตอบอย่างสั่นๆ “คุณนายครับ เธอสั่งห้ามไม่ให้คนขับรถขับและขับรถออกไปเองครับ”
“ไปไหน” น้ำเสียงของลู่เซิ่นราบเรียบ
พ่อบ้านชะงักไปครู่หนึ่ง “คุณนายไม่ได้แจ้ง…
ลู่เซิ่นวางสายทันที
……
ไม่ใช่เพราะฉินซีโมโหเลยออกไปแบบนั้น
ก่อนหน้านี้เธอได้นัดเอาไว้แล้วว่าวันนี้หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการเสร็จจะออกไปพบทนายความจ้าว การที่ลู่เซิ่นพาไปที่โรงพยาบาลอย่างไม่รู้สาเหตุถ่วงเวลาเธอไปไม่น้อย ทำให้ต้องรีบเร่ง
เธอขับรถไปด้วยและโทรศัพท์หาทนายความจ้าวไปด้วย “ทนายความจ้าวคะ เมื่อกี้มีธุระนิดหน่อย ตอนนี้กำลังรีบขับรถไปหานะคะ”
น้ำเสียของทนายความจ้าวฟังดูนุ่มนวล “ไม่เป็นไรครับ ค่อยๆขับ”
แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น แต่ฉินซีรู้สึกเกรงใจเกินกว่าที่จะปล่อยให้เขาต้องรอนาน เธอเหยียบคันเร่งอีกครั้งเตรียมเปลี่ยนเลนเพื่อแซง
เธอเหลือบมองกระจกมองหลังและหยุดกะทันหัน
…รถโฟล์คสวาเกนสีดำกำลังขับตามรถของตัวเอง ดูเหมือนที่สี่แยกก่อนหน้านี้เธอก็เห็น
หรือว่า…รถคันนี้จะขับตามเธอมาตลอดทาง
ในใจของฉินซีรู้สึกแน่นไปหมด สีหน้าของเธอค่อยๆอึมครึมมากขึ้น
วันนี้ตอนเช้าเธอเข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นด้วยความสง่าผ่าเผย การเข้าร่วมคณะกรรมการก็เป็นที่สะดุดตา แต่นั่นทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่ก็มีไม่กี่คนที่จะส่งคนมาสะกดรอยตามเธอ
หรือว่าจะเป็น… หลี่เหวย
แต่เมื่อไม่นานมานี้หลี่เหวยเพิ่งจะข่มขู่เธอและก็ถูกเธอโทรแจ้งตำรวจ ระยะเวลาไม่นานเธอจะกล้าทำเรื่องสิ้นคิดแบบนี้ต่ออีกเหรอ
แม้จะรู้ว่าหลี่เหวยไม่ใช่คนดีเด่นอะไร แต่ตามสัญชาตญาณของฉินซีแล้ว รถคันนี้ไม่ใช่รถที่หลี่เหวยส่งมา
ถ้าไม่ใช่เพราะอยากแก้แค้นตัวเอง…
แวบแรกในหัวเธอนึกถึงลู่เซิ่น เพราะเมื่อตอนที่เธอออกมา เห็นได้ชัดว่าหน้าตาของพ่อบ้านดูลำบากใจ มันแสดงให้เห็นว่าลู่เซิ่นต้องกำชับกับเขาว่าถ้าแผลที่หน้ายังไม่หายดีไม่ให้เธอออกไปไหน
แต่เขาไม่น่าจะใช้วิธีอันธพาลแบบนี้ในการติดตามเธอ
ฉินซียังคงมีความเชื่อมั่นนี้อยู่
เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นใครเธอจึงทำได้แค่เร่งความเร็วและสลัดรถคันนั้นไปให้ได้
แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแออัด ฉินซียังคงติดอยู่ในการจราจรไม่ว่าเธอจะเร่งความเร็วอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารถคันนั้นจะยังไม่รู้ว่าเธอรู้ตัวแล้วและยังคงติดตามเธออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ฉินซีไม่กล้าไปต่อ เธอขับรถลงจากสะพานถนนและเห็นว่ารถโฟล์คสวาเกนสีดำยังคงขับตามเธอมา เธอก็เลี้ยวเข้ามุมและเหยียบเบรก
โดยรอบเป็นย่านการค้า ผู้คนไหลเวียนกันอย่างเนืองแน่น แม้จะปะทะกันแบบตัวต่อตัว แต่เธอก็ไม่ถึงกับนิ่งเฉย
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ฉินซีก็คว้าโทรศัพท์ไว้ในมือโดยอัตโนมัติ พร้อมที่จะโทรออกเสมอ
รถคันนั้นรู้ตัวว่าตัวเองถูกจับได้แล้วจึงรีบจะหักเลี้ยวทันที แต่เพราะการจราจรที่โกลาหลทำให้รถไม่สามารถหักหลบได้และติดอยู่ในเส้นทางการจราจรอย่างหมดทางหนี นอกเสียจากจะขับไปข้างหน้าที่เป็นทางตัน
ฉินซีขมวดคิ้ว
หากมีใครต้องการที่จะแก้แค้นเธอและพบว่าตัวเองถูกจับได้แล้วล่ะก็ โดยส่วนมากพวกเขามักจะเลือกบล็อกคนๆนั้นโดยตรง แต่ดูจากท่าทีที่รถคันนี้ขับไปมาแล้วดูเหมือนจะไม่ได้มาด้วยจุดประสงค์นี้
แต่ถ้าเป็นเพราะว่าอยากรู้ที่อยู่ของเธอ…ส่วนใหญ่จะจ้างทีมงานมืออาชีพ แต่การตามของรถคันนี้แปลกอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนจะไม่ใช่พวกที่ถูกว่าจ้างมา
ฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ก้าวจะไปข้างหน้า
คนขับไม่ได้ลงจากรถ หน้าต่างรถติดฟิล์มนิรภัยแบบหนา แต่เมื่อฉินซีเดินไปถึงด้านหน้ามองเห็นคนขับผ่านกระจกหน้ารถ
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นหซู่หนาน
เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกจับได้แล้ว หซู่หนานก็เลิกท่าทีหลบๆซ่อนๆของเขา เปิดประตูลงมาจากรถ
“นาย…ตามฉันมาทำไม”
ฉินซีมองเขาอย่างไม่พอใจ
แม้ว่าตัวของฉินซีจะเตี้ยกว่าหซู่หนานเล็กน้อย แต่จากมุมมองของคนอื่นแล้วรัศมีของเธอนั้นแข็งแกร่งกว่าหซู่หนานมาก
หซู่หนานก้มหน้าลง ยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น