บทที่ 871 ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงในเรื่องที่ไม่ควร
ฉินซีหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว แล้วเงยหน้าขึ้นมองสูหยิง“แม่?”
สูหยิงไม่สนใจว่าเขาจะพูด หรือจะแสดงออกอย่างไร เธอแค่มองตรงไปที่ฉินซี
ฉินซีทำได้เพียงตบไปที่หลังมือของลู่เซิ่น แล้วเดินเข้าไปหาสูหยิง
มุมปากของสูหยิงค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วชี้ไปที่ข้างๆ ลู่เซิ่น หันหน้าไปกำชับสูหวั่น“เธอไปนั่งตรงนั้น”
สูหวั่นน้อมรับด้วยความยินดี เดินเข้าไปอย่างมีความสุข ฉินซียักไหล่ไปทางลู่เซิ่น แล้วนั่งลงข้างๆ สูหยิง
เมื่อคนรับใช้นำอาหารเข้ามา ก็ทำให้บรรยากาศครึกครื้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เมื่อประตูห้องอาหารถูกปิดลง ห้องอาหารก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
เป็นลู่เหวยที่ยื่นแก้วไวน์มาอยู่ตรงหน้าก่อน“มันยากที่จะได้มาอยู่ร่วมกัน มาชนแก้ว”
สูหยิงหยิบแก้วขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วรุ่นเด็กกว่าก็ค่อยๆ หยิบแก้วตาม อย่างเป็นธรรมชาติ
ภายในแก้วเต็มไปด้วยเหล้าขาว ฉินซีไม่ค่อยได้ดื่มเหล้าประเภทนี้บ่อยนัก เพียงแค่จิบเบาๆ หลอดอาหารทั้งหมดก็เหมือนกับถูกแผดเผา ความร้อนพุ่งตรงไปยังกระเพาะอาหาร
เธอสำลัก แล้วไอออกมาเล็กน้อย อย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ค่อยชินใช่ไหม?”ลู่เหวยยิ้มอย่างใจดี“ดื่มน้ำซุปสักหน่อย ก็จะดีขึ้น”
ฉินซียิ้มให้เขา แล้วพยักหน้า
สีหน้าของสูหยิงดูเหมือนจะน่าเกลียดอีกครั้ง
เธอเหลือบมองไปที่ฉินซีที่อยู่ข้างๆ แล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับลู่เซิ่น“น้องสาวของบ้านลุงสู สูหวั่น ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ?”
ลู่เซิ่นพยักหน้าอย่างไม่สนใจนัก และไม่ได้ตอบอะไร
ฉินซีรู้ดีว่า ในตอนนี้ตัวเธอเองไม่ควรเข้าไปขัดจังหวะ ดังนั้นจึงดึงชามซุปที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง เข้ามาอย่างเงียบๆ ตั้งใจที่จะดื่มซุปสักเล็กน้อย
ทันใดนั้นสูหยิงก็ยื่นมือออกมา แล้วเลื่อนชามซุปไปอยู่ตรงหน้าของลู่เซิ่น“ให้เธอดื่มซุปหน่อยสิ”
ฉินซีมองไปที่ชามเปล่าของตัวเอง หมดคำที่จะพูด
หากยังไม่เห็นว่าสูหยิงกำลังพุ่งเป้ามาที่ตัวเธอ ก็แสดงว่าตาบอดแล้วล่ะ
สูหวั่นไม่คาดคิดว่าเธอจะตรงไปตรงมาขนาดนี้ และรีบโบกมืออย่างเก้ๆ กังๆ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำเองก็ได้ค่ะ”
ในตอนนี้สูหยิงก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วพูดปลอบใจว่า“ให้เขาดูแลหนูนั่นแหละ เป็นสิ่งที่ต้องทำจ๊ะ”
ลู่เซิ่นกลับไม่ได้ขยับมือ เพียงแค่มองไปที่สูหยิง ด้วยสีหน้าที่เย็นชา“แม่”
สูหยิงกลับยืนกรานหนัก“เอาซุปให้เธอ”
ลู่เซิ่นไม่พูดอะไรต่อ แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ อย่างไม่แยแส
สถานการณ์เริ่มน่าอึดอัดใจมากขึ้น
ในที่สุดลู่เหวยก็ออกมาไกล่เกลี่ย โดยกดกระดิ่ง เพื่อเรียกคนรับใช้ด้านนอกให้เข้ามา“แบ่งซุปให้เรียบร้อย หลังจากนี้อาหารจานใหญ่แบบนี้ ให้แบ่งก่อนมาเสิร์ฟ”
คนรับใช้ที่ไม่สามารถพูดอะไรได้ จึงได้เพียงแค่พยักหน้า แล้วทำตาม
เมื่อเห็นการแสดงออกของลู่เซิ่นหนักแน่น สูหยิงจึงไม่สามารถแสร้งทำเป็นว่า ฉินซีไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป จึงทำได้แค่พูดขึ้นว่า“ลู่เซิ่น ลูกคิดได้ยังไง บอกว่าแต่งงานก็แต่งงานเลย แล้วยังปิดบังภายในครอบครัวอีก”
สีหน้าของลู่เซิ่นยังคงไม่แยแส“อยากแต่งก็แค่แต่งเลย”
สูหยิงเลิกคิ้วขึ้น และเห็นการแสดงออกของลู่เซิ่น ยังคงไม่คืบหน้า ก็หันหน้าไปมองฉินซี ด้วยแรงอาฆาต“เธอก็อีกคน ลู่เซิ่นที่ไม่รู้เรื่อง เธอก็ให้เขาจัดการ?พ่อแม่ของเธอก็ไม่รู้จักสั่งสอน?”
ฉินซีก้มหน้าลง ก้มลงให้ต่ำ แต่คำพูดที่พูดออกมา กลับไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่นิด“พ่อแม่ของฉัน ไม่ได้จำกัดเสรีภาพในการแต่งงานของฉันค่ะ”
ความหมายก็คือ สูหยิงไม่ควรเข้าไปแทรกแซงในเรื่องที่ไม่ควรนั่นเอง
สูหยิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายๆ ครั้งด้วยความโกรธ เมื่อลู่เหวยเห็นว่า เธอดูเหมือนจะพูดอะไรไม่ดีเข้า ก็รีบพูดแทรก“ทานข้าวกันก่อนเถอะ อะไรก็ยังไม่ได้กินเลย!มา ลองชิมอันนี้”
เขาเลื่อนจานอาหารจานหนึ่ง มาอยู่ตรงหน้าของฉินซี ฉินซีเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วยิ้มให้กับความปรารถนาดีของเขา เป็นการตอบแทน
สูหยิงกลอกตาไปมา แล้วผลักชามซุป ที่คนรับใช้เสิร์ฟมาให้ออกไป แต่หลังจากนั้น ก็ไม่ได้พุ่งเข้าไปพูดอะไรกับฉินซีอีก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า“ยังจะทานอะไรได้อีก โกรธจนอิ่มแล้วเนี่ย”
ลู่เหวยหันไปทำปากแบะ ให้กับคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ“ได้ยินหรือยัง เอาของอะไรก็ได้ ที่ช่วยลดไฟให้กับคุณผู้หญิงหน่อย”
สูหยิงที่ถูกเขาแกล้ง ในที่สุดก็มีสีหน้าที่ดีขึ้น เป็นครั้งแรกในคืนนี้ และคลายความโกรธลงได้ชั่วคราว แล้วก้มหน้าลงไปทานอาหาร
ลู่เหวยแสดงสีหน้าให้กับลู่เซิ่น หลังจากนั้นก็ยิ้มให้เขา
ทันใดนั้นฉินซีก็คิดว่า ลู่เซิ่นเมื่อกลับมาตระกูลลู่ และเมื่อเทียบกับวันธรรมดาแล้ว……มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม
บางทีความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลลู่ ก็ถือว่าดีกว่าข่าวลือมากๆ
ถ้าอย่างนั้น……การแต่งงานที่หลบๆ ซ่อนๆ ของเขาและตัวเธอ ก็ยิ่งทำให้คนอื่นๆ มีข้อสงสัยมากขึ้น
ว่าท้ายที่สุด ทำไมเขาถึงยอมทำเรื่องแบบนี้ เพื่อท้าทายครอบครัวของเขาด้วย?
ฉินซีทานข้าวด้วย และคิดฟุ้งซ่านไปด้วย
เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ที่จะให้เธอคิดฟุ้งซ่านได้อีก เพราะความอยากอาหารของสูหยิงน้อยมาก หลังจากที่ทานไปเพียงไม่กี่คำ ก็เริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เธอดูเหมือนจะรู้ว่าจะไม่ได้ประโยชน์ใดๆ จากฉินซี และท่าทีของลู่เซิ่นนั้นยังเด็ดเดี่ยวมาก จึงยอมแพ้ไม่กล้าที่จะพูดออกมาตรงๆ แล้วก็พูดว่า“ลู่เซิ่น สูหวั่นก็เรียนการค้าระหว่างประเทศ ที่ประเทศMมาก่อน และเพิ่งจะเรียนจบในปีนี้ กำลังจะกลับประเทศ ลุงสูของลูกโทรมา ให้พวกเราดูแลเธอให้ดี แม่ก็คิดดูแล้ว ว่าจะให้ลูกเป็นคนดูแลเธอ ลูกก็ดูแลดีๆ แล้วกัน”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว“แม่ครับ?แม่จัดการคนมาให้ โดยไม่ถามผมสักคำ?”
สูหยิงยังไม่ได้พูดอะไร สูหวั่นก็รีบพูดก่อน“พี่ลู่คะ ฉันรู้ว่าตัวเองเพิ่งจะเรียนจบ และอาจจะช่วยเรื่องยุ่งๆ ของพี่ไม่ค่อยได้……”
สูหยิงก็ขัดจังหวะเธอ“แม่ก็ไม่ได้ให้ลูกจัดตำแหน่งที่แท้จริงให้เธอ ลูกไม่ใช่มีผู้ช่วยหลายคนเหรอ?ให้เสี่ยวหวั่นไปช่วยลูกก็ได้”
สีหน้าของลู่เซิ่นดูน่าเกลียดมากกว่าเดิม“แม่จะให้สูหวั่นมาเป็นผู้ช่วยของผมเหรอ?”
น้ำเสียงของเขาดูไม่เต็มใจ อย่างเห็นได้ชัด และไม่ได้สนใจสูหวั่นที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ใบหน้าแดงก่ำ
สูหยิงเงยหน้าขึ้น“ทำไมเหรอ?งั้นบอกหน่อยสิ ว่าจะให้สูหวั่นอยู่ที่ไหน ถึงจะดีที่สุด?”
ลู่เซิ่นหัวเราะเยาะ“ให้ผมจัดการ?ผมจะไม่ให้เธอเข้าบริษัทลู่ซื่อ”
สูหวั่นที่ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ในไม่ช้า สูหยิงก็ตบโต๊ะ“หุบปาก!ฉันได้จัดการไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะนัดคน ให้พาเธอไปทำงาน!”
ลู่เซิ่นพูดอย่างเย็นชา“ไม่ใช่ให้ผมร่วมปรึกษาเหรอ แจ้งผมแค่นี้?ผมจะเอาผู้ช่วยที่ไร้ประโยชน์มาทำไม?”
สูหยิงจ้องเขา“ปรึกษากับเธอจะได้ประโยชน์อะไร?เด็กผู้หญิงก็นั่งอยู่ข้างๆ เธอ!เธอยังกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นอีก!”
ในที่สุดสูหวั่นก็หาโอกาสที่จะพูดได้ โดยแสร้งทำเป็นกลัวๆ ว่า“ฉัน……ฉันไม่คิดว่าจะทำให้พี่ลู่โกรธขนาดนี้ ป้าสะใภ้คะ คุณป้าก็ไม่ต้องโกรธนะคะ พี่ลู่ พี่ก็ไม่ต้องโกรธแล้วค่ะ ฉัน……ฉันอาจจะไม่ไป……”
ฉินซีกลอกตาไปมาอย่างเงียบๆ ในใจ
แค่เห็นแวบแรก ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเห็นเงียบๆ แต่ฟาดเรียบนะคะ
จุ๊ๆ เมื่อพูดอย่างนั้น ตอนนี้ลู่เซิ่นไม่ให้เธอเป็นผู้ช่วย ก็รู้สึกเขินอายทันที
ลู่เซิ่นไม่คาดคิดว่าสูหวั่นจะร้องไห้ หันหน้าเหลือบไปมองเธอ สีหน้าก็หงุดหงิดมากขึ้น
สูหยิงที่ไม่รับปากแต่แรก จึงพูดปลอบใจ“หนูอย่าไปฟังพี่ลู่เลย ฟังที่ป้าพูดนี่ อย่าไปสนใจเขา สัปดาห์หน้า ป้าจะจัดการให้หนูไปทำงานที่บริษัทลู่ซื่อ!”