บทที่ 913 ความทรงจำขาดหาย
ลู่เซิ่นขึ้นตามไป หันไปมองใบหน้าซีดขาวของเธอ ครุ่นคิดสักพักจึงถามว่า “กลัวเหรอ”
ถึงแม้จะถูกแทงใจดำ ทว่าฉินซีให้ตายก็ขอไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด “ไม่มีอะไรค่ะ”
ลู่เซิ่นเองก็ไม่ได้บังคับเธอต่อ เขาหันออกไปมองนอกหน้าต่างแล้วออกคำสั่งเบา ๆ ว่า “ขับช้า ๆ ”
ฉินซีตกตะลึง เธอเหลือบมองใบหน้าของเขาแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ “ขอบคุณค่ะ”
ลู่เซิ่นค่อย ๆ โบกมือ “ครั้งหน้าถ้ากลัวก็พูดออกมาตรง ๆ ไม่มีใครหัวเราะเยาะเธอหรอกนะ”
ฉินซีตะลึงอยู่หลายวินาที ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
รถค่อนข้างติด ระหว่างที่ฉินซีกำลังรอสัญญาณไฟจราจรก็หยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความสองสามข้อความ ทันใดนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปถามลู่เซิ่น “คุณบล็อกฉินซึ่งเทียนไปแล้วใช่ไหม”
ลู่เซิ่นมองเธออย่างไม่เข้าใจ “บล็อกเหรอ”
ฉินซีเขย่าโทรศัพท์ในมือ “บล็อกไปแล้ว จะได้ไม่รบกวนคุณอีก”
ลู่เซิ่นหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าบล็อกฉินซึ่งเทียนตามที่เธอบอก
ความจริงแล้วลู่เซิ่นไม่มีเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของเขา เวลาติดต่อกันเขาก็ติดต่อผ่านผู้ช่วย
หลังจากที่บล็อกไปแล้วลู่เซิ่นจึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาเอ่ยถามฉินซีว่า “ทำไมฉินซึ่งเทียนถึงต้องการพบฉัน”
ฉินซีตอบอย่างมั่นใจ “ก็คุณไปทำให้เขาเดือดร้อน ดังนั้นเขาจะต้องอยากพบคุณอย่างแน่นอน”
ลู่เซิ่นมองท่าทางที่บ่งบอกว่ามีเหตุผลเสียเต็มประดาของเธอแล้ว รอยยิ้มที่ริมฝีปากของเขาก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในเมื่อฉินซีเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาเป็นที่สร้างความลำบากให้กับฉินซึ่งเทียน ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่สามารถทรยศต่อความคาดหวังของเธอได้
ชีวิตแต่ละวันหลังจากกลับมาอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนแทบไม่ต่างอะไรจากตอนที่อยู่โรงพยาบาลมากนัก
เธอยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนเตียง
พวกคนรับใช้ในรีสอร์ทชิงหยวนทำเหมือนว่าเธอเป็นสิ่งของที่สามารถแตกหักได้โดยง่าย แค่เธอเดินลงบันไดก็มีคนจับตามองอย่างเป็นกังวลเพียงเพราะกลัวว่าเธอจะเกิดอุบัติเหตุ
ฉินซีรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะตลก ถึงแม้ว่าพวกคนรับใช้จะทำไปเพราะความหวังดี แต่เธอก็อดที่จะพูดกับพวกเขาไม่ได้ หลังจากที่พูดดี ๆ อยู่หลายครั้งแล้วไม่มีใครรับฟังความเห็น เธอก็เลยคิดว่าช่างมันเถอะ
อย่างไรก็ตามต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ในการพักฟื้น เพราะอย่างนั้นตามใจพวกเขาก็แล้วกัน
ช่วงแรก ๆ ที่ต้องนอนอยู่บนเตียงแต่ก็รู้สึกว่าสบายดี แต่หลังจากนั้นฉินซีก็รู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องอยู่เฉย ๆ
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนบ้างาน แต่จะให้นอนบนเตียงนาน ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยก็แทบจะไม่มีความเป็นไปได้
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังคงมีสัญญากับลู่เซิ่น เธอต้องคืนเงินที่ยืมเขามาตอนนั้นให้หมดมาภายในสิบปี
ถึงตอนนี้เธอจะเอาหุ้นกลับมาได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจเรื่องเงินปันผลว่าเป็นอย่างไร แล้วจะได้มาเมื่อไหร่ก็ล้วนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หากเธอไม่ออกไปทำงานก็ต้องสูญเสียรายได้ก้อนใหญ่ในทุก ๆ เดือน แบบนั้นแล้วก็คงไม่สามารถคืนเงินที่ยืมมาได้
เป็นเพราะได้พักผ่อนอยู่นาน ฉินซีจึงมีโอกาสคิดฟุ้งซ่านขึ้นมามากมาย
ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนที่ชอบรำลึกความหลังอะไรขนาดนั้น นอกจากนี้ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเหมือนเป็นการทรมานรูปแบบหนึ่ง
แต่เธอไม่ชอบที่จะหนี
ช่วงเวลาสองสามวันที่เธออยู่โรงพยาบาล ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เธอฝันและคิดถึงภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ไม่น้อย เธอจึงพยายามที่จะจัดการมันให้เป็นระเบียบ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ฉินซีก็พบปัญหา
เธอมีความทรงจำส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งที่คล้ายจะขาดหายไป
นั่นก็คือเธอจำเรื่องตั้งแต่ตอนที่แม่ของเธอเข้าโรงพยาบาลจนถึงตอนที่แม่ของเธอจากไปไม่ได้เลย
ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร หลังจากคิดทบทวนดูแล้วพบว่าจำอะไรไม่ได้เลยหลาย ๆ ครั้งเข้า เธอก็เริ่มรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะแปลกประหลาด
บังเอิญว่าวันนั้นอานหยันมาหาเธอพอดี ฉินซีจึงถือโอกาสถามเสียเลย “ตอนที่แม่ฉันเข้าโรงพยาบาลจนเสร็จสิ้นพิธีศพฉันทำอะไรอยู่”
อานหยันทำสีหน้าแปลกใจกับคำถามนี้ของเธอ “เธอก็ทำงาน แล้วก็ดูแลแม่ของเธอ ยังจะทำอะไรได้อีกอ่ะ”
ฉินซีส่ายหน้า “ช่วงนี้ฉันพบว่าความทรงจำในเวลานั้นของตัวเองเลือนรางมาก ฉันมักกังวลว่า…ฉันได้ลืมเรื่องอะไรไปหรือเปล่านะ”
อานหยันคร่ำครวญอยู่พักหนึ่งแล้วยื่นมือมาตบไหล่เธอ “อาจเป็นเพราะช่วงเวลานั้นเธอยากลำบากเอามาก ๆ ดังนั้นสมองก็เลยปิดกั้นความทรงจำในส่วนนั้นชั่วคราวเพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง”
ฉินซียักไหล่ ความจริงแล้วคำอธิบายนี้ของอานหยันค่อนข้างที่จะสมเหตุสมผล แต่เธอกลับรู้สึกถึงความไม่เข้ากันที่ไม่สามารถอธิบายได้
ตอนที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงโทรศัพท์มือถือของอานหยันดังขึ้น
ฉินซีชำเลืองมองตามสัญชาตญาณ จึงพบว่าฉินซึ่งเทียนเป็นคนโทรมา
อานหยันวางสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นก็พบว่าฉินซีเห็นทุกอย่างหมดแล้ว จึงเผยสีหน้าอึดอัดขึ้นมาหลายส่วน “เธอ…”
“เขาคิดจะก่อกวนแม้กระทั่งเธอใช่ไหม” ฉินซีค่อนข้างที่จะโมโห “ทำไมเธอไม่บอกฉัน”
อานหยันส่ายหน้า “ตอนแรกเขาโทรมาหาฉันแล้วบอกว่าเขาติดต่อเธอไม่ได้ บอกว่าถ้าฉันมาหาเธอก็ให้โทรศัพท์หาเขาหน่อย แต่ฉันรู้ดีว่าเขาจะต้องไม่ได้มีเจตนาดีอย่างแน่นอน ช่วงนี้เธอต้องรักษาตัวให้ดี ๆ ดังนั้นก็เลยไม่ได้บอก”
ขณะที่พูดอยู่โทรศัพท์ของอานหยันก็ดังขึ้นมาอีก
ยังคงเป็นฉินซึ่งเทียน
ฉินซีเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่อานหยัน เห็นว่าเธอยอมรับโดยนัยแล้ว ก็หยิบโทรศัพท์ของอานหยันขึ้นมาแล้วบล็อกฉินซึ่งเทียน
เธอรู้ว่าอานหยันไม่ได้เป็นเพียงบรรณาธิการนิตยสารธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นสมาชิกของหน่วยข่าวกรองด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวว่าการที่ทำแบบนี้จะเป็นการผิดใจกับฉินซึ่งเทียน
“ถ้าหลังจากนี้เขาไปหาเธอ เธอก็ไม่ต้องไปสนใจ” ฉินซีกำชับ
อานหยันพยักหน้า
หลังจากที่ทั้งสองคนคุยกันไปได้สักพักอานหยันก็ขอตัวกลับ ฉินซีมองตามแผ่นหลังของเธอไปอย่างครุ่นคิด
ฉินซึ่งเทียนถึงขั้นติดต่อมาทางอานหยันแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…ความจริงแล้วลู่เซิ่นลงมือแก้แค้นกับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
ฉินซีไม่ได้รู้สึกเศร้าเกินไปนัก เพียงแค่ค่อนข้างแปลกใจที่ลู่เซิ่นทำแบบนี้
แต่ก่อนที่เธอจะมีโอกาสถามลู่เซิ่น เธอก็ได้รับอีเมลจากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
เป็นอีเมลทำงานที่เป็นทางการ แจ้งให้ทราบว่าพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท ขอให้เธอเข้าร่วมการประชุมด้วย
ฉินซีเลิกคิ้วก่อนจะตอบกลับไปว่า “ยืนยันการเข้าร่วม”
…
การประชุมคณะกรรมการบริษัทจัดขึ้นที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทลู่ซื่อมากนัก เรียกได้ว่าทางสะดวก ทว่าในตอนเช้าฉินซีกลับออกไปคนเดียว ไม่ได้ไปกับลู่เซิ่น
เพราะว่าลู่เซิ่นไม่เห็นด้วยกับการที่เธอจะไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทในครั้งนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอพยายามใช้เหตุผล แล้วก็ยังให้หมอมาตรวจสุขภาพอีกครั้ง เพื่อรับรองว่าสุขภาพดีเหมือนเดิมแล้ว เธอเดาได้เลยว่าลู่เซิ่นจะต้องหาเรื่องจับขังเธอเอาไว้ในบ้านอย่างแน่นอน
นี่เป็นการประชุมครั้งแรกหลังจากที่เธอขึ้นเป็นคณะกรรมการ ถ้าหากขาดการประชุมในครั้งนี้แล้ว ฉินซึ่งเทียนจะต้องหาเหตุผลมากมายมายื่นมติไม่ไว้วางใจเธออย่างแน่นอน
เธอยังสงสัยด้วยซ้ำว่าอาจมีเจตนาเปิดการประชุมนี้โดยเฉพาะ
ความปรารถนาที่จะควบคุมของลู่เซิ่นแข็งแกร่งเกินไป…
ฉินซีแบบตำหนิในใจ เธอไปที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปด้วยตัวเองโดยไม่ให้คนขับรถพาไป
เห็นได้ชัดว่าการประชุมคณะกรรมการบริษัทในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการพูดคุยของผู้ถือหุ้นในครั้งก่อน ข้างนอกก็ไม่ได้มีพวกสื่อมวลชน
ฉินซีจอดรถที่ลานจอดรถตรงชั้นใต้ดินอย่างราบรื่น ขณะที่ประตูลิฟต์กำลังเปิด กลับต้องพบกับคนที่ไม่อยากจะพบมากที่สุด…หลี่เหวย
ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่ได้มากับฉินซึ่งเทียน เธอฉินซีกวาดสายตาไปรอบ ๆ หลี่เหวยไม่ได้พาบอดี้การ์ดมาด้วย
เธอลอบคิดในใจอย่างชั่วร้ายว่า ถ้าเธอพุ่งเข้าไปตบหลี่เหวยตอนนี้หล่อนก็คงไม่สามารถต่อต้านเธอได้
ทว่าเธอก็ได้แค่คิด เธอไม่สามารถที่จะทำเรื่องพวกนี้จริง ๆ ได้