บทที่ 921 ตอบรับตามคำร้องขอ
ในเมื่อลู่เซิ่นสร้างบันไดให้เธอก่อนแล้ว ฉินซีเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบหักหน้าคนอื่น จึงไม่ได้ท่าทีปฏิเสธต่ออีก ก่อนจะรับคำเสียงเบา แล้วรับนามบัตรมาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ
มีเรื่องมากมายหลายอย่างอัดอยู่ในหัวของเธอ จึงอยากจะใช้น้ำร้อนมาบรรเทามันสักหน่อย
เมื่อน้ำเต็มอ่าง ฉินซีก็ถอดเสื้อออก นามบัตรที่ยัดไว้อย่างลวก ๆ ก็หล่นลงมา
ฉินซีลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา
“หลินยี่…”
เธอมักจะรู้สึกว่าชื่อนี้ค่อนข้างที่จะคุ้นหู แต่เธอจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินมาจากไหน
ลู่เซิ่นตั้งใจแนะนำหลินยี่ให้เธออย่างจริงจัง ทั้งยังบอกว่า ‘เกิดเรื่องอะไรขึ้นให้ไปหาเขา’ อีก ลู่เซิ่นไม่เคยพูดอะไรแบบนี้มาก่อน…
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
หรือว่าลู่เซิ่นรู้เรื่องภารกิจของเธอ
เป็นไปไม่ได้ ฉินซีส่ายหน้าปฏิเสธ
ลู่เซิ่นอาจจะเดาเรื่องงานของเธอออก แต่ไม่มีทางที่จะรู้เนื้อหาของภารกิจลับสุดยอดนี้ได้
เธอเก็บนามบัตรไว้ในกระเป๋า
หลินยี่…
ถ้ามีโอกาสครั้งต่อไป เธอจะต้องลองตรวจสอบชื่อนี้ดูอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องการขอความช่วยเหลือ…
ฉินซีหัวเราะเบา ๆ
นี่เป็นเรื่องของเธอ เธอจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะทำมันให้สำเร็จด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงไม่คิดจะลากลู่เซิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะให้โทรหาเพื่อนของเขาเพื่อขอความช่วยเหลือก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้แล้วใหญ่
ฉินซีเปิดประตูห้องน้ำ แต่ทางเดินข้างหน้ากลับถูกขวางกั้นไว้
ร่างกายสูงใหญ่ของลู่เซิ่นยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เขาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำไว้บนตัว เผยให้เห็นแผงอกที่ยังคงเต็มไปด้วยหยดน้ำ
ฉินซีเงยหน้าสบตากับลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นหรี่ตา สายตาเหมือนกำลังมองเหยื่ออันโอชะอย่างไรอย่างนั้น
ฉินซีรู้ได้ทันทีว่าเขาคิดจะทำอะไร
เธอจึงขยับตัวไปด้านข้าง “ขอฉันเป่าผมให้แห้งก่อน…”
ยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นเธอก็ถูกลู่เซิ่นกอดรัดเอาไว้
“เดี๋ยวมันก็แห้งเอง”
…
ตอนที่ทำมันเสร็จแล้ว ผมของฉินซีก็แห้งจริง ๆ
ใบหน้าของเธอยังแดงก่ำไม่หาย พอหันไปมองลู่เซิ่น ก็พบว่าเขายังคงมีเหงื่ออยู่เต็มหน้าผาก
“ลู่เซิ่น” เธอพูดขึ้นเสียงเบา น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “ถอนบอดี้การ์ดออกเถอะนะคะ”
ลู่เซิ่นชะงัก เขาหันไปมองเธอแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฉินซีรู้ว่านี่เป็นสัญญาณที่เขากำลังบอกว่าไม่เห็น แต่ในเมื่อหลังจากนี้เธอต้องไปทำงานให้หน่วยข่าวกรอง จึงไม่สะดวกที่จะมีคนติดตาม
“ไม่ใช่ว่าตรวจสอบชัดเจนแล้วเหรอ คนที่ต้องการทำร้ายฉันก็คือคนจากตระกูลฉิน ครั้งก่อนพวกเขาลงมือไม่สำเร็จ คงไม่มาสร้างปัญหาให้ฉันอีกในเร็ว ๆ นี้แน่ ฉินซึ่งเทียนเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก เขาชอบลอบแทงข้างหลัง ไม่มีทางที่จะทิ้งจุดอ่อนไว้ ดังนั้นฉันจะจัดการดูแลคนของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ส่งคนมาคอยติดตามฉันก็ไม่มีประโยชน์” น้ำเสียงของฉินซีไม่ได้มีอะไรมาก แต่ฟังแล้วกลับเหมือนมีพลังที่ทำให้คนยอมแพ้ได้อย่างง่ายดาย “ฉันเองก็ไม่ชอบให้มีคนคอยจ้องมองเวลาไปที่ไหน”
ลู่เซิ่นคิดอยู่สักพัก และในที่สุดก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือบอดี้การ์ดไว้คอยติดตามเธอสักคน”
น้ำเสียงของเขาฟังแล้วทำให้รู้สึกว่ายากที่จะปฏิเสธ ทว่าฉินซีกลับส่ายหน้า “ฉันมีงานกับชีวิตของตัวเอง การที่มีคนคอยติดตาม มันค่อนข้างที่จะไม่สะดวกเอามาก ๆ แล้วฉันก็มั่นใจว่าอย่างน้อยตอนนี้คนจากตระกูลฉินก็คงไม่มีโอกาสลงมือกับฉัน”
ช่วงเวลาต่อจากนี้เธอจะต้องทำงานให้อานหยัน เวลานั้นคนจากหน่วยข่าวกรองจะคอยปกป้องเธอ
นอกจากนี้เธอยังกลัวว่าคนของหน่วยข่าวกรองกับบอดี้การ์ดของลู่เซิ่นจะปะทะกัน เธอจึงอยากให้ลู่เซิ่นรีบถอนบอดี้การ์ดออกไปเร็ว ๆ
ลู่เซิ่นมองตรงไปที่เธอ หลังจากผ่านไปเนิ่นนานก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกฉันได้ตลอด”
เธอหลับตาลง ไม่ได้ตอบรับเขา
ลู่เซิ่นคิดว่าเธอหลับไปแล้วจึงไม่ได้ไล่ถามอะไรต่ออีก เพียงปิดไฟที่หัวเตียง ลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ แล้วเดินออกจากห้องไปอีกครั้ง
หลังจากสิ้นเสียงปิดประตู ฉินซีก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด
ถึงแม้ว่าเรื่องสนิทสนมที่เธอเพิ่งทำเมื่อคืนนี้จะอยู่นอกเหนือความคาดหมาย แต่กลับเป็นไปตามแผนแผนที่เธอวางเอาไว้
ลู่เซิ่นเป็นคนเจ้าอารมณ์ ชอบใช้ไม้อ่อนไม่ใช่ไม้แข็ง หลายครั้งที่เขามักจะไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น การจะเปลี่ยนความคิดของเขามันยากเสียยิ่งกว่ายาก
ฉินซีไม่กลัวว่าเขาจะโมโห ทว่าการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดโดยใช้ความพยายามเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นบรรทัดฐานของเธอมาตลอด
ลู่เซิ่นมักจะคุยง่ายมากหลังจากที่ทำเรื่องแบบนั้นเสร็จ เป็นช่วงเวลาอันน้อยนิดเพียงไม่กี่ครั้งที่เขาจะยอมตอบรับตามคำร้องขอ
นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ฉินซีสรุปเอาไว้ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา
ไหล่ของเธอรู้สึกเย็นเล็กน้อย จึงลุกขึ้นไปหยิบเสื้อคลุมมาสวม คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ แล้วอาบน้ำใหม่เป็นครั้งที่สอง
ถึงแม้ว่าผมจะแห้งแล้ว แต่มันกลับพันกันยุ่งเหยิง ไม่ง่ายที่จะจัดการ
ตอนที่น้ำอุ่น ๆ ไหลลงมา ทันใดฉินซีก็รู้สึกว่าฉากนี้คุ้นเอามาก ๆ
เหมือนภาพที่เธอขึ้นเตียงกับลู่เซิ่นครั้งแรก
เธอเซ็นสัญญา จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวน
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอเช่าบ้านอยู่ก็ไม่ได้มีสัมภาระอะไรมาก และยังไม่มีคนให้ต้องบอกลา เธอเพียงบอกอานหยันคำหนึ่ง แล้วเข้ามาอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนทันที
ถึงแม้อานหยันจะไม่เห็นด้วยที่ฉินซีเซ็นสัญญากับลู่เซิ่น แต่เธอก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ ทำได้เพียงช่วยฉินซีเก็บข้าวของ แล้วมาส่งเธอที่หน้าประตูรีสอร์ทชิงหยวน จากนั้นก็ขับรถออกไป
พ่อบ้านยิ้มทักทายว่า “คุณฉินใช่ไหมครับ ตามผมมา ผมจะพาคุณไปทำความคุ้นเคยกับที่นี่”
ฉินซีพยักหน้า พวกคนรับใช้มารับสัมภาระที่อยู่ในมือของเธอไป เธอทำได้เพียงเดินตาม
ลู่เซิ่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรรีสอร์ทชิงหยวนมากนัก อย่างน้อยสถานที่ที่ฉินซีคุ้นเคยก็ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าพ่อบ้านจะพอรู้เรื่องนี้ หลังจากพาเธอแนะนำอย่างคร่าว ๆ เสร็จก็กลับไปที่อาคารหลัก
ตอนที่ฉินซีเดินไปตามอาคารหลัก เธอก็ค่อนข้างที่จะสับสนอยู่พักหนึ่ง
พ่อบ้านเหมือนจะไม่ได้บอกว่าหลังจากนี้เธอต้องพักอยู่ที่ไหน
โชคดีที่เขาช่วยคลายความสงสัยให้เธอได้อย่างรวดเร็ว เขาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องนอน แล้วชี้มาที่เธออย่างสุภาพ “คุณฉิน หลังจากนี้คุณจะพักอยู่ที่นี่”
ฉินซีรู้สึกไม่สงบใจเป็นอย่างมาก
หลังจากที่พ่อบ้านผลักประตูให้เปิดออก เธอก็ค่อย ๆ หลับตาลง
เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
“นี่เป็นห้องนอนหลัก และเป็นห้องนอนของคุณลู่ด้วยเช่นกัน” เขายื่นมือไปหาฉินซี ทว่ากลับไม่ได้เข้าไปข้างใน “ผมไม่สะดวกที่จะเข้าไปข้างใน แต่คุณสามารถเข้าไปทำความคุ้นเคยกับมันได้”
ฉินซีเม้มริมฝีปากแล้วหันกลับไปถาม“ ที่อาคารหลักไม่มีห้องนอนแขกเหรอคะ”
สีหน้าของพ่อบ้านแข็งค้างไปชั่วขณะ เขาส่ายหน้า “แม้ว่าจะมีห้องนอนแขก แต่ก่อนหน้านี้คุณชายได้สั่งเอาไว้ว่าให้คุณเข้าพักในห้องนอนใหญ่…”
ฉินซีกัดฟัน ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจต่อ “ค่ะ เข้าใจแล้ว”
พ่อบ้านดูเหมือนจะโล่งใจ น้ำเสียงที่พูดเปลี่ยนเป็นเบาและช้าลง “พวกเราจัดการเรื่องเสื้อผ้าของคุณเรียบร้อยแล้ว ห้องแต่งตัวอยู่ทางฝั่งนั้น คุณต้องการที่จะไปดูไหมครับ”
ฉินซีมองไปที่ห้องนอน จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
ถึงยังไงเธอก็ต้องอยู่ที่นี่ หลังจากนี้ก็ยังมีโอกาสไปดู
ดูเหมือนว่าลู่เซิ่นจะไม่อยู่บ้าน ตอนกินข้าวฉินซีก็นั่งกินคนเดียว
ต้องขอบคุณลู่เซิ่นที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างรีสอร์ทชิงหยวนมากมายสักเท่าไหร่ ความคุ้นเคยที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ค่อย ๆ กลับเข้ามาในหัวใจของฉินซีอย่างช้า ๆ ความระแวดระวังและความรู้สึกไม่คุ้นเคยในช่วงแรกค่อย ๆ หายไป
เธอเดินไปรอบ ๆ รีสอร์ทชิงหยวน เมื่อเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ไม่มีวิธีอื่นที่จะสามารถถ่วงเวลาได้อีก จึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วกลับไปที่ตึกหลัก เดินขึ้นไปข้างบนช้า ๆ จากนั้นก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หลับตา เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปทีละก้าว
ประตูถูกปิดตามหลัง
ฉินซีคิดว่าเธอไม่ใช่คนหัวโบราณมากมายอะไรนัก แต่ความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเหยียบเข้ามาในห้องของผู้ชายที่โตเต็มวัย