บทที่ 922 เธอกับลู่เซิ่นเดินมาถึงจุดนั้นแล้ว
ห้องนอนของลู่เซิ่นน่าจะมีคนเข้ามาทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ แต่ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา วิธีการทำความสะอาดไม่เหมือนกับข้างนอกโดยสิ้นเชิง บนโต๊ะยังคงมีเอกสารหลายฉบับวางอยู่อย่างกระจัดกระจาย
ฉินซีตั้งสติแล้วเดินเข้าไปข้างใน
ห้องนอนหลักใหญ่มาก ดูคล้ายกับว่าเป็นการรวมห้องสองห้องเข้าด้วยกัน ดังนั้นการจัดวางของที่นี่จึงดูแปลกตาสำหรับฉินซี
เตียงตรงกลางห้องถูกปูด้วยผ้านวมที่ทำจากผ้าไหมสีเทาเข้ม ห้องน้ำอยู่ทางขวามือ
ฉินซีไม่ได้สนใจเตียงนอนมากนะ เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
พ่อบ้านนำของเข้ามาวางไว้ให้เธอแล้วก็ออกไป
เมื่อได้เห็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของตัวเองกับลู่เซิ่นถูกวางเรียงเข้าด้วยกัน ฉินซีก็อดรู้สึกแปลก ๆ ในใจไม่ได้
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกเราทั้งสองคนไม่ได้รู้จักกัน แต่ภาพการใช้ชีวิตแบบนี้ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนสนิทกันมาก
เธอยักไหล่ ก่อนจะหยิบข้าวของแล้วเปิดฝักบัวในห้องน้ำ
น้ำอุ่น ๆ สามารถช่วยให้จิตใจของคนเราผ่อนคลายได้มากที่สุด หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉินซีก็รู้สึกง่วงนอนเล็กน้อย จึงคลายการเฝ้าระวังลง
ดังนั้นเธอจึงเปิดประตูห้องน้ำโดยไม่ทันได้เตรียมป้องกัน จนเกือบโดนคนที่ยืนอยู่หน้าประตูทำให้ตกใจจนแทบจะกระโดด
เธอถอยหลังไปก้าวใหญ่ ๆ พื้นห้องน้ำยังคงเปียกชื้น โชคดีที่เธอใช้มือยันอ่างล้างหน้าเพื่อพยุงตัวไว้ เลยไม่ล้มลงไปเสียก่อน
เธอยังไม่ทันที่จะดึงสติกลับมาได้ เงาดำนั้นก็ก้าวเข้ามายืนหยุดอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ประคองเอวของเธอเอาไว้ “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
แสงไฟในห้องน้ำสว่างจ้า ดังนั้นฉินซีจึงสามารถเห็นใบหน้าของคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน
นอกจากลู่เซิ่นแล้วยังจะมีใครที่สามารถมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อีก
ฉินซีส่ายหน้า ระยะห่างของทั้งสองคนใกล้กันมาก เธอรู้สึกว่าเซลล์ทุกส่วนในร่างกายกำลังส่งเสียงเตือน ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเธอจึงยื่นมือไปผลักแขนของลู่เซิ่นออก เป็นนัยว่าให้เขาปล่อยเธอได้แล้ว
ทว่าลู่เซิ่นกลับโอบเอวเธอโดยไม่สนใจว่าฉินซีกำลังดันมือของตัวเองอยู่ เขามองเธอด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ถูกฉันทำให้กลัวแล้วอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีค่อนข้างที่จะไม่พอใจกับคำสบประมาท เธอจึงเงยหน้ามองเขา “ฉันไม่ได้ถูก ‘คุณ’ ทำให้กลัวเสียหน่อย แค่ตกใจที่อยู่ ๆ คุณก็ ‘โผล่มาอย่างกะทันหัน’ ก็เท่านั้น”
ทันใดนั้นลู่เซิ่นก็ก้มศีรษะเข้าไปใกล้เธอ
หน้าผากของทั้งสองคนแนบชิด ลมหายใจของลู่เซิ่นแทบจะรินรดลงบนริมฝีปากของเธอ
“ฉันสามารถทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอกลัวมากกว่านี้ได้อีก”
ฉินซีหน้าเปลี่ยนสี
แน่นอนเธอรู้ดีว่าตั้งแต่ตอนที่เธอเซ็นสัญญาจนกระทั่งตอนที่พ่อบ้านพาเธอมาแนะนำห้องนอนหลัก ก็เหมือนเธอถูกย้ำเตือนถึงความจริงข้อนี้อยู่ตลอดเวลา…เธอกับลู่เซิ่นเดินมาถึงจุดนั้นแล้ว
ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามทำเป็นไม่รับรู้ถึงความจริงข้อนี้ พยายามที่จะไม่หยุดสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ท้ายที่สุดเมื่อเวลานั้นมาถึง เธอก็อดไม่ได้ที่จะขี้ขลาดนิด ๆ
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองนั้นใกล้กันจนเกินไป ลู่เซิ่นสามารถสัมผัสถึงอาการสั่นน้อย ๆ ของฉินซีได้อย่างชัดเจน น้ำเสียงของเขาต่ำลงอีกเล็กน้อย “การที่เซ็นสัญญาฉบับนั้นลงไปแล้ว…หมายถึงอะไรเธอก็น่าจะรู้ดี”
ฉินซีหลุบตาลง ไม่ได้มองเขาตรง ๆ เพียงแค่ส่งเสียงว่า “อืม” ออกมาเบา ๆ
จากนั้นเธอก็ถูกอุ้มจนตัวลอย
“ในเมื่อรู้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้น…”
คำพูดส่วนท้ายของลู่เซิ่นหายไปตรงกลางระหว่างริมฝีปากของทั้งสองคน
ฉินซีถูกจับให้นอนลงบนเตียง พื้นผิวของผ้าไหมให้ความรู้สึกที่เย็นมาก ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกราวกับร่างกายค่อย ๆ ถูกล้อมด้วยน้ำทะเล ร่างกายร้อนผ่าว ทว่ากลับหายใจลำบากเล็กน้อย
คราบน้ำสีเข้มไหลซึมเป็นดวงอยู่บนผ้าปูที่นอน กำแพงเก็บเสียงกักกันเสียงอันคลุมเครือไว้ข้างในห้อง
ระหว่างที่ฉินซีกำลังขึ้น ๆ ลง ๆ ก็มองเห็นหยาดเหงื่อที่กำลังไหลลงมาจากหน้าผากของลู่เซิ่น
เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ตอนที่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความต้องการของลู่เซิ่นหยุดลง เธอก็หลับตาลงครึ่งหนึ่งแล้ว
ทว่าร่างกายยังคงเต็มไปด้วยเหงื่อ ดังนั้นเธอจึงรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก เลยพยายามลุกขึ้นไปอาบน้ำ
ลู่เซิ่นมีสีหน้าไม่ยินยอม แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงรั้งเธอไว้
…ดูเหมือนว่านี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอพบว่าลู่เซิ่นจะยอมประนีประนอมอย่างว่าง่ายเป็นพิเศษก็ในช่วงเวลาแบบนี้
เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ ยืนอยู่ใต้น้ำร้อน ชำระร่างกายตัวเองอย่างยากลำบากอีกรอบ ทว่าทันใดนั้นประตูข้างหลังก็ถูกเปิดออก
เมื่อหันกลับไปก็เห็นลู่เซิ่นกำลังหรี่ตามองมา
ความทรงจำของฉินซีถูกขัดอย่างกะทันหัน
เพราะอยู่ ๆ ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก
ลู่เซิ่นที่กำลังเดินเข้ามามีสีหน้าเหมือนกับในความทรงจำเป็นอย่างมาก
“อาบน้ำด้วยกันไหม”
ถึงแม้น้ำเสียงในตอนท้ายของเขาจะสูงขึ้น แต่การกระทำกลับเผด็จการเป็นอย่างมาก ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขอความคิดเห็นสักนิด
…
ตอนที่ฉินซีตื่นขึ้นมาในวันถัดไป ท้องฟ้าข้างนอกก็สว่างแล้ว
เรื่องเมื่อคืนวานช่างไร้สาระเป็นอย่างมาก เธอนอนนานขนาดนี้แล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังคงรู้สึกง่วงอยู่ พอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ก็พบว่าใกล้จะถึงเวลาที่นัดกับอานหยันเอาไว้แล้ว
เธอทำได้เพียงจากเตียงแล้วรีบจัดการตัวเอง
ตอนที่ยืนอยู่ในห้องน้ำ ภาพความทรงจำเมื่อคืนวานก็ปรากฏขึ้นมาในสมองอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลจากการที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือเปล่า ช่วงนี้เธอถึงได้นึกถึงเรื่องในอดีตมากกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย
ดังนั้นเธอจึงค้นพบว่า เมื่อได้ลองมองย้อนกลับไปในอดีต จึงได้รู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
โทสะอันเดือดพล่านที่มีต่อฉินซึ่งเทียนก็สงบลงอย่างมาก ความรู้สึกอึดอัดตอนที่เข้ามาอยู่ในรีสอร์ทชิงหยวนก็หายไปหมดแล้ว
แบบนี้ดูแล้วการคิดถึงอดีตก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไร อย่างน้อยมันก็ช่วยย้ำเตือนเธอ ทำให้เธอรู้สึกตัวว่าความจริงแล้วรีสอร์ทชิงหยวนไม่ใช่บ้านของเธอ
เธอยังจำได้ว่าเธอเคยเซ็นสัญญากับลู่เซิ่นไว้ เขาช่วยเธอจ่ายเงินเพื่อยุติปัญหาการทวงหนี้ เมื่อฉินซีคืนเงินจนหมด สัญญาระหว่างพวกเราทั้งสองคนก็จะถูกยกเลิก
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะแต่งงานกันแล้ว แต่การแต่งงานของพวกเราก็มีพื้นฐานมาจากเรื่องของผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ใช่จากความรู้สึก
ฉินซีใช้ประโยชน์จากการแต่งงานเพื่อกลับไปอยู่ในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป เอาหุ้นของตัวเองกลับมา หลังจากที่สืบพบความจริง ก็จะนำเงินทุกบาททุกสตางค์ของตัวเองกลับมา
รอจนคืนเงินหมดแล้ว พวกเราทั้งสองคนจะเดินไปในทิศทางไหนต่อกันนะ
ฉินซีเองก็ไม่รู้
ท่าทีของลู่เซิ่นเต็มไปด้วยความคลุมเครือ แต่ฉินซีไม่สนใจที่จะคาดเดาความคิดของเขา
เมื่อถึงเวลาแปรงสีฟันไฟฟ้าก็หยุดลงโดยอัตโนมัติ ฉินซีบ้วนฟองในปาก จากนั้นก็นำความคิดเกี่ยวกับลู่เซิ่นทั้งหมดโยนออกไปจากสมอง
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาใส่ใจกับเรื่องพวกนี้
…
ตอนที่ฉินซีลงมาที่ห้องอาหาร เธอก็รู้สึกแปลกใจที่พบว่าลู่เซิ่นยังคงอยู่ที่บ้าน
ตามตารางการทำงานและการพักผ่อนก่อนหน้านี้ของเขาแล้ว เวลานี้เขาควรจะประชุมอยู่ที่บริษัทลู่ซื่อ
ทว่าฉินซีก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงเดินไปตรงตำแหน่งที่นั่งของตัวเอง
ตอนที่เธอเดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พบว่าลู่เซิ่นกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “แม่ครับ ผมบอกแล้วว่าสูหวั่นเพิ่งจะมาอยู่ที่บริษัท ยังมีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจ จะให้มาเป็นผู้ช่วยของผม ก็ควรทำความเข้าใจกับกิจการในบริษัทให้มากกว่านี้เสียก่อน ให้ออกไปทำงานกับผมก็มีแต่จะสร้างปัญหาเสียมากกว่า”
ฉินซีเลิกคิ้วเล็กน้อย
สูหวั่น ฉินซีเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเลย
ฟังจากน้ำเสียงของลู่เซิ่นแล้ว คุณหญิงลู่คงไม่คิดจะจบที่การยัดตัวสูหวั่นไว้ข้างกายลู่เซิ่น แต่ยังอยากจะให้ผู้หญิงคนนั้นออกไปทำงานกับเขาด้วย
ความรู้สึกอึดอัดพาดผ่านขึ้นมาในหัวใจของฉินซี ทว่าเธอกลับไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา