บทที่ 927 จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้ถือสาอะไรเลย
ตอนที่ฉินซีกลับมาถึงรีสอร์ทชิงหยวน ทันใดนั้นก็รู้สึกทอดถอนใจ
แม้หลายวันมานี้ตอนที่อยู่บ้านของอานหยันจะค่อนข้างสบาย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบ้านคนอื่น ฉินซีมักมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นแขกอยู่เสมอ
พอตอนนี้ได้เห็นรีสอร์ทชิงหยวน ก็มีความรู้สึกสบายใจที่ได้กลับมาอยู่ที่บ้านของตัวเองแล้วจริง ๆ
ฉินซีลงจากรถ คนรับใช้เข้ามารับกระเป๋าเดินทาง พ่อบ้านเองก็ยืนรออยู่ที่ข้าง ๆ รถแล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “คุณนายกลับมาทันเวลาพอดี ประธานลู่เองก็เพิ่งจะกลับมาเหมือนกันครับ”
ฉินซีชะงักเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าลู่เซิ่นต้องไปทำงานหนึ่งสัปดาห์หรอกเหรอ นี่เพิ่งจะกี่วันเองทำไมเขาถึงได้กลับมาแล้วล่ะ
ตอนที่เธอเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ก็พบเข้ากับลู่เซิ่นอย่างที่คิดไว้
ลู่เซิ่นสวมชุดกันลมตัวยาวนั่งอยู่บนโซฟา อาจจะเพิ่งกลับมาเลยยังไม่มีเวลาถอดเสื้อนอกออก
ถึงแม้ว่าเสื้อตัวนอกของเขาจะปรากฏรอยยับเพิ่มแค่เพียงเล็กน้อย แต่ฉินซีก็สังเกตเห็นถึงความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเขา
เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วทั้งสองไม่ได้เจอกันมานานมาก
ลู่เซิ่นไม่ได้โทรมาหาเธอเลยตั้งแต่ที่วางสายโทรศัพท์ไปอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุวันนั้น
ส่วนฉินซีเองก็กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการสืบสวน เป็นธรรมดาที่จะไม่มีกะจิตกะใจไปโทรศัพท์หาลู่เซิ่น
เธอไม่สนใจจะถามว่าทำไมเขาถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้ เพียงแค่พยักหน้าให้เขาอย่างเรียบง่าย
ตอนที่เธอกำลังหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปข้างบน ถึงได้พบว่ามีคนยืนอยู่ข้าง ๆ ลู่เซิ่น
…สูหวั่น
สูหวั่นถือกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งเอาไว้ในมือ ใบหน้าของเธอดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล
ฉินซีมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นหลินหยัง
เธอถึงเลิกคิ้วอย่างค่อนข้างที่จะประหลาดใจ
แต่ดูเหมือนสูหวั่นจะไม่ได้สังเกตถึงสายตาของเธอเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ก้มหน้ายืนอยู่ข้าง ๆ ลู่เซิ่น ทำให้มองไม่เห็นสีหน้า
ฉินซียักไหล่เล็กน้อย เธอไม่ได้หยุดอยู่ที่ห้องนั่งเล่นต่อ แต่ก้าวเท้าเดินขึ้นไปด้านบน
เป็นธรรมดาที่ในตระกูลลู่จะมีคนคอยช่วยเธอจัดสัมภาระ ฉินซีจึงนำข้อมูลที่เธอสืบค้นมาได้ในช่วงสองสามวันนี้ไปเก็บไว้ในห้องมืด จากนั้นก็วางแผนจะกลับไปที่ห้อง
คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่หันหลังจะพบสูหวั่นยืนอยู่ตรงหน้าบันได
เดิมทีเธอคิดว่าสูหวั่นจะไปหาลู่เซิ่นที่ห้องหนังสือ ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็นับได้ว่าเป็นผู้ช่วยของลู่เซิ่น ไปพบเขาด้วยเรื่องงานก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
คิดไม่ถึงว่าเธอเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้ว สูหวั่นกลับไม่แม้แต่จะขยับ ดูเหมือนว่าจะตั้งใจดูแลทางเดินหน้าบันไดเป็นพิเศษ ไม่คิดจะไปไหนทั้งนั้น
ฉินซีงุนงงเล็กน้อย แต่ที่ที่สูหวั่นยืนอยู่เป็นเส้นทางที่เธอจำเป็นต้องใช้เดินกลับไปที่ห้องนอน เธอเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ทั้งสองคนก็เกือบจะชนกันเข้าพอดี
เธอทำได้เพียงหยุดเดินแล้วพูดเตือนขึ้นมาว่า “ผู้ช่วยสู”
ความหมายเดิมของเธอก็คือต้องการจะให้สูหวั่นหลีกทาง คิดไม่ถึงเลยว่าสูหวั่นจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องเข้าไปในดวงตาของฉินซีตรง ๆ “ ฉินซี ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับเธอ”
โอเค ที่แท้เป้าหมายก็เป็นเธอนี่เอง
ฉินซีเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ตอนนี้ไม่มีแรงและไม่มีอารมณ์ที่จะตั้งใจฟังเรื่องของสูหวั่น จึงพูดออกมาเสียงเบาว่า “คิดว่าพวกเราสองคนไม่มีอะไรต้องพูดกัน…”
“เธอไม่ได้รักลู่เซิ่น ถูกไหม” สูหวั่นถามคำถามที่ชวนประหลาดใจขึ้นมาโดยไม่สนใจคำปฏิเสธของเธอ
ฉินซีขมวดคิ้วเบา ๆ “ฉันจะรักเขาหรือไม่รักแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ”
สูหวั่นกัดริมฝีปาก น้ำเสียงของเธอแขวงไปด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “ในเมื่อเธอไม่ได้รักเขา ก็หย่ากับเขาซะสิ การที่เธอสองคนอยู่ด้วยกันมันทำให้คุณหญิงลู่ไม่มีความสุข…”
เสียงพูดของเธอเบาลงเรื่อย ๆ ตอนหลัง ๆ ก็ดูเหมือนจะพูดออกมาฉอด ๆ อย่างตื่นเต้น ฉินซีหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินในบ้านตระกูลลู่ออกมาได้
ดังนั้นที่สูหวั่นมาอยู่ข้างกายของลู่เซิ่นแบบนี้ ก็เพราะคุณหญิงลู่คิดจะใช้ประโยชน์จากเธอในการแยกลู่เซิ่นกับฉินซีออกจากกัน
ทว่าเป้าหมายของคุณหญิงลู่ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จ เธอยังจำเป็นต้องถูกผูกมัดอยู่ข้างกายลู่เซิ่น
ดังนั้นการที่เธอวิ่งเข้ามาพูดเรื่องพวกนี้กับฉินซีโดยตรงแบบนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากความคาดหมาย
ลู่เซิ่นบอกว่าสูหวั่นแทบจะไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิดที่อยู่ในมือของคุณหญิงลู่ ฉินซีมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา สามารถที่จะรับรู้ได้จริง ๆ
แต่เธอไม่ชอบใช้ฐานะที่เหนือกว่าไปตัดสินคนอื่น เธอไม่เข้าใจเรื่องของสูหวั่นเลยแม้แต่สักนิดเดียว ดังนั้นการที่ไปรู้สึกว่าเธอน่าสงสารหรือน่าสมเพชก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม
เธอจึงทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า “ขอโทษที”
เธอหย่ากับลู่เซิ่นไม่ได้ อย่างน้อยก็อีกพักหนึ่ง
เธอยังคืนเงินที่ติดค้างเขาไว้ไม่ครบ นอกจากนี้เธอยังมีเรื่องในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปที่ต้องจัดการให้เสร็จสิ้นอีกมาก
เดิมทีการแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เธอยังไม่ได้รับประโยชน์ที่ควรได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถยุติเรื่องนี้ได้
สูหวั่นเงยหน้ามองเธอทันที “เธอไม่ยอมอย่างนั้นเหรอ เธอรู้ไหมว่าตอนที่ลู่เซิ่นเดินทางไปทำธุรกิจ ฉันคอยอยู่ข้างกายเขาตลอด”
ฉินซีเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมาแล้ว
สูหวั่นคิดถึงทำให้เธอกับลู่เซิ่นหวาดระแวงใจกันอย่างนั้นเหรอ ถ้าเปลี่ยนเป็นคู่สามีภรรยาปกติ การที่สามีเดินทางไปทำธุรกิจตั้งหนึ่งอาทิตย์ ทั้งยังพาผู้ช่วยเพศตรงข้ามที่ยังโสดอยู่ไปด้วย คนเป็นภรรยาจะพูดว่าไม่โกรธก็คงเป็นไปไม่ได้
แต่เธอกับเขาเป็นสามีภรรยาปกติกันเสียที่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้นฉินซียังรู้ดีว่าเรื่องที่สูหวั่นทำล้วนมีคุณหญิงลู่อยู่เบื้องหลัง เธอเป็นคนดื้อรั้น คุณหญิงลู่ดูถูกเธอ อยากจะแยกเธอออกจากลู่เซิ่น เธอก็ยิ่งไม่อยากที่จะให้คุณหญิงลู่ประสบความสำเร็จ
สูหวั่นคิดจะใช้เรื่องนี้มากระตุ้นเธอ แต่มันไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียว
“ผู้ช่วยสู” ฉินซีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขอบคุณที่คอยดูแลสามีของฉันตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่ถ้าคุณต้องการความดีความชอบ เกรงว่าคุณก็ไม่ควรมาหาฉัน”
เมื่อเห็นว่าฉินซีไม่มีได้ท่าทีจะใส่ใจจริง ๆ ใบหน้าของสูหวั่นก็เผยร่องรอยของความประหลาดใจ
ฉินซีไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะโต้เถียงอะไรกับเธอต่อ จึงเดินผ่านเธอแล้วตรงไปที่ห้องนอน
สูหวั่นมองตามแผ่นหลังของเธอไปด้วยแววตาชั่วร้าย
…
ไม่รู้ว่าลู่เซิ่นกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องอะไร ตอนที่ฉินซีอาบน้ำเสร็จ นอนลงไปบนเตียง ขณะกำลังใกล้จะหลับนั้น เขาก็เปิดประตูเข้ามา
ดูเหมือนเขาจะไม่คิดว่าฉินซีจะนอนเร็วขนาดนี้ จึงเปิดไฟดวงที่สว่างที่สุดในห้องนอน
ฉินซีถูกแสงไฟแยงตาลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความงุนงงว่า “มีอะไรคะ”
ลู่เซิ่นเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความง่วงงุนของเธอ จึงหรี่ไฟลงแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ไม่มีอะไร นอนต่อเถอะ”
เขาเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ แต่เสียงน้ำไหลที่ดังออกมากลับทำให้สติของฉินซีค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น
ตอนที่ลู่เซิ่นเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็พบว่าเธอกำลังนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่
“สูหวั่นไปหาเธอหรอ” ลู่เซิ่นถามไปพลางเช็ดผมไปพลาง
รีสอร์ทชิงหยวนมีคนรับใช้อยู่เป็นจำนวนมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความลับใด ๆ ฉินซีจึงพยักหน้ายอมรับอย่างไม่คิดจะปิดบัง “ใช่ค่ะ”
“เดิมทีฉันก็ไม่ได้พาเธอไป แต่พาหลินหยังไปด้วยต่างหาก สูหวั่นซื้อตั๋วบินตามไปเอง ทำตัวหน้าด้านหน้าทนเกาะติดอยู่ในกลุ่มถึงห้าวัน” ลู่เซิ่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของฉัน ผู้หญิงคนนั้นจะกล้าทำเรื่องแบบนี้เสียที่ไหน”
ฉินซีเปิดหนังสือไปอีกหน้า ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา
ลู่เซิ่นวางผ้าขนหนูในมือลง เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่ข้างกายฉินซี ยื่นมือออกไปเชยคางเธอขึ้นมา “ทำไมหลายวันมานี้เธอถึงได้ไม่ติดต่อกลับมาหาฉันเลย”
ฉินซีเบี่ยงศีรษะออกเล็กน้อย คิดจะหลบให้พ้นมือของเขา “ฉันยุ่งมาก”
ทว่าลู่เซิ่นกลับไม่ให้โอกาสเธอ เขาบีบคางเธอเอาไว้แล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ “ยุ่งจนไม่มีเวลาโทรหาฉันเลยอย่างนั้นเหรอ”