บทที่ 928 ห้ามลืม ห้ามยอมแพ้
ฉินซีหลุบตาลงโดยไม่พูดอะไร ลู่เซิ่นจึงบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น
“จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้ถือสาเรื่องที่สูหวั่นจะอยู่กับฉันหรือไม่เลยใช่ไหม”
ฉินซีเงยขึ้นเล็กน้อย ประสานสายตาเข้ากับลู่เซิ่น “นี่เป็นงานของคุณ ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปยุ่ง”
ลู่เซิ่นหัวเราะออกมาเบา ๆ ฟังไม่ออกว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “เยี่ยม เธอช่างแบ่งแยกได้ชัดเจนดีจริง ๆ ”
ฉินซีไม่ได้พูดอะไรต่อ ลู่เซิ่นก็กดร่างของเธอลงไป
เมื่อรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นบนริมฝีปาก ฉินซีจึงหลับตาลง
เธอกับลู่เซิ่นมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ยังพูดกันไม่ทันจะเข้าใจ ทั้งสองคนก็แยกเส้นด้ายไม่กี่ชั้นนั้นออกจากกัน พูดจาวกวนไปมา
มีเพียงตอนที่ร่างกายกำลังแนบชิดกันเท่านั้น จึงจะสามารถสารภาพความจริงออกมาได้
…
กลับมาที่ตระกูลลู่ได้ไม่กี่วัน วิถีชีวิตของฉินซีก็คล้ายจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
บางครั้งก็พากล้องถ่ายรูปออกไปถ่ายภาพเพื่อหาแรงบันดาลใจ บางครั้งก็ไปจัดการงานที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ป และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตกแต่งรูปภาพอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวน
สองวันหลังจากนั้นอานหยันก็โทรศัพท์มาหาเธอ พูดชี้แจงเรื่องงานของนิตยสารก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยพูดขึ้นมาอย่างคลุมเครือว่า “ช่วงนี้เสิ่นโหลวต้องออกไปถ่ายทำละคร สองสามวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับ เรื่องแผนการถ่ายภาพก็คงต้องรอไปก่อน”
ฉินซีรู้ดีว่านี่หมายถึงแผนการถ่ายภาพยังจัดการไม่เรียบร้อย จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร
ทว่าหลังจากที่วางสายโทรศัพท์ เธอก็เอาข้อมูลของเสิ่นโหลวขึ้นมาทบทวนซ้ำอีกครั้ง
ประวัติของเสิ่นโหลวเรียบง่ายมากจริง ๆ แทบจะหาเรื่องที่ต้องระวังไม่เจอเลย เพียงแต่หลังจากได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเมื่อปีก่อน ประสบการณ์ทำงานของเขาก็ค่อย ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ
ฉินซีเห็นชีวิตส่วนตัวที่สับสนวุ่นวายของเขาแล้วก็อดส่ายหัวไม่ได้
หลังจากที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็ร่ำรวยขึ้นมาก คงไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้วหรอกใช่ไหม
เมื่อกี้ถึงตรงนี้ก็บังเอิญคิดเรื่องอะไรหลาย ๆ อย่างขึ้นมาได้ จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ๆ แล้วลุกออกไปข้างนอก
ดูเหมือนว่าช่วงนี้ลู่เซิ่นจะยุ่งเอามาก ๆ ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกัน แต่ก็ได้พบหน้ากันแค่เพียงไม่กี่ครั้ง ในรีสอร์ทชิงหยวนที่ใหญ่โตแห่งนี้จึงไม่มีใครมารบกวนเธออีก ฉินซีจึงมีความสุขเป็นอย่างมาก
วันนี้อากาศไม่เลว ฉินซีซึ่งถือโอกาสเอากล้องฟิล์มไปถ่ายรูปที่สวนด้านหลัง แล้วมานำมันกลับมาล้างข้างในห้องมืด
หลายปีมานี้คนใช้กล้องฟิล์มน้อยลงมาก กล้องดิจิตอลพกพาได้สะดวกกว่า ทั้งยังสามารถมองเห็นเนื้อหาข้างในได้ด้วยตาเปล่า แต่ฉินซีมักรู้สึกว่ารูปถ่ายที่ล้างออกมาจากกล้องฟิล์มมีความรู้สึกเฉพาะที่ไม่สามารถทดแทนที่ได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าระหว่างขั้นตอนการล้างรูปต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก หลังจากที่ล้างรูปเสร็จแล้ว หัวใจของเธอก็จะสงบลง
ระหว่างที่กำลังรอรูปถ่ายที่แขวนอยู่ ฉินซีก็หยิบข้อมูลที่นำกลับมาจากอานหยันออกมา
ถึงแม้ว่าจะตรวจไม่พบเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของแม่ แต่เธอก็ยังเอาข้อมูลส่วนหนึ่งกลับมา
มันเป็นการยืนยันกับตัวเองมากกว่าการคาดหวังที่จะหาอะไรจากนั้นพบ
ห้ามลืม ห้ามยอมแพ้
ตอนที่หยิบข้อมูลนี้ขึ้นมา เธอรู้สึกสงบนิ่งกว่าตอนที่อยู่บ้านอานหยันตอนนั้นมาก
ในตอนนั้นคืนแล้วคือเล่าที่เธอรู้สึกเป็นกังวลเพราะว่าเธอหาจุดทะลวงไม่พบ ตอนที่หลับตาลงเสียงของแม่ที่โทรศัพท์มาร้องไห้สะอึกสะอื้นกับเธอก็ปรากฏขึ้นเต็มหัว ทำให้ช่วงสี่ห้าวันนั้นเธอไม่เคยได้หลับสบายเลยสักครั้ง
แต่หลังจากปล่อยให้ตกตะกอนไปสักสองสามวันแล้วกลับมาดูอีก ฉินซีก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากแล้ว
เธอรอมาปีหนึ่งแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อน
แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคมากมาย แต่ในเมื่อฉินซึ่งเทียนเป็นคนทำเรื่องนี้ ก็ไม่มีทางที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้
ความเสียใจยังคงมีอยู่ ความรู้สึกถูกทอดทิ้งไม่ได้พูดว่าจะหายไปก็หายไปได้ทันที แต่ฉินซีรู้ดีว่า เธอไม่สามารถที่จะถูกผูกติดกับความรู้สึกนี้ไว้ได้ตลอด
เธอปิดโน้ตบุ๊กอย่างเบามือแล้วยัดมันไว้ที่ตู้เก็บของ จากนั้นก็หันกลับไปมองรูปถ่ายที่ถูกตากเอาไว้จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นักออกแบบสวนของลู่เซิ่นทำให้รีสอร์ทชิงหยวนออกมาสง่างามมาก จะถ่ายมุมไหนก็ออกมาสวยอยู่ดี ฉินซีตั้งใจเลือกรูปที่พ่อบ้านเดินผ่านมาโดยไม่ทันระวังมารูปหนึ่ง วางแผนเอาไว้ว่าจะส่งมันไปให้เขา
ปีนี้ตอนที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวน ในตอนแรกสถานะก็ค่อนข้างที่จะคลุมเครือ แต่หลังจากที่แต่งงานกับลู่เซิ่น พ่อบ้านก็ยังคงปฏิบัติกับเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่น้อบน้อมและไม่เย่อหยิ่งจนเกินไป ไม่ซ้ำเติมคนและไม่ประจบสอพลอ ดูแลเอย่างรอบคอบและเหมาะสม ทำให้เธอไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนี้ถ้าต้องไปจากรีสอร์ทชิงหยวน เรื่องที่เธอไม่รู้สึกคุ้นชินที่สุดก็คงเป็นการที่ไม่มีพ่อบ้านคนนี้มาคอยดูแล
ในเมื่อเขาดูแลเธออย่างดีเธอก็ต้องตอบแทน ยิ่งกว่าการพูดว่าขอบคุณ ฉินซีหวังว่าเธอจะสามารถมอบอะไรให้เขาได้บ้าง
ตอนที่พ่อบ้านได้ภาพถ่าย ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาบ
ฉินซีเป็นช่างภาพมืออาชีพจริง ๆ เธอถ่ายภาพของพ่อบ้านแค่พริบตาเดียว แต่แววตาและภาพลักษณ์ของเขาข้างในภาพ กลับทำให้คนยากที่จะลืมเลือน
“ฉันถ่ายภาพของคุณเอาไว้ได้โดยบังเอิญ คงไม่ดีถ้าจะเก็บเอาไว้เอง ก็เลยอยากจะมอบให้คุณค่ะ” ฉินซีกลัวว่าเขาไม่กล้ารับ เลยพูดเสริมเข้าไป
พ่อบ้านเก็บมันไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวขอบคุณด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง
ฉินซีถูกท่าทีเอาจริงเอาจังนี้ของเขาทำให้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “มันก็แค่รูปถ่ายรูปหนึ่งเท่านั้นเอง…”
ทว่าพ่อบ้านกลับส่ายหน้า “ประธานลู่บอกว่าช่วงนี้คุณอารมณ์ไม่ค่อยดี ผมเองก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้น แต่ภาพนี้ที่คุณเพิ่งจะถ่ายออกมา ทำให้ผมรู้สึกว่าคุณอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว ผมก็เลยรู้สึกมีความสุขกับคุณด้วย”
ฉินซีแปลกใจเล็กน้อย เผลอพูดปฏิเสธออกมาว่า “ฉันไม่ได้ไม่มีความสุข…”
พ่อบ้านก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “หลังจากที่อยู่กับคุณมานาน เป็นธรรมดาที่จะสามารถรับรู้เรื่องพวกนี้ได้ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่พูด ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน แต่ก็ยังคงสามารถรู้สึกถึงความไม่สบายใจนั้นได้”
ฉินซีไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาไปชั่วขณะ
พ่อบ้านเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขาเพียงกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะขอตัวจากไป
ตอนที่ลู่เซิ่นกลับมาในช่วงเย็น เขาก็พูดถึงเหตุการณ์นี้คล้ายกับว่าไม่ได้ตั้งใจ “ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าเธอถ่ายภาพให้เขาอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีหัวเราะเบา ๆ “แค่ถือโอกาสถ่ายก็เท่านั้น”
ลู่เซิ่นดึงเนกไทออก อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา “ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่เคยถ่ายรูปด้วยกันเลย”
ฉินซีเลิกคิ้ว “ในทะเบียนสมรสก็มีนี่คะ”
ลู่เซิ่นนึกย้อนไปถึงการถ่ายภาพที่เต็มไปด้วยความรีบร้อนในวันนั้น ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “รูปนั้นไม่นับ”
น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยอารมณ์ความเป็นเด็กนิด ๆ ฉินซีหัวเราะเบา ๆ “ ยังไม่ได้แต่งงานจริง ๆ สักหน่อย คุณจะถ่ายภาพพรีเวดดิ้งจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีเพียงแค่พูดออกมาโดยไม่คิด ทว่าลู่เซิ่นกลับหันไปมองทันที “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
ฉินซีคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ จึงรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว “ยุ่งยากเกินไปแล้ว”
ท่าทางต่อต้านบนใบหน้าของเธอนั้นชัดเจนเกินไป สีหน้าของลู่เซิ่นจึงเริ่มที่จะมืดครึ้ม “เธอไม่อยากจะรับรู้เรื่องการแต่งงานกับฉันขณะนี้เชียวเหรอ”
ฉินซียิ้ม “จะเป็นไปได้ยังไงกันละคะ ตำแหน่งคุณนายลู่นี้ คนอื่นอยากจะได้ก็ใช่ว่าจะได้ไป ฉันจะไม่อยากได้ยังไง”
ลู่เซิ่นกวาดตามองใบหน้าของเธอรอบหนึ่ง ราวกับสิงโตที่กำลังลาดตระเวนอาณาเขตของตัวเอง ตอนที่ฉินซีรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มบนแก้มของตัวเองแข็งค้าง อยู่ ๆ เขาก็ละสายตาออก
“หาเวลาถ่ายได้ ไม่มีอะไรที่ไม่ดี”
น้ำเสียงของลู่เซิ่นไม่ได้เป็นการขอความคิดเห็น มุมปากของฉินซีตกลงทันที
ถึงแม้ว่าเธอจะชอบถ่ายภาพให้คนอื่น แต่เธอไม่ชอบถ่ายภาพตัวเองเป็นที่สุด มักจะรู้สึกว่าการทำแบบนี้มันก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถอธิบายได้
เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองได้โดยง่ายของลู่เซิ่น ฉินซีจึงระงับความอยากที่จะโต้เถียงกับเขาชั่วคราว คิดว่าพอถึงตอนนั้นคงหาเหตุผลมาขายผ้าเอาหน้ารอดไปได้
ถึงอย่างไรทันทีที่ลู่เซิ่นเห็นแบบนี้ก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก