บทที่ 929 ถึงดีอย่างไรก็ไม่ใช่ที่ของฉัน
ไม่กี่วันต่อมาฉินซีเกือบลืมไปรสชาติของช่วงเวลาที่พยายามทำงานอย่างหนักตอนอยู่บ้านของอานหยันเมื่อหลายวันก่อนไปแล้ว ทันใดนั้นอานหยันก็โทรศัพท์เข้ามา
“บ่ายสามโมงของวันมะรืน”
น้ำเสียงของเธอจริงจังเป็นอย่างมาก ฉินซีเข้าใจได้ในทันทีว่าในที่สุดภารกิจก็ได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวฉันจะส่งแผนการที่เป็นรูปธรรมไปให้เธอ ดูเสร็จก็จำเอาไว้ให้ดี ลบเอกสารทั้งหมดทิ้งไปด้วย แล้วก็ยังมีบางอย่างที่ต้องชี้แจง ไว้ฉันค่อยบอกตอนที่ไปหาเธอวันพรุ่งนี้”
ฉินซีถูกน้ำเสียงนั้นของเธอทำให้รู้สึกเอาจริงเอาจังขึ้นมาด้วย จึงพยักหน้าแล้วตอบกลับไป “ฉันเข้าใจแล้ว”
อานหยันไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เธอวางสายไปอย่างรวดเร็ว
ฉินซีถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยออกไปพักหนึ่ง
ทำไมเธอถึงได้คุ้นเคยกับความรู้สึกที่ต้องรับภารกิจอย่างกะทันหันแบบนี้มาก ๆ กันนะ
บ่ายวันถัดมา อานหยันก็มาถึงรีสอร์ทชิงหยวน
เดิมทีฉินซีเสนอว่าให้ไปพบกันที่ร้านกาแฟข้างนอก แต่อานหยันกลัวว่าจะมีคนแอบฟัง หลังจากตกลงกันพักหนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าจะคุยกันในรีสอร์ทชิงหยวนนี่แหละ
ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของลู่เซิ่น
หลังจากที่คนรับใช้ยกกาแฟเข้ามา ฉินซีก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนออกไป ในห้องนั่งเล่นเล็กจึงเหลือพวกเธอแค่สองคน
ปกติแล้วอานหยันจะต้องฉวยจังหวะนี้ในการหยอกล้อเธอสักพักอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เธอไม่มีอารมณ์ที่จะมาล้อเล่น
“เธอจำรูปร่างหน้าตาของเสิ่นโหลวได้แล้วใช่ไหม” อานหยันถาม
ฉินซีพยักหน้า
หลายวันมานี้เธอดูวิดีโอข้อมูลของเสิ่นโหลวเพื่อทบทวนอยู่หลายต่อหลายครั้ง รับรองได้เลยว่าต่อให้เสิ่นโหลวปลอมเป็นตัวอะไรเธอก็ไม่มีทางพลาด
“เยี่ยม” อานหยันพยักหน้า จากนั้นก็เปิดภาพแผนผังในแท็บเล็ต แล้ววาดเส้นเส้นหนึ่ง “ตอนที่เธอไปถึงก็เดินตามเสิ่นโหลวเข้าไปในโรงแรม จากนั้นก็เดินไปทางนี้ ถึงจะถูกกล้องวงจรปิดถ่ายเอาไว้ได้ ก็คิดได้แค่ว่าเธอเป็นคนที่ตามมากับเสิ่นโหลว ไม่มีทางที่จะสงสัยเธอ”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย“ แต่ถ้าเสิ่นโหลวไม่ได้ไปที่ชั้นที่เฉินยี้อยู่ล่ะ”
อานหยันโบกมือ “ไม่เป็นไร เธอก็แค่แกล้งทำเป็นหลงทาง จากนั้นก็เดินลงไปชั้นที่เฉินยี้จะไป ฉันล้อมทั้งสองด้านของห้องที่เฉินยี้มักจะไปเอาไว้หมดแล้ว แต่ละห้องมีคนที่แตกต่างกันคอยเฝ้าอยู่ แต่จากประสบการณ์แล้ว วันนั้นเขาน่าจะไปที่ห้อง1063ตรงชั้นสิบ เธอก็แค่เดินเข้าไปทางนี้”
ฉินซีพยักหน้า
“ระเบียงทางเดิน ประตูห้องโถง และภายในห้องพักมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์บันทึกเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่ให้เธอไป ก็เพื่อให้เธอถ่ายรูปในตำแหน่งที่กล้องวงจรปิดไม่สามารถจับภาพได้ ดังนั้นเธอไม่จำเป็นที่จะต้องกดดันตัวเองมากเกินไป ต่อให้เธอไม่ได้อะไรกลับมา ก็ไม่มีผลอะไรต่อภารกิจนี้ ถึงยังไงเธอก็มีคุณงามความดีในงานก่อนหน้านี้มากมายอยู่แล้ว ”
ฉินซีรับคำ รู้ดีว่าอานหยันพยายามที่จะทำให้เธอไม่เคร่งเครียดจนเกินไป
เพียงแต่รู้สึกแปลกใจมากที่เธอไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลอะไรเป็นพิเศษ
แต่เธอก็ไม่ได้บอกอานหยัน เลี่ยงไม่ให้หล่อนคิดว่าเธอขี้โม้
“เงินที่ได้จากการทำธุรกิจของพวกเขามีจำนวนมาก เฉินยี้จึงพาบอดี้การ์ดไปด้วยทุกครั้ง” อานหยันซูมรูปภาพ จากนั้นก็ชี้ไปที่บั้นเอวของบอดี้การ์ด ภายใต้ชุดสูทตัวนั้นถูกดึงออกจนเป็นทรงสูง
ฉินซีขมวดคิ้วเบา ๆ “ ปืนเหรอ”
อานหยันพยักหน้า “ดังนั้นจึงต้องระวังเอาไว้ให้มาก ๆ หากถูกจับได้ต้องจำเอาไว้ว่าความปลอดภัยของตัวเองสำคัญที่สุด”
ฉินซีมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของอานหยัน จึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เธอไม่ต้องพูดฉันก็ใส่ใจอยู่แล้ว”
อานหยันยังไม่วางใจ เธอจึงอธิบายอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วให้ฉินซีพูดซ้ำอีกรอบหนึ่งถึงจะยอมหยุด
“แม้ว่าเราจะวางแผนไว้อย่างครอบคลุม แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เธอจะต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ ค่อยปรับตัวพลิกแพลงไปตามสถานการณ์”
น้อยครั้งมากที่ฉินซีที่ฉินซีจะได้เห็นอานหยันพูดอะไรออกมาจากใจจริงแบบนี้ ทั้งยังรู้สึกอ้อมค้อมนิดหน่อย จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเบา ๆ “ฉันรับประกันได้ ฉันจะต้องเอาความปลอดภัยของตัวเองมาเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน เธอวางใจเถอะ”
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าอานหยันมองเห็นท่าทีหยอกเย้าบนใบหน้าของเธอ ยากที่เธอจะไม่โต้ตอบกลับไป จึงได้แต่พูดมากไม่หยุด ที่สุดก็ต้องลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับออกไป
ฉินซีมองไปที่นาฬิกา “นี่ก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เธอจะไม่อยู่ชิมฝีมือของพ่อครัวที่นี่สักหน่อยเหรอ”
อานหยันตาเป็นประกาย “ได้เหรอ ประธานลู่ของเธอไม่ได้ถือสาใช่ไหม”
ฉินซีมองออกไปข้างนอกแวบหนึ่ง หลายวันมานี้ลู่เซิ่นมีงานเลี้ยงส่วนตัว เขาไม่ค่อยจะได้กลับมากินข้าวที่บ้าน จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ก็น่าจะไม่กลับมาล่ะมั้ง
ดังนั้นเธอจึงมีอำนาจในการตอบแทนลู่เซิ่นว่า “ไม่มีปัญหา เขาไม่ถือสาหรอก”
ตอนที่ทั้งสองคนเดินไปถึงห้องอาหาร ทันใดนั้นฉินซีก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากข้างนอก
เธอชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปมองที่ประตูใหญ่
ลู่เซิ่นเปิดประตูเดินเข้ามาพอดี
ทั้งสองคนสบตากัน บรรยากาศเงียบสงบไปหลายวินาที
ลู่เซิ่นละสายตาออกจากเธอ แล้วเหลือบไปมองอานหยันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉินซีตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปเพื่อแนะนำ “นี่เป็นเพื่อนสนิทของฉัน ชื่ออานหยัน”
อานหยันพยักหน้า “สวัสดีค่ะคุณชายลู่”
ลู่เซิ่นพยักหน้าตอบกลับไปเบา ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ก่อนจะเดินขึ้นไปข้างบน
จนกระทั่งน้องร่างของเขาหายไปจากที่หน้าบันไดแล้ว อานหยันจึงดึงแขนเสื้อของฉินซี แล้วพูดเสียงเบาว่า “สวรรค์ คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายของบ้านเธอจะหล่อขนาดนี้…”
ในชั่วขณะฉินซีก็รู้สึกว่าอยากจะหัวเราะออกมา “พูดอย่างกับเธอไม่เคยเห็นเขาไปได้”
ลู่เซิ่นไม่ใช่คนที่ชอบคุยโวโอ้อวดอะไร เพียงแต่ถึงอย่างไรตระกูลลู่ก็เป็นตระกูลชั้นสูง จะบอกว่าไม่เคยโผล่หน้าออกมาเลยก็คงไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ยังสามารถเห็นหน้าตาของเขาในข่าวธุรกิจการเงินหรืองานเลี้ยงการกุศล
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่ฉินซีจะเข้าโรงพยาบาล ฉินซีกับลู่เซิ่นก็ถูกถ่ายภาพไปไม่น้อย
มาพูดถึงเรื่องนี้เอาตอนนี้ มันก็ดูตลกจริง ๆ
“แต่การที่ได้เห็นใกล้ ๆ ตอนที่เขายังคงสวมเสื้อนอกอยู่แบบนี้จะไปเหมือนได้ยังไง…” อานหยันพึมพำ
ฉินซีอดยิ้มออกมาไม่ได้
ทั้งสองคนกระซิบกระซาบกันพลางเดินไปทางห้องครัว
มื้อเย็นเป็นอาหารแบบตะวันตก โชคดีที่กำชับพ่อบ้านเอาไว้แล้วว่าให้ทำอาหารสำหรับสามคน รอลู่เซิ่นลงมา ในที่สุดทั้งสามคนก็เริ่มลงมือกินอาหารได้
ฉินซีกังวลว่าอาหารที่ดีต่อสุขภาพของตระกูลลู่จะไม่ถูกปากคนที่ชอบกินอาหารขยะเป็นชีวิตจิตใจอย่างอานหยัน แต่หลังจากสังเกตหลาย ๆ ครั้ง เธอก็รู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีความสุขกับการกินเป็นอย่างมาก
มารยาทบนโต๊ะอาหารของทุกคนดีมาก กินกันอย่างเงียบ ๆ แทบจะไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาเลย
อานหยันกินเสร็จก็ต้องกลับไป ฉินซีทำได้เพียงมายืนส่งเธอที่หน้าประตู
“ฉันรู้สึกว่าชีวิตของเธอที่นี่…ค่อนข้างที่จะดีทีเดียว”
อานหยันกวาดตามองไปรอบ ๆ รีสอร์ทชิงหยวน แล้วพูดกับฉินซีเสียงเบา
ฉินซียิ้มเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า “ถึงดียังไงก็ไม่ใช่ที่ของฉัน”
ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาหลายปีแล้ว อานหยันมองเข้าไปในตาของเธอก็รู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร
ไม่มีทางที่ฉินซีจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้แล้วลืมเลือนอดีต
อานหยันไม่อยากจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเธอ จึงเพียงแค่พยักหน้าโดยไม่ต้องตอบอะไรกลับไป
พออานหยันขับรถออกไปจากประตูใหญ่ของรีสอร์ทชิงหยวน ฉินซีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
ลู่เซิ่นเดินเข้ามาหยุดยืนข้าง ๆ เธอ
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทของเธออย่างนั้นเหรอ”
ฉินซียังคงมองไปยังเส้นทางที่รถของอานหยันขับออกไป ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ค่ะ”
เธอรู้สึกได้ว่าสายตาของลู่เซิ่นจับจ้องอยู่บนใบหน้าของเธอ จึงหันกลับไปมองเขา
“ความจริงแล้วเธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน” ฉินซียกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มที่ไม่จริงใจออกมา