บทที่ 932 สมกับเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
หัวของฉินซีเริ่มประมวลผลอย่างหนัก ในหัวคิดหาทางหนีไปต่างๆนานา แต่กลับไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม ทำได้แค่กลั้นลมหายใจเอาไว้ พยายามไม่ให้มีเสียงใดๆหลุดลอดออกไป มองอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ประตูห้องตัวเองด้วยความนิ่ง ระยะห่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ทันใดนั้น ตรงหน้าของเธอก็พลันมืดสนิท
ฉินซีก้าวถอยหลัง กะพริบตาอย่างงุนงง
สายตาของเธอไม่ได้มีปัญหาอะไร ปกติมากๆ
เธอเข้าไปประชิดตาแมวอีกครั้ง กรอบสายตาก็ยังเป็นสีดำสนิท
ฉินซีเข้าใจในที่สุดว่า เฉินยี้ให้คนเอาของมาปิดตาแมวเอาไว้
สมกับเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จริงๆ
ยังดีที่ตอนนั้นเธอกับอานหยันไม่ได้เลือกติดตั้งกล้องไว้ตรงบริเวณตาแมว
เมื่อไม่สามารถเห็นเหตุการณ์จากตาแมวได้ ฉินซีจึงทำได้แค่อาศัยภาพจากหน้าจอเล็กๆของกล้อง
นอกจากเฉินยี้แล้ว ก็ต้องเก็บภาพคนที่ทำธุรกิจร่วมกันกับเฉินยี้ด้วย ไม่งั้นหลักฐานมัดตัวก็จะไม่ครบถ้วน
ภาพในกล้องวงจรปิดที่ได้มาก่อนหน้านี้ ต่างก็เห็นหน้าของแต่ละคนไม่ชัด แต่เพราะเฉินยี้เป็นผู้มีอำนาจอันดับสองของบริษัทจ้าวซื่อ เลยจำหน้าได้ง่ายกว่า แต่คู่ค้าที่ทำธุรกิจร่วมกับเขาเป็นใครนั้นกลับยากที่จะมองออก
ดังนั้น นี่จึงเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ต้องตรวจสอบในครั้งนี้
เมื่อกี้ตอนที่เฉินยี้เปิดประตู จากการสังเกตของฉินซีแล้วนั้น ห้องตรงข้ามน่าจะไม่มีคนอยู่ข้างใน
เพราะฉะนั้นคู่ค้าของเฉินยี้ น่าจะตามมาทีหลัง
สิ่งที่ฉินซีทำได้ในตอนนี้ ก็คือรอเท่านั้น
บรรยากาศเงียบๆทำให้คนร้อนรนได้ง่าย โดยเฉพาะคนรอ ภาพในกล้องวิดีโอไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ถ้าไม่ใช่ว่าเวลาตรงมุมหน้าจอกำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ฉินซีก็คงคิดว่าทุกอย่างถูกแช่แข็งไปหมดแล้ว
หน้าจอโทรศัพท์เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด แต่สมาธิทั้งหมดของเธอกลับจดจ่ออยู่ที่กล้อง ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด
เวลาผ่านไปแล้วสิบนาที ฉินซีเริ่มขมวดคิ้วขึ้นมานิดๆ
ตามข้อมูลที่ได้รวบรวมมาก่อนหน้านี้ เวลาที่ทั้งสองฝ่ายมาถึงสถานที่นัดพบไม่น่าจะเกินสิบนาที
แต่ว่าหลังจากที่เฉินยี้เดินเข้าไปในห้อง ตอนนี้กลับเกินมาแล้วสิบนาที
…….หรือว่าอีกฝ่ายเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แล้วยกเลิกการทำธุรกิจในครั้งนี้?
ฉินซีเริ่มรู้สึกตื่นตัว
ธุรกิจในลักษณะนี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีการติดต่อกับอีกฝ่ายโดยตรง ปกติแล้วจะนัดเวลาและสถานที่ก่อนล่วงหน้า ถ้าอีกฝ่ายไม่มา พูดแบบทั่วไปก็คือต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
และอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ติดต่อไป แต่จะจากไปในทันที
เห็นได้ชัดว่าคู่ค้าของเฉินยี้มาสาย แต่ก็ไม่รู้เลยว่าเฉินยี้จะรอได้นานแค่ไหน
ถ้าหากเฉินยี้รู้สึกว่ามันผิดปกติขึ้นมา คงออกไปจากที่นี่ แบบนั้นเวลาและสถานที่ในการนัดเจอของพวกเขาในครั้งต่อไป ต้องปิดมิดมากกว่าครั้งนี้แน่ๆ และคงไม่ปล่อยให้สายข่าวหาโอกาสได้ง่ายๆ เหมือนในครั้งนี้แน่
ในตอนที่เวลาเข้าใกล้นาทีที่สิบแปด ในที่สุดก็มีเสียงเบาๆดังขึ้นมาจากทางเดิน
ร่างของคนคนหนึ่งเดินจากที่ไกลๆเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เดินตรงมาที่ห้องที่เฉินยี้อยู่ช้าๆ
ปีกหมวกแก๊ปบนหัวของเขากดลงต่ำมาก จนไม่สามารถเห็นหน้าได้อย่างชัดเจน
หัวคิ้วของฉินซีขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
แบบนี้ไม่ได้การละ ต้องได้ภาพใบหน้าที่คมชัดมากกว่านี้ ถึงจะแยกแยะได้ว่าเป็นใคร
แต่ว่าคนนี้รอบคอบมาก ตลอดทางเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเลยสักครั้ง จนเดินมาถึงหน้าประตูห้องตรงข้าม ในตอนที่เคาะประตู ก็ยังคงก้มหน้าอยู่ตลอด
เห็นได้ชัดว่าเฉินยี้รออยู่นาน ทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นประตูก็ถูกเปิดออกทันที
คนคนนั้นหายวับเข้าไปในห้อง โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ฉินซีมองบานประตูที่ถูกปิดลงสนิทอีกครั้งผ่านหน้าจอกล้อง ในใจก็อดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้
เธอกดย้อนดูวิดีโอส่วนที่กดอัดไว้เมื่อครู่อีกครั้ง พยายามมองหาภาพใบหน้าเต็มๆที่มันชัดกว่านี้
ไม่นานเธอก็สังเกตเห็นว่าหลังจากที่คนนั้นเดินออกมาจากลิฟต์ เหมือนจะเดินไปทิ้งกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนทิ้งลงในถังขยะ
และถ้าฉินซีจำไม่ผิด บริเวณถังขยะตรงนั้นน่าจะมีกล้องรูเข็มซ่อนอยู่
ฉินซีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หยิบโทรศัพท์ออกมา เพื่อรายงานสถานการณ์กับอานหยัน
อานหยันตอบกลับอย่างรวดเร็ว “คุณลองบอกทิศทางของถังขยะอันนั้นมาอย่างละเอียดซิ”
เมื่อฉินซีส่งข้อมูลไปให้ อานหยันก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก หลังจากนั้นไม่นาน ฉินซีก็เห็นคนทำความสะอาดมาเก็บกวาดถังขยะทุกอันตรงทางเดินผ่านกล้องวงจรปิด ทว่าตรงบริเวณหน้าลิฟต์กลับเก็บกวาดนานเป็นพิเศษ เธอจึงรู้ในทันทีว่านั่นคือสายลับ
เธอเบาใจลงในที่สุด จากนั้นก็ตั้งใจจ้องมองกล้องตรงหน้าประตู
ภาพตรงหน้ายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดประตูห้องตรงข้ามก็ถูกเปิดออกมา
คนที่เดินออกมาก่อนคือคู่ค้าของเฉินยี้ เขายังคงกดปีกหมวกแก๊ปลงต่ำเหมือนอย่างเคย เฉินยี้และบอดี้การ์ดสองคนก็เดินตามออกมาติดๆ
ดูจากสีหน้าผ่อนคลายของเฉินยี้แล้ว ข้อตกลงคงสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
บอดี้การ์ดปิดประตู ทั้งสี่คนเดินเรียบไปตามทางเดินตรงไปยังลิฟต์ จนเมื่อทั้งสี่คนเดินเข้าไปในลิฟต์ ฉินซีถึงได้เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อ ความเสี่ยงก็ยิ่งมีมาก เธอต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เธอรื้อการติดตั้งกล้อง เมื่อแน่ใจแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน ฉินซีถึงได้ผลักประตูออกมา
เดิมทีเธอว่าจะลงลิฟต์ไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดินเพื่อไปหาคนขับรถตามแผนเดิมที่วางไว้ แต่เดินออกมาข้างนอกได้ไม่ทันไร จู่ๆก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งรีบดังขึ้นมา
เสียงของเฉินยี้ดังขึ้นมาตรงมุมเลี้ยวฝั่งนั้น ในระยะห่างที่ใกล้กันมาก
“ไร้ประโยชน์!ของสำคัญขนาดนี้ลืมไปได้ยังไง!”
เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ฉินซีก็บีบสายกระเป๋าแน่น แต่ละวินาที ในหัวก็มีสารพัดความคิดปรากฏขึ้นมา
ถ้าเธอเดินต่อไปทั้งอย่างนี้ ต้องเผชิญหน้ากับเฉินยี้แน่ๆ และถ้าเดาจากนิสัยระวังตัวเก่งของเฉินยี้แล้วบังเอิญมีคนมาโผล่ในสถานการณ์อย่างนี้ เขาต้องไปตามสืบทีหลังแน่ๆ
ฉินซีไม่รู้ว่าอานหยันสับเปลี่ยนกล้องวงจรปิดในโรงแรมแล้วหรือยัง ถ้ายัง และถ้าเขาตรวจสอบ แล้วพบว่าฉินซีอยู่ห้องตรงข้ามกับเขาตั้งนานสองนานล่ะก็ เขาต้องสงสัยแน่ๆ
แต่ว่าถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าล่ะ……..
ฉินซีรู้ดีว่าตำแหน่งที่เธออยู่ ทั้งสองข้างทางต่างก็เป็นห้องของแขก ไม่มีแม้แต่ทางหนีไฟ เธอจึงไม่มีที่ให้หลบ
และในเวลาอันรวดเร็ว จู่ๆประตูห้องที่อยู่ด้านข้างของเธอก็เปิดออกมา
“ทำไมถึง…….”
ฉินซีถูกดึงหายเข้าไปในประตู
ยังไม่ทันที่เธอจะเงยหน้าขึ้นไปมองว่าคนที่ดึงเธอเข้ามาเป็นใคร ประตูก็ถูกปิดลง
ฉินซีถูกดึงอย่างแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ทั้งตัวแทบจะล้มไปข้างหน้า
คนที่ดึงเธอเข้ามากำลังจะยื่นมือออกไปช่วยพยุงเธอ แต่ฉินซีเบี่ยงกายออกด้านข้าง พร้อมกับค้ำยันพื้นเอาไว้
บางทีอาจเป็นเพราะเธอล้มด้วยท่าเบาๆ บวกกับบนพื้นมีพรมหนานา เมื่อเธอล้มลงอย่างกะทันหันอย่างนี้ จึงไม่ได้เจ็บตัวอะไรมากมาย
เสียงของเฉินยี้ดังขึ้นมาจากทางเดินหน้าประตูอย่างชัดแจ๋ว “เมื่อกี้มีคน?”
เสียงของบอดี้การ์ดเองก็ดังขึ้นมา “ผมเห็นแล้วครับ แค่คู่รักยื้อยุดฉุดกระชากกัน”
เฉินยี้ยิ้มเยาะออกมา จากนั้นก็ออกคำสั่งอย่างเร่งรีบว่า “ช่างเถอะ รีบไปเอาของมาได้แล้ว”
ฉินซียังอยู่ในท่านอนหมอบ เมื่อได้ยินเสียงเท้าค่อยๆไกลออกไป ถึงได้ถอนหายใจออกมา
ปัญหาที่เหลือก็คือใครอีกคนในห้องนี้
เธอลุกขึ้นมาจากพื้น มองไปยังคนที่ช่วยเธอเอาไว้
มาโผล่ที่นี่ ทั้งยังดึงเธอเข้ามาในนี้ได้ทัน ถ้าจะพูดว่าเรื่องบังเอิญ ก็อาจจะดูปลอมไปหน่อย
แต่ยังไม่ทันที่ฉินซีจะได้พูดความสงสัยออกไป อีกฝ่ายก็เอ่ยปากพูดออกมาก่อนว่า
“ฝีมือขนาดนี้ เก่งดีนี่”