บทที่ 935 ผมเชื่อว่าคุณทำได้
ฉินซีกลับสงสัยในคำพูดของเขา “คงไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้คิดว่ามาตรฐานของฉันใช้ได้ แต่เป็นเพราะเห็นแก่สถานะของฉัน ก็เลยต้องส่งมาให้ฉันนะ?”
ลู่เซิ่นหลุดยิ้ม “คนในบริษัทลู่ซื่อไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเราสักหน่อย แล้วทำไมต้องส่งบัตรเชิญมาให้คุณเพราะเห็นแก่สถานะของคุณด้วยล่ะ?”
แม้ฉินซีจะยังสงสัย แต่ก็จำต้องยอมรับว่าที่ลู่เซิ่นพูดมาว่าเป็นเรื่องจริง
แต่ถึงจะยอมรับ ก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะยอมทำงานนี้สักหน่อย
เธอนำของไปวางไว้อีกฝั่งของโต๊ะ แล้วส่ายหัว “แต่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสื่อโฆษณาชวนเชื่อเลยนะ ฉันช่วยไม่ได้จริงๆ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วนิดๆ “คุณเป็นช่างภาพไม่ใช่เหรอ?”
ฉินซีหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันก็แค่ถ่ายรูปเป็น ถ้าคุณบอกให้ฉันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพโฆษณาวันครบรอบอะไรแบบนี้ ฉันก็ยังจะพอพูดได้ แต่นี่คุณจะให้ฉันมาวางพล็อตหนังตั้งเรื่องหนึ่ง มันออกจะเกินขอบเขตความสามารถของฉันไปสักหน่อย”
ลู่เซิ่นมองเธอ ท่าทางดูคิดหนัก
บริษัทลู่ซื่อมีโครงการนี้จริงๆ และก็ได้ส่งบัตรเชิญไปให้ศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายท่านเหมือนกัน แต่เขาก็อยากใช้งานนี้มากระจายสมาธิของฉินซี และก็เพราะว่าเขาไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ถึงได้ให้แผนกโฆษณาส่งบัตรเชิญมาที่บ้าน แต่เขาก็ลืมนึกถึงสภาพการณ์ของฉินซีไปเลย แต่แผนกโฆษณาเองก็ไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนเหมือนกัน ถึงได้ส่งบัตรเชิญมาให้ฉินซีเหมือนที่ส่งให้คนอื่นๆ
แต่คนอย่างลู่เซิ่นจะยอมให้ข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆมาลดความน่าเกรงขามลงได้ยังไง เขารีบดึงสติกลับมาอย่างเร็วไว แล้วหยิบเอาบัตรเชิญมาอ่านให้ละเอียดอีกรอบ แล้วพูดกับฉินซีว่า “แต่เนื้อหาก็ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นแค่หนังอย่างเดียวนี่นา”
ฉินซีมุ่นคิ้ว “หืม?”
เธอไม่ได้สนใจสิ่งของที่บริษัทลู่ซื่อส่งมาเท่าไหร่ เลยไม่ได้อ่านบัตรเชิญให้ละเอียด ดังนั้นจึงอุปาทานไปเอง ว่าที่บริษัทลู่ซื่อต้องการให้ถ่ายคือภาพยนตร์
“คุณดูเองสิ” ลู่เซิ่นไม่พูดอะไรให้มากความ ยื่นบัตรเชิญไปให้เธอ
ฉินซีอ่านเนื้อหาอย่างละเอียด บนบัตรเชิญเขียนไว้ชัดเจนว่าจะเป็นภาพวาดหรือภาพถ่ายก็ได้เหมือนกัน
แต่แบบนี้ก็ยังดึงดูดความสนใจของฉินซีไม่ได้อยู่ดี เธอวางบัตรเชิญลงบนโต๊ะอย่างขาดความสนใจ “พวกคุณคงเชิญหลายคนแล้ว จะมีหรือไม่มีฉันก็คงไม่เป็นไร”
สีหน้าของลู่เซิ่นอึมครึมยิ่งกว่าเดิม “ผมคิดว่าฝีมือการถ่ายรูปของคุณก็ไม่เลวเลยนะ ทำไมไม่ลองดูล่ะ?”
ฉินซีมองมาที่เขาอย่างตกใจ “คุณ….คุณเคยเห็นผลงานของฉันเหรอ?”
ลู่เซิ่นกระแอม “ที่บ้านก็มีแขวนอยู่ไม่ใช่เหรอ? ผมคิดว่ามันก็สวยดีนะ”
ฉินซีส่ายหน้ายิ้มๆ “แต่นั่นมันคนละสไตล์…….”
“คุณยังไม่ได้ลอง แล้วรู้ได้ไงว่าตัวเองจะทำไม่ได้?” ลู่เซิ่นทนฟังต่อไปไม่ได้ จึงพูดตัดบทเธอ
ฉินซีนิ่งไป “คุณ…..อยากให้ฉันเข้าร่วมขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ลู่เซิ่นมองตาของฉินซีอย่างไม่หลบเลี่ยง จากนั้นก็พยักหน้า
“ผมเชื่อว่าคุณทำได้”
ฉินซีจ้องมองลู่เซิ่นนิ่งๆ จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ “งั้นฉัน…ลองดูก็ได้”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วด้วยสีหน้าที่อ่อนลง “งั้นคุณเริ่มตั้งแต่การวางพล็อตก่อนเลย คุณอยากดึงแง่มุมไหนเข้ามานำเสนอบริษัทลู่เซิ่นบ้าง?”
เมื่อฉินซีถูกเขาถามมาแบบนี้ ก็พูดออกมาตามที่คิดว่า “ฉันไม่เคยสัมผัสการสร้างสื่อโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทมาก่อน บางทีฉันอาจจะต้องไปค้นข้อมูล แล้วก็เรียนรู้จากคนที่นั่น”
ลู่เซิ่นเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ยักไหล่แล้วพูดว่า “งั้นคุณก็ลองไปดู”
ตอนที่ฉินซีเหยียดกายลุกขึ้นเดินไปยังชั้นบน ก็รู้สึกทึ่งๆอยู่เหมือนกัน
เมื่อก่อนเธอมั่นคงกับการถ่ายภาพวิวแค่อย่างเดียว แต่ว่าในช่วงที่ผ่านมานี้ ทั้งถูกจับไปเป็นตากล้องถ่ายคน ทั้งถูกเชิญให้เป็นผู้กำกับสื่อโฆษณาชวนเชื่อ ล้วนแล้วแต่เป็นการพังกรอบเดิมๆของตัวเองทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า ความรู้สึกที่ต้องออกมาจากเซฟโซนเดิมๆ ก็ไม่ได้ถือว่าแย่เท่าไหร่
อย่างน้อยก็ได้ท้าทายในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เคยได้ลองทำ อย่างน้อยก็ทำให้ความรู้สึกดาวน์ๆในช่วงสองสามวันมานี้ของฉินซี ได้พบกับความตื่นเต้นที่แปลกใหม่
ลู่เซิ่นมองตามแผ่นหลังที่กำลังเดินขึ้นชั้นบนไป ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆประดับอยู่
เขารู้ ว่าฉินซีไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ
เธอไม่ยอมท้อถอยให้กับอุปสรรคง่ายๆหรอก
……
ตอนที่ลู่เซิ่นกลับเข้ามาในห้อง ถึงได้พบว่าข้างกายของฉินซีมีเอกสารข้อมูลวางกองเป็นตับ ในมือของเธอยังถือไอแพดเอาไว้ พร้อมทั้งเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนนั้น
ลู่เซิ่นไม่ค่อยได้เห็นท่าทางตอนเธอทำงานเท่าไหร่นัก พอมาเห็นแบบนี้แล้วจึงแปลกใหม่อยู่เหมือนกัน
ฉินซีรู้สึกได้ถึงสายตาของลู่เซิ่น จึงเงยหน้าขึ้นไปมองเขา
“มีอะไรคืบหน้าไหม?” ลู่เซิ่นถาม
“ก็นิดหน่อย แต่ว่าตอนนี้พูดไม่ได้” ฉินซีก้มหน้าลงไปอีกครั้ง ลงมือขีดๆเขียนๆบนไอแพดต่อ
ท่าทางตั้งอกตั้งใจของเธอทำให้เธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะเลย ไม่ได้ดูไร้ชีวิตชีวาเหมือนเมื่อไม่กี่วันก่อนอีกแล้ว
ลู่เซิ่นมองอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
แต่พอถึงเวลานอน ลู่เซิ่นกลับพบว่ามีบางอย่างแปลกๆ
…….นั่นก็คือฉินซียังไม่หยุดพักเลย
“คุณไม่นอนเหรอ?” เขานอนอยู่บนเตียง พร้อมกับหันหน้าไปมองฉินซี
ดวงตาของฉินซีมีแต่ความฮึกเหิมอยากทำให้มันเสร็จรวดเดียว “ฉันพอจะมีไอเดียแล้ว ถ้ายังไม่เสร็จดี ก็คงนอนไม่หลับ”
ลู่เซิ่นนึกไม่ถึงว่ามันจะมีผลข้างเคียงแบบนี้ เขาจึงเอื้อมมือออกไปเก็บปากกาไอแพดในมือของเธอทันที
“นี่!” ฉินซีส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ
“พักก่อน พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาทำต่อ!” น้ำเสียงของลู่เซิ่นไม่สามารถโอนอ่อนได้อีกต่อไป
ฉินซีขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันกำลังทำงานให้บริษัทคุณนะ!”
“งั้นเจ้านายละเว้นคุณเป็นกรณีพิเศษ ตอนนี้มานอนได้แล้ว” ลู่เซิ่นไม่สะทกสะท้าน วางปากกาไอแพดของฉินซีไว้ตรงหัวเตียงทางตัวเอง จากนั้นก็บังคับฉินซีมานอนบนฟูกที่นอน ด้วยท่าทางเด็ดขาดไม่ยอมให้เธอกลับไปทำงานต่อ
ฉินซีอยากขัดขืน แต่ถ้าเป็นเรื่องพละกำลังแล้ว เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่เซิ่นหรอก
“ถ้ายังดื้อ งั้นคืนนี้ผมจะทำให้คุณไม่ได้นอนด้วยวิธีอื่น” ลู่เซิ่นขู่เธอเสียงต่ำ
ฉินซีอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก เธอไปดื้อตอนไหน?
แต่ลู่เซิ่นก็มีท่าทีไม่ยอมท่าเดียว เธอจึงหมดปัญญา ทำได้เพียงจำไอเดียคร่าวๆไว้ กดปิดไอแพด แล้วเอนตัวนอนลง
ในตอนที่ฉินซีกำลังใช้ความคิด สมองจะโลดแล่นและคึกมากเป็นพิเศษ
ดังนั้นเธอจะไม่ยอมนอน นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอรู้ตัวว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ
แต่เพราะไม่กี่วันมานี้เธอไม่ได้นอนมาหลายคืน วันนี้ก็หมดพลังไปกับการค้นหาข้อมูลเสียเยอะ ความหนักอึ้งในใจก็ถูกเบี่ยงเบนไป ลางสังหรณ์ของเธอกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อเธอนอนลง ผ่านไปไม่นาน เสียงลมหายใจก็สม่ำเสมอ
ลู่เซิ่นนอนฟังเสียงลมหายใจของฉินซีในความมืด มุมปากก็กระตุกเป็นรอยยิ้ม
……
เช้าวันรุ่งขึ้นตอนที่ตื่นขึ้นมา ฉินซีรู้สึกเหลือเชื่อ
เมื่อวานเธอนอนหลับเต็มอิ่มมาก!
เธอค่อยๆหันหน้าไปด้านข้าง จึงสบเข้ากับลู่เซิ่นที่ลืมตาอยู่พอดี
ทั้งสองสื่อสารกันทางสายตา เขาตีคิ้วเบาๆ
แต่ฉินซีไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป
ถ้าให้เธอพูดขอบคุณลู่เซิ่นออกไป ก็ไม่มีทางซะหรอก
เพราะเมื่อฉินซีหวนนึกกลับไป พบว่าไอเดียที่นึกออกเมื่อคืนหลังจากนอนหลับแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ความจำเลือนราง
ดังนั้นเธอจึงลุกพรวดขึ้นมา ฉวยเอาปากกาไอแพดที่วางอยู่ทางลู่เซิ่นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แล้วเปิดไอแพดขึ้นมาลงมือขีดๆเขียนๆด้วยสภาพที่ผมไม่หวีหน้าไม่ล้าง