บทที่ 946 คิดอะไรแบบนั้นกับคุณ
วิดีโอถูกปล่อยออกมาแค่วันเดียว แต่กลับได้รับผลตอบรับขนาดนี้ ก็น่าพึงพอใจแล้ว
ทว่าสีหน้าของลู่เซิ่นกลับไม่ได้ดีเท่าที่ควร
เขาจ้องโพสต์ของหซู่เป่ยอยู่นาน จากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ
ส่วนอีกด้าน ฉินซีที่เล่นโทรศัพท์อยู่ ก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน
เรื่องมันเริ่มจากหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
ผู้ชมคึกคักอยู่ทั้งวัน หลังจากทุกคนดูจบหลายรอบแล้ว ก็มีบางคนอยากขุดหาประวัติของช่างภาพคนนี้ บางคนก็โพสต์ข้อความพูดถึงประวัติของบริษัทลู่ซื่อ ไม่นานชาวขี้เม้าท์ทั้งหลายก็พบว่ามีเรื่องหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ถูกมองข้ามมาตลอด——
หซู่เป่ยไม่ได้กดแชร์ลิงก์ที่เพจออฟฟิเชี่ยลของบริษัทลู่ซื่อปล่อยออกมา แต่กลับกดแชร์โพสต์ของคนอื่นแทน
จะกดแชร์ของใครก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะยังไงผลตอบรับมันก็เหมือนๆกัน แต่ชื่อแอคเคาท์ที่ปรากฏอยู่ในโพสต์ที่แชร์ ดูไม่คุ้นสำหรับคนทั่วไปเลย ดังนั้นจึงจุดชนวนให้คนเดาไปต่างๆนานา
แอคเคาท์นั้นไม่ใส่รูปโปรไฟล์ หน้าหลักของแอคเคาท์ก็ว่างเปล่า การติดตามคนอื่นเป็นศูนย์ และมีแอคปลอมแค่ไม่กี่แอคเป็นผู้ติดตาม
ชาวขี้เม้าท์งงงวย ไม่ทันไรคำว่า “หซู่เป่ยแชร์โพสต์ของใคร” ก็ติดอันดับการค้นหามากที่สุดในเวลาไม่นาน
พวกนิตยสารทำข่าวซุบซิบจึงเริ่มเคลื่อนไหว และเริ่มสืบหาว่าเจ้าของแอคเคาท์นั้นเป็นของใคร ส่วนแฟนคลับของหซู่เป่ยก็ส่งข้อความเข้ามาไม่หยุด อยากให้มีคนออกมาพูดอะไรบ้าง
และแน่นอนว่าแอคเคาท์แอคนั้นเป็นของฉินซี
เวลาปกติเธอไม่ค่อยเล่นโซเชียลเท่าไหร่ ครั้งนี้เป็นเพราะเธอพอใจกับผลงานของตัวเองมาก จึงอยากเข้าไปอ่านคอมเม้นท์ของแต่ละคน พอเห็นคอมเม้นท์ดีๆและถูกใจเธอ เธอก็แค่แชร์ จากนั้นก็กดออกจากแอปไป
แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากนั้น จะมีข้อความส่งเข้ามาเยอะจนโทรศัพท์เธอแทบค้าง
ฉินซีเปิดเข้าไปอ่านอย่างงุนงง อ่านอยู่นาน ถึงได้เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
การแชร์โพสต์รวมอยู่ในข้อตกลงของบริษัทลู่ซื่อกับหซู่เป่ย การที่เขาแชร์โพสต์จึงไม่ได้เหนือความคาดหมายของคนอื่นมากนัก แต่ที่เกินความคาดหมายก็คือเขาดันไปแชร์โพสต์ของฉินซี จนทำให้คนอื่นจินตนาการไปต่างๆนานา
ปกติฉินซีไม่ได้ใช้เวยป๋อติดต่อกับใคร เธอไม่รู้เลยว่าหซู่เป่ยรู้จักแอคเคาท์ที่แทบไม่ได้ใช้งานของเธอได้ยังไง
ฉินซีกำลังคิดหาทางแก้ไขเรื่องนี้ พอกดโหลดหน้าทามไลน์ใหม่ ก็เห็นว่าหซู่เป่ยออกมาพูดแล้ว
เขากด@แอคเคาท์ของเธอ พร้อมกับทิ้งข้อความไว้ว่า “ขอบคุณคุณตากล้อง การร่วมงานครั้งที่สองผ่านไปด้วยดี~”
เมื่อเขาออกมาพูด ก็ไม่ได้ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนลดลงเลยสักนิด กลับกันเหมือนเติมน้ำลงในน้ำมันร้อนๆ จนหน้าไทม์ไลน์เดือดมากกว่าเดิม
……
สายโทรศัพท์ของอานหยันและข้อความจากลู่เซิ่นถูกส่งมาหาพร้อมๆกัน
ฉินซีลังเลอยู่สักพัก ก็กดรับโทรศัพท์ก่อน
“ฉินซี!” น้ำเสียงของอานหยันฟังดูตื่นๆ “มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ฉินซีจนใจ “ฉันถ่ายภาพโฆษณาให้บริษัทลู่ซื่อ และฉันก็เป็นคนถ่ายภาพในส่วนของหซู่เป่ย”
อานหยันพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า “แต่แล้วทำไมจู่ๆเขาต้องทำเหมือนว่ารู้จักคุณด้วยล่ะ?”
ฉินซีเงียบไป
อานหยันเองก็นิ่งไปสักพัก “เขาคงไม่ได้…..คิดอะไรแบบนั้นกับคุณหรอกใช่ไหม?”
เมื่อฉินซีนึกไปถึงการกระทำของหซู่เป่ยในวันที่ถ่ายทำ ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “หซู่เป่ยคนนี้ คงคิดจะจีบฉันสินะ”
เมื่อได้ยินฉินซีพูดมาแบบนี้ อานหยันก็เริ่มคิดตาม แม้ว่าหซู่เป่ยจะเป็นดาราที่มีแฟนคลับมากมาย แต่ชีวิตส่วนตัวของเขามั่วซั่วมาก คู่ควงในแต่ละวันมีเยอะจนนับไม่หมด ได้ยินมาว่าเขายังชื่นชอบการเอาชนะผู้หญิงที่หยิ่งๆหน่อย และชื่นชอบการได้เห็นผู้หญิงเหล่านั้นสยบอยู่กับตักของเขา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อานหยันก็ไม่รู้จะทำยังไง ฉินซีทั้งฉลาดทั้งสวย นิสัยใจคอก็ตรงกับไทป์ที่เขาชอบ ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะถูกใจเธอ
“แล้วคุณคิดจะทำยังไง?” อานหยันเอ่ยถามอย่างสงสัย
ฉินซีใคร่ครวญอยู่สักครู่ “ฉันพูดกับเขาไปชัดเจนแล้ว ถึงยังไงเขาก็เป็นดารา คงไม่ทำอะไรหน้าด้านๆหรอก”
เธอพูดได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังจากที่ไกลๆเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
เวลานี้ คงเป็นลู่เซิ่นที่กลับมา
เมื่ออานหยันได้ยินคำตอบแสนเรียบนิ่งของเธอ ก็เชื่อมั่นว่าเธอสามารถจัดการมันได้อย่างแน่นอน เมื่อมีอะไรจะถามก็วางสายไป
แม้ฉินซีจะพูดออกไปอย่างมั่นใจ แต่ถ้าต้องส่งข้อความไปหาหซู่เป่ยจริงๆ กลับรู้สึกลำบากใจ
จริงๆแล้วหซู่เป่ยไม่เคยพูดอะไรออกมาชัดเจน เพียงแต่แววตาและคำพูดต่างก็บอกออกมาเป็นนัยๆ เมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าหากปฏิเสธออกไปตรงๆ เขาก็จะพูดว่าเขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ไม่ต้องคิดมาก หรือถ้าหากแกล้งทำเป็นดูไม่ออก เขาก็จะยิ่งทำตัวได้คืบจะเอาศอก ปั่นหัวจนใครอีกคนเป็นฝ่ายทนไม่ไหวก่อน
และฉินซีมั่นใจมาก ว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง
ถ้าเธอไม่พูดออกไปให้ชัดเจน ลางสังหรณ์มันบอกว่า หซู่เป่ยต้องสร้างปัญหาอะไรแน่ๆ
เธอยังคงนิ่งครุ่นคิดอยู่กับที่ เสียงฝีเท้าของลู่เซิ่นดังมาจากที่ไกลๆ จากนั้นก็หยุดยืนที่หน้าประตู
เสียงเปิดประตูดังขึ้นมา ฉินซีหันหน้าไปมอง ก็เห็นสีหน้ามึนตึงของเขา จากนั้นเขาก็พยักพเยิดหน้ามาที่เธอ “ยังไม่ได้ดูข่าวอีกเหรอ?”
ฉินซีขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ
แจ้งเตือนในเวยป๋อน่ารำคาญมาก เธอจึงลบแอพทิ้งไปตั้งแต่ตอนที่อานหยันโทรมาแล้ว
ไม่ทันไร มีเรื่องอะไรอีกแล้ว?
เมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนของฉินซี ลู่เซิ่นก็พยายามข่มอารมณ์เอาไว้ จากนั้นก็ยื่นไอแพดไปให้เธอ
ในกลุ่มแสดงความคิดเห็นที่ค่อนข้างดังกลุ่มหนึ่ง มีกระทู้หนึ่งโชว์หราอยู่หน้าแรก
เมื่อฉินซีกวาดสายตาอ่านชื่อกระทู้ สีหน้าก็พลันนิ่งค้าง
“อดไม่ไหวละ มาร่วมเม้าท์ความสัมพันธ์ลับๆของดาราบางคนกับตากล้องบางคนดีกว่า”
เธอกัดฟัน สูดลมหายใจเข้า แล้วก้มหน้าอ่านเนื้อความบนนั้น
“เรื่องชื่อของดารากับตากล้องเราจะไม่พูดอะไรมาก วันนี้ทุกคนคงเห็นข่าวกันเยอะแล้ว ว่ากันว่าดาราผู้ชายถูกเล่นข่าวอยู่หลายครั้ง ตามที่คนเขาพูดมาเขาจะสนใจผู้หญิงสวยๆเป็นพิเศษ และตากล้องผู้หญิงก็สวยตรงสเป็คของเขา ทั้งสองรู้จักกันเพราะเรื่องงาน หลังจากนั้นก็พัฒนาความสัมพันธ์”
ฉินซีขมวดคิ้วแน่น กวาดสายตาอ่านผ่านๆไปเรื่อยๆ
ในกระทู้บรรยายอย่างกับมีตาทิพย์ ทั้งยังแบรูปภาพมาด้วย
“รูปภาพของดาราผู้ชายในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปรากฏอยู่ในสื่อนำเสนอของบริษัท แฟนคลับต่างรู้กันทั้งนั้น ว่าชุดที่เขาใส่เป็นชุดเดียวกันกับตอนที่ถ่ายหน้าปกนิตยสาร แต่ภาพพื้นหลังในรูปเป็นภาพที่ถ่ายนอกสตูดิโอ แต่หน้าปกนิตยสารเป็นภาพที่ถ่ายในสตูดิโอ แล้วทำไมถึงมีภาพนี้ออกมาล่ะ? นั่นก็เพราะว่าตากล้องที่ถ่ายภาพปกนิตยสารในครั้งนั้น ก็คือคนเดียวกับตากล้องผู้หญิงคนนี้ยังไงล่ะ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้ร่วมงานกัน แต่ดูเหมือนจะสนิทสนมกันพอสมควร ดาราผู้ชายถึงได้ให้เธอถ่ายรูปให้ตัวเองตอนพักการถ่ายทำ”
ในกระทู้มีรูปเบลอๆอยู่สองสามรูป ฉินซีตั้งใจมองอยู่สักพัก ก็พบว่าเป็นรูปที่ถ่ายจากที่ไกลๆ เป็นรูปที่เธอถ่ายรูปวิวให้หซู่เป่ยอยู่นอกสตูดิโอในวันที่ไปถ่ายนิตยสาร และรูปตอนที่หซู่เป่ยขอแลกคอนแท็คกับเธอ
………ก็ยังถูกถ่ายเอาไว้