บทที่ 949 แส่ไปทั่ว
ฉินซีอารมณ์ดาวน์ลง เหมือนที่ลู่เซิ่นคาดการณ์เอาไว้
เขาดูออก ว่าช่วงที่ผ่านมานี้ฉินซีมีความสุขกับการได้ทำงานกับพนักงานพวกนั้น และเข้ากันได้ดีมากแค่ไหน
ฉินซีมองพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีด้วยใจจริง แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกหนึ่งในเพื่อนร่วมงานแทงข้างหลังอย่างนี้
ลู่เซิ่นรู้ว่าฉินซีคงต้องการเวลาสักพักในการยอมรับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเรียกฉินซีมาดูรูป เพื่อเป็นการเตือนฉินซีไว้แต่เนิ่นๆ
แต่เหมือนการเตือนแบบนี้ จะไม่ได้มีผลอะไรดีเลย
จริงๆแล้วการคาดเดาของลู่เซิ่นไม่ได้ผิดไปจากที่คิดไว้ หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ฉินซึ่งเทียนหักหลัง เหยาหมิ่นมา สิ่งที่ฉินซีรับไม่ได้ที่สุด ก็คือการหักหลัง
การกระทำในครั้งนี้ของดิงหยิ่ง เหมือนเอามีดมาแทงหัวใจของเธอเข้าอย่างจัง
หลังจากคิดทบทวนทุกอย่าง ฉินซีก็ยิ้มเยาะกับตัวเอง
ไม่ใช่ว่าเธอไม่สังเกตว่าที่ดิงหยิ่งเข้าหาเธอเพราะมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง แต่เธอก็คิดแค่ว่าดิงหยิ่งเป็นแฟนคลับที่ชื่นชอบดาราทั่วๆไปเท่านั้น เธอคงประมาทเกินไป
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินซีเปลี่ยนไป ลู่เซิ่นก็ยื่นมือออกไปตบไหล่ของเธออย่างปลอบใจ
ฉินซีเงยหน้าขึ้นไปมองเขา แล้วยิ้มขมขื่นออกมา “ฉันขออยู่คนเดียวสักพักได้ไหม?”
ลู่เซิ่นวางมือลง แล้วพยักหน้าให้เธอ
ฉินซีจึงหันหลังเดินออกไป
เมื่อลู่เซิ่นได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเดินออกไปไกลแล้ว จึงก้มหน้าส่งข้อความไปหาหลินหยัง
……
ฉินซีไม่ได้ไปไหนไกล แค่หลบมาอยู่ในห้องมืด
เพราะความมืดให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเธอ สามารถทำให้เธอสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
ก็เหมือนทุกครั้งที่ฉินซึ่งเทียนกับเหยาหมิ่นทะเลาะกัน เธอมักจะไปหลบอยู่ในห้องเล็กๆของตัวเองแบบนี้เหมือนกัน
จริงๆแล้วเธอเข้มแข็งกว่าที่ลู่เซิ่นคิดไว้เสียอีก ตอนแรกเธอรู้สึกอึ้งไปหมด มากกว่าเสียใจ ตอนนี้เธอหลงเหลือแค่ความรู้สึกเสียดาย
เธอเคยมองคนพวกนั้นเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ
แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หลังจากนี้เวลาเจอกันก็คงมีแต่ความอึดอัด
ฉินซีถอนหายใจออกมาเบาๆ
……
กว่าลู่เซิ่นจะเห็นฉินซีเดินกลับมา ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง
ฉินซีล้างหน้าล้างตาแล้วเรียบร้อย กำลังนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่ในไอแพดก็ไม่รู้
“เรื่องดิงหยิ่ง จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” เมื่อฉินซีได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา เธอก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามก่อน
ลู่เซิ่นเดินเข้าไปยื่นไอแพดของตัวเองให้เธอ “ข้อมูลส่วนถัดมาอยู่ในนี้ คุณอยากอ่านไหม?”
ฉินซีละสายตาจากไอแพด แล้วนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็ส่ายหน้า “คุณพูดมาเลยเถอะ”
ลู่เซิ่นเองก็ไม่ได้ดึงดันต่อ เก็บไอแพดไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “ตอนแรกโปรเจ็คนี้เป็นโปรเจ็คสุดท้ายในช่วงทดลองงานของดิงหยิ่ง อาทิตย์หน้าเธอก็จะได้เปลี่ยนทีมแล้ว แต่ตอนนี้บริษัทไล่เธอออกแล้ว และเธอต้องประกาศขอโทษบนเวยป๋อ รวมถึงต้องชี้แจงให้ชัดเจนด้วย”
อีกอย่างบริษัทไหนก็คงไม่จ้างงานเธอแล้ว
แต่ประโยคนี้ลู่เซิ่นไม่ได้พูดออกมา
เมื่อฉินซีฟังจบ ก็ทำแค่พยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”
น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่ง ราวกับเรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอแล้ว
ลู่เซิ่นเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ รู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยานี้ของฉินซี แต่ก็ดีแล้วที่เธอไม่เก็บมันมาใส่ใจ
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ และเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
แม้ว่าฉินซีจะลบแอพเวยป๋อไปแล้ว แต่อานหยันก็คอยรายงานความคืบหน้าของเรื่องต่างๆให้เธอฟังอยู่ตลอด
“เป็นฝีมือแผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทลู่ซื่อจริงๆด้วย ครั้งนี้เก็บกวาดข่าวสะอาดจนเกลี้ยงเชียวล่ะ”
“สตูดิโอของหซู่เป่ยออกมาแถลงแล้วว่าพวกคุณเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน ทั้งยังฟ้องคนที่สร้างข่าวลือด้วยนะ”
“หือ? ทำไมมีคนออกมาขอโทษ?”
“คุณพระ เป็นพนักงานที่อยู่ในสถานที่ถ่ายทำหรอกเหรอ เธอบอกว่ารูปพวกนั้นเป็นมุมกล้องทั้งหมด บอกอีกว่าเธอเป็นแฟนคลับหซู่เป่ยมาหลายปี พอเห็นเขากับคุณสนิทกัน ก็เลยเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกคุณ ดังนั้นก็เลยโกรธมากและสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแบบนี้ ยัยเด็กคนนี้ก็ช่างคิดไปได้นะ…..”
“มีข้อความใหม่ออกมาอีกแล้ว เป็นรูปที่คนอื่นๆถ่ายได้พร้อมกันในวันนั้นล่ะ ฉันว่าแล้วว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆ!”
เธอส่งข้อความมาก่อกวนฉินซีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เมื่อฉินซีเห็นภาพล่าสุดที่เธอส่งมา ก็ลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็กดเปิดดู
เป็นรูปที่เธอถูกถ่ายตอนโดนชนจนเกือบจะล้ม
พอเปลี่ยนมุม ก็เห็นได้ชัดว่าเธอแค่จับแขนของหซู่เป่ยเท่านั้น ไม่ได้แนบชิดอะไรเลยสักนิด
หลักฐานถูกปล่อยออกมาอันแล้วอันเล่า ทิศทางลมของพวกชอบเม้าท์มอยก็เปลี่ยนไป ทั้งด่าคนสร้างข่าวลือ ทั้งบอกว่าจะสนับสนุนหนังสั้นของบริษัทเพื่อเป็นการชดเชยความเข้าใจผิดที่เม้าไปทั่ว ยังมีแฟนคลับหซู่เป่ยบางส่วนที่โพสต์ข้อความรัวอย่างเอาเป็นเอาตายว่า “หซู่เป่ยยังโสด”
แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉินซี เธอดูแค่รูปภาพพวกนั้นอย่างเหม่อลอย
ก่อนหน้านี้เธอโกรธจนหน้ามืด ต่อมาพอถูกเรื่องของดิงหยิ่งโจมตี เธอก็ไม่ได้สังเกตลู่เซิ่นเลยสักนิด
ตอนนี้พอมานึกๆดู ท่าทีของลู่เซิ่นวันนี้…..ดูผิดปกตินิดหน่อย
ถ้าเรื่องของเธอทำให้เขาไม่สบายใจ ถึงขนาดที่คิดแต่เรื่องของเธอ งั้นการที่เขานิ่งไปมันอาจจะดูเกินไปหน่อย
มันผิดปกติ เพราะถึงยังไง…..เขาก็ไม่ใช่ประเภทพวกโกรธอะไรง่ายๆ
ฉินซีพยายามนึกถึงท่าทีของลู่เซิ่นในวันนี้ให้ละเอียด จากนั้นก็เห็นเขาเปิดประตูห้องน้ำเดินออกมา
เมื่อลู่เซิ่นเงยหน้าไปเห็นสายตาของฉินซี ก็พูดเสียงนิ่งว่า “ผมปิดไฟนะ?”
สีหน้าของเขานิ่งเกินไป…..มันผิดปกติมาก
หัวคิ้วของฉินซีเริ่มขมวดช้าๆ
ตอนนี้เอง ลู่เซิ่นก็เดินมาถึงข้างเตียงแล้ว เมื่อเห็นว่าสายตาของฉินซีเอาแต่มองมาที่ตัวเอง เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แค่พูดนิ่งๆออกมาว่า “ปิดไฟแล้วนะ”
วินาทีต่อมา ในห้องนอนก็ตกอยู่ในความมืด
เมื่อมองไม่เห็นหน้าของลู่เซิ่น ฉินซีก็มีความกล้า
“ลู่เซิ่น วันนี้ตอนที่คุณกลับมา คุณโกรธใช่ไหม?”
เธอเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
ลู่เซิ่นไม่ตอบคำถามของเธอ แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “แม่ผมเห็นข่าวก่อน เธอเลยโทรมาถามผม ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ฉินซีบีบนิ้วมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
คุณหญิงลู่รู้เรื่องก่อน…..สินะ…..
เดิมทีคุณหญิงลู่ก็คัดค้านการแต่งงานระหว่างพวกเขาอยู่แล้ว ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่า พอมีข่าวแบบนี้ออกมาคงสร้างปัญหาให้ลู่เซิ่นไม่น้อยเลย
“ฉันขอโทษ” ฉินซีเอ่ยขอโทษจากใจจริง
ถ้าพูดกันตามความจริง ทั้งๆที่เรื่องนี้เธอเป็นคนก่อเรื่อง แต่ลู่เซิ่นกลับเป็นคนจัดการปัญหาทั้งหมดซะงั้น
ลู่เซิ่นไม่ได้รีบตอบอะไรกลับไป เขานิ่งไปสักครู่ จู่ๆก็ถามขึ้นว่า “ฉินซี ตกลงแล้วคุณคิดว่า ผมโกรธไหม?”
ฉินซีอ้าปาก ไม่รู้ว่าควรตอบคำถามแปลกๆของเขายังไงดี
ลู่เซิ่นจะโกรธหรือไม่โกรธ ตัวเองไม่รู้ตัว แล้วยังต้องถามคนอื่นอีกเหรอ?
ไฟในห้องถูกปิดหมดแล้ว เธอจึงมองไม่เห็นสีหน้าของลู่เซิ่น และไม่สามารถเดาเจตนาของเขาได้
ไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ เธอถึงได้หยั่งเชิงตอบกลับไปว่า “ฉันคิดว่า….ก็น่าจะนิดหน่อย……”