บทที่ 970 คุณไม่เคยเป็นตัวปัญหาเลย
พูดจบ ฉินซีก็ถอยหลังหนึ่งก้าว “ฉันจะไปบอกคุณนายลู่ว่าเราจะหย่ากัน แต่เรื่องอื่นๆ ระหว่างเรา……เรากลับไปก่อนค่อยคุยกันนะ”
เธอหันตัวเดินไปในห้องผู้ป่วยของสูหยิง
ลู่เซิ่นไม่ได้ตามเข้าไป
เขายืนอยู่ที่เดิม เม้มปาก ผลุบตาลง พูดขึ้นเบาๆ “คุณไม่เคยเป็นปัญหาเลยนะ”
……
เมื่อฉินซีเปิดประตูห้องผู้ป่วย สูหยิงหันศีรษะไปมองเธอ ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แค่พ่นหัวเราะเบาๆ
“ลู่เซิ่นยอมหย่าแล้วเหรอ?”
ฉินซีพยักหน้า จ้องมองเธอ น้ำเสียงไม่แข็งกร้าวและไม่ถ่อมตัว “เราจะหย่ากันให้เร็วที่สุดค่ะ”
สูหยิงทำเสียงฮึดฮัด “ถือว่าเธอรู้ควรทำยังไง”
“ฉันเอาสัญญาไปนะคะ” ฉินซีหยิบกระดาษแผ่นนั้นบนโต๊ะผู้ป่วยขึ้นมา “คุณคงไม่อยากเห็นฉันอีกแล้ว”
เธอไม่ลงรอยกับสูหยิง ดังนั้นไม่คิดจะพูดอะไรไร้สาระ หันตัวคิดจะเดินไป
แต่เห็นว่าเธอจะเดินไปที่ประตู จู่ๆ สูหยิงก็เปล่งเสียงเรียกเธอไว้อีกครั้ง
“เธอพูดโน้มน้าวเขายังไง” น้ำเสียงสูหยิงอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก “นิสัยลู่เซิ่นฉันรู้ดี เขาดื้อรั้นได้ฉันมา ทำไมเขาถึงฟังเธอ?”
ฉินซีหันศีรษะไปยิ้มให้เธอ “มันเป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยาของเรา คุณไม่ต้องใส่ใจมากหรอกค่ะ”
ใบหน้าสูหยิงดึงลงมาทันที “เธอ——”
“ฉันไปก่อนนะคะ คุณก็พักผ่อนให้เต็มที่” ฉินซีไม่ให้โอกาสสูหยิงอารมณ์เสีย เปิดประตูแล้วเดินออกไปทันที
ต่อไปก็ไม่ใช่คนในครอบครัวแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องระงับความโกรธตัวเอง
……
ลู่เซิ่นยืนอยู่หน้าประตูผู้ป่วยของสูหยิง
บางครั้งฉินซีก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจลู่เซิ่น เช่นไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่เขาทำหน้าโกรธ แต่ใบหน้าตอนนี้ของเขากลับสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
แต่ตอนนี้ฉินซีไม่สามารถสนใจอะไรได้อีกแล้ว แค่ยื่นมือออกไปดึงเขา “ไปกันเถอะ”
แต่ทางข้างหน้าถูกขวางเอาไว้
โดยลู่เหวย
เขาเห็นสัญญาหย่าร้างที่ฉินซีถืออยู่ในมืออย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเปลี่ยนไป พูดเสียงทุ้ม “ฉินซี ขอเวลาคุยกับฉันหน่อยได้ไหม?”
ฉินซีหันตัวไปมองลู่เซิ่นที่อยู่ด้านหลัง ลังเลไม่กี่วินาที ก็ส่ายศีรษะ “คุณอา ตอนนี้เรามีธุระบางอย่าง……ครั้งหน้ามีโอกาสค่อยคุยกันนะคะ”
ความรู้สึกของเธอที่มีต่อลู่เหวยนั้นค่อนข้างซับซ้อน
ด้านหนึ่งหลังจากที่รู้ว่าเขาแอบไปทำความสะอาดหลุมศพเหยาหมิ่น ก็รู้สึกขอบคุณเขาอยู่บ้าง ขอบคุณที่เขาทำให้ตัวเองรู้ว่าไม่ใช่เธอคนเดียวบนโลกใบนี้ที่จำเหยาหมิ่นได้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง เธอก็สงสัยเหมือนกับสูหยิงไม่มากก็น้อย ไม่รู้ว่าเขามีความรู้สึกแบบไหนกับเหยาหมิ่นกันแน่ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร
เมื่อลู่เหวยได้ยินก็ไม่ยืนกราน ถอยหลังไปหนึ่งก้าว เสียงยังคงทุ้มต่ำมาก “โอเค งั้นฉันจะรอเธอมีเวลานะ”
ลู่เซิ่นยืนด้านหลังตลอดเวลา ได้ยินบทสนทนาทั้งคู่แต่ไม่พูดอะไรสักคำ จนกระทั่งฉินซีเดินไปข้างหน้า เขาถึงได้เดินตามไป
แต่ลู่เหวยคว้าตัวเขาเอาไว้ “ลูกจะหย่ากับเธอจริงๆ เหรอ?”
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบ ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ไม่อาจอธิบายได้
ลู่เหวยอึ้งไป ลู่เซิ่นก็หลุดพ้นจากเขา เดินตามฉินซีไปข้างหน้าต่อ
……
ฉินซีแค่รู้สึกว่าลู่เซิ่นเงียบเกินไปตลอดทาง
ถึงปกติลู่เซิ่นจะไม่ใช่คนที่ชอบพูด แต่เงียบแบบในตอนนี้ มันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจมาก
กว่าจะถึงรีสอร์ทชิงหยวน พอเธอลงรถ ก็เข้าไปในห้องนอนทันที
สัญญาของเธอกับลู่เซิ่นในตอนนั้น ยังวางอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน
สาเหตุที่ไม่ได้เซ็นสัญญาหย่าร้างที่โรงพยาบาลโดยทันที ก็เพราะว่าเธอยังจำได้ว่าระหว่างตัวเองกับลู่เซิ่น ยังมีสัญญาอื่นๆ อีก
ฝีเท้าลู่เซิ่นไม่รีบร้อน จนกระทั่งฉินซีเจอสัญญา ตอนวางไว้บนโต๊ะ เขาถึงได้เดินเข้าห้องนอนมาช้าๆ
ฉินซีนั่งที่โต๊ะ บนโต๊ะมีสัญญาสามฉบับ
สัญญาเงินกู้ สัญญาก่อนสมรสและสัญญาหย่าร้าง
มันสะท้อนให้เห็นภาพกระบวนการทั้งหมดที่เธอกับลู่เซิ่นรู้จักกัน
แต่สีหน้าลู่เซิ่นในตอนนี้ค่อนข้างเข้าใจยากนิดหน่อย ไม่ได้โกรธเหมือนตอนที่อยู่โรงพยาบาล ในทางกลับกันนั้นเขาสงบนิ่งมาก
สงบนิ่งจนค่อนข้างผิดปกติ
ฉินซีไม่ได้พูดอะไร แค่มองลู่เซิ่นเดินมาหน้าโต๊ะเงียบๆ จิ้มสัญญาฉบับแรก น้ำเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าหย่าร้าง แล้วสัญญาฉบับนี้ คุณคิดจะทำยังไง?”
ระหว่างพวกเขา มันไม่ใช่การแต่งงานธรรมดาความสัมพันธ์ธรรมดาแบบที่สูหยิงคิด ดังนั้นไม่ใช่ว่าเซ็นสัญญาหย่าร้างแล้วจะจบความสัมพันธ์ได้
ดังนั้นฉินซีจึงไม่ได้มีการวางแผนแต่อย่างใด เธอเม้มปาก พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดมาตลอดทาง “สัญญาฉบับแรกสุด……ยังต้องมีผลอยู่แล้ว ถึงเราจะสลายความสัมพันธ์ในการแต่งงาน แต่นับดูแล้วเราก็แต่งงานกันไม่นานจริงๆ มากกว่าครึ่งปีก่อนฉันก็ไม่ได้แต่งงาน เคยใช้ชีวิตยังไง ต่อไปก็ใช้ชีวิตอย่างนั้น”
เธอพูดไปด้วย จ้องมองใบหน้าลู่เซิ่นไปด้วย สังเกตการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเขา
แต่สีหน้าลู่เซิ่นกลับสงบนิ่งมาก เขาฟังจบก็แค่หัวเราะเบาๆ “ฉินซี คุณคิดว่าเราหย่ากันแล้ว ยังคงสภาพความสัมพันธ์แบบนี้ มันเหมาะสมไหม?”
เสียงหัวเราะเบาๆ นี้ฟังแล้วค่อนข้างแสบแก้วหู ฉินซีขมวดคิ้ว “งั้นคุณหมายความว่า คุณไม่อยากดำเนินเนื้อหาในสัญญาฉบับนี้ต่อแล้วใช่ไหม?”
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบ แค่ยื่นมือไปเปิดสัญญาก่อนสมรสฉบับกลาง ยื่นมือไปจิ้มเงื่อนไขหนึ่งในนั้น “คุณลืมไปแล้วเหรอ?”
ฉินซีก้มศีรษะไปดู
ในสัญญากระดาษสีขาวหมึกสีดำเขียนอย่างชัดเจน “หากสลายความสัมพันธ์การแต่งงานของทั้งสองฝ่าย ข้อตกลงก่อนหน้านี้จะไม่มีผลทั้งหมด”
เธอถึงนึกขึ้นได้ วันนั้นที่เซ็นสัญญา ทนายความเน้นย้ำเงื่อนไขนี้กับเธอเป็นพิเศษ
ในตอนนั้น สัญญาข้อนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรร้ายแรงกับฉินซีอย่างจริงจัง ดังนั้นเธอในตอนนั้นจึงไม่สนใจเลย
แต่ตอนนี้ เผชิญหน้ากับสัญญาข้อนี้ เธอกลับขมวดคิ้วเบาๆ
“งั้น……” เธอค่อนข้างลังเล “ตอนนี้เราไปเรียกทนายมา แล้วทำสัญญาอีกฉบับ?”
สัญญาก่อนหน้านี้ไม่มีผลทั้งหมด นั่นหมายความว่าเธอกับลู่เซิ่นไม่ได้เป็นอะไรกันในตอนนี้แล้ว
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว “คุณยังอยากทำสัญญาอะไรอีก?”
ฉินซีเงยศีรษะขึ้นมองสีหน้าเงียบสงบของเขา ในหัวใจมีคลื่นเอ่อล้นขึ้นมา
“ฉัน……” ฉินซีลังเลสองสามวินาที “ยังไงแล้วฉันก็เคยยืมเงินคุณมาไม่น้อย ตอนนี้ยังติดหนี้อีกเยอะมาก สัญญามันไม่เป็นผลแบบนี้ เงินของคุณ ก็ไม่มีการรับประกันแล้วนะ”
ลู่เซิ่นหรี่ตาเล็กน้อย “ดังนั้น ฉินซี คุณอยากดำเนินสัญญาฉบับนี้ต่อใช่ไหม?”
ฉินซีปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว “แน่นอนว่าไม่ใช่……”
ลู่เซิ่นหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่ก็ดี ตอนนี้คุณได้หุ้นบริษัทฉินซื่อกลับไปแล้ว สามารถใช้หุ้นบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปเป็นหลักประกันได้ทั้งหมด เซ็นสัญญาเงินกู้ปกติ ไม่จำเป็นต้องเซ็นในสัญญาที่บิดเบี้ยวแบบนั้นอีกแล้ว”
ฉินซีอ้าปาก
เธออยากบอกว่านั่นไม่ใช่สัญญาที่บิดเบี้ยว อยากบอกว่าการปฏิเสธของเธอมันขัดต่อความต้องการของเธอจริงๆ อยากบอกว่าถึงทั้งคู่จะหย่าร้างกันแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะขาดการติดต่อกันเลย
แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่ปิดปากและพยักหน้า