บทที่ 976 ฉันเกลียดถูกข่มขู่ที่สุด
ลู่เหวยอึ้งไปแป๊บนึงก่อน รอยยิ้มที่หน้าค่อยๆอ่อนโยนขึ้นมา “เพราะว่าเธอชอบตั้งแต่เด็กไงหล่ะ”
ฉินซีอึ้ง
หนูคิดมาตลอดว่า แม่หนูชอบดอกไม้แบบนี้ เป็นเพราะว่าตอนที่เแม่แต่งงานกับฉินซึ่งเทียน ดอกไม้ที่ถือใช้เป็นลูกบอลลายลูกปัด”
ลู่เหวยกลับส่ายส่ายหน้า รอยยิ้มที่หน้าค่อยๆจางหายไป”ไม่ใช่เพราะว่างานแต่งของเธอกับฉินซึ่งเทียนที่ถือในงานแต่งเป็นลูกบอลลายลูกปัด แต่เป็นเพราะว่าที่ถืออยู่ในมือเจ้าสาว ล้วนขาดลูกบอลลายลูกปัดไม่ได้ต่างหาก”
การอบรมสั่งสอนของตระกูลเหยาที่มีต่อเหยาหมิ่นนั้น ก็คือผู้หญิงที่เป็นกุลสตรีตามมาตรฐาน มาตรฐานเกินไปจนเสื่อมโทรม
ไม่เคยคิดที่จะให้เธอได้พัฒนาอาชีพของเธอเอง แต่กลับเป็นความคิดที่ชะตาของผู้หญิงนั้นต้องพึ่งพาอาศัยสามีเช่นนี้นี่เอง
เพราะฉะนั้นเหยาหมิ่นจึงคาดหวังกับการแต่งงานของตัวเองมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยคุยกับลู่เหวยด้วยซ้ำว่า งานแต่งที่เธอหวังไว้นั้นมันเป็นยังไง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอชอบตั้งแต่เด็ก ก็คือลูกบอลลายลูกปัดในงานแต่งบรรดาเจ้าสาวที่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ
แต่ว่าเธอไม่เคยคิดมาก่อน งานแต่งที่เธอฝ่ายฝันนั้น ซึ่งเป็นที่ที่เธอต้องมาเสียชีวิตในต่อมา
ฉินซีได้ยิน ก็ก้มหน้าลง
ถ้าหาก ณ ตอนนั้นตระกูลเหยาไม่อบรมสั่งสอนเหยาหมิ่นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นต่อมาเธอก็จะไม่อ่อนแอถึงขั้นนี้ และถึงกับถูกฉินซึ่งเทียนทำให้ตาย
……….แต่ว่าการตั้งสมมติฐานเหล่านี้ในตอนนี้ ล้วนไม่มีความหมายเสียแล้ว
สิ่งเดียวที่ฉินซีสามารถทำได้ ก็คือสืบหาความจริงให้กระจ่างแจ้ง คืนความบริสุทธิ์ให้กับแม่ซะ
……….
ฉินซีอยู่ข้างนอกไม่นานนัก ขับรถกลับไปที่รีสอร์ทชิงหยวน
ตามนิสัยในอดีตที่ผ่านมา เวลาป่านนี้แล้ว ส่วนใหญ่เธอกินอะไรแบบง่ายๆที่ข้างนอกก่อนค่อยกลับไป แต่ว่าพอนึกถึงวันในข้างหน้าน่าจะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารที่พ่อครัวในรีสอร์ทชิงหยวนทำแล้ว วันนี้ฉินซีจึงตั้งใจรีบกลับไปทานอาหารเที่ยง
คนเราเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยเลย สูญเสียไปแล้วถึงจะรู้จักถนอม
รถยนต์เพิ่งจอดสนิท มือถือก็ดังขึ้นมาเหมือนกับถูกตั้งเวลาไว้
สายเข้าเป็นเบอร์โทรแปลกหน้า
ฉินซีตั้งสติ เปิดเสียงบันทึกของมือถือก่อน ต่อมาค่อยรับสาย
“ฉินซี” เสียงที่ดังขึ้นมาจากทางโน้นไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน แต่เป็นเสียงของฉินซึ่งเทียนเอง
เขาเหมือนโมโหมาก คำพูดทุกคำล้วนบีบออกมาจากร่องฟัน
ฉินซีไม่ทันได้พูดจา เขาก็เอ่ยปากพูดออกมาเป็นชุด “แกคิดว่าตัวเองไต่เต้าจนได้ลู่เซิ่นมาก็อวดดีนักใช่ไหม? และยังคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีชื่อเสียงอันโด่งดังใช่รึเปล่า? นอกจากพึ่งพาตระกูลลู่ช่วยแกแล้ว แกยังทำอะไรเป็นอีก?”
เขาพูดจากลับไปกลับมา ฉินซีขมวดคิ้ว เอ่ยปากออกมาด้วยความน่ารำคาญ “คุณพูดอะไร?”
“แกยังแกล้งโง่อีก” ฉินซึ่งเทียนเหมือนยิ่งโมโห “การประมูลของโครงการตึกแฝด แกบอกกับลู่เซิ่นใช่ไหม? ตอนนี้ตระกูลลู่แย่งธุรกิจของเรา แกพอใจแล้วสินะ?”
ฉินซีตอบกลับอย่างเยือกเย็น ”ประธานฉิน ฉันรู้ว่าคุณอายุมากแล้ว บางครั้งก็หลงลืมไปบ้าง แต่ว่าทำไมตอนนี้ถึงหัดกุเรื่องขึ้นมาแบบดื้อๆซะงั้นหล่ะ? คุณเคยพูดถึงการประมูลของโครงการตึกแฝดตั้งแต่เมื่อไหร่ นอกจากแต่งรูปแล้ว ตอนนี้คุณยังกุเรื่องเท็จออกมาอีกด้วย?”
ฉินซึ่งเทียนถูกเธอพูดจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว เสียงยิ่งดังมากขึ้น เริ่มระบายอารมณ์ ตะคอกอยู่ในสายทางโน้น” ฉินซี ฉันรู้แม่แกเกิดเรื่องกระทบกระเทือนต่อแกมาก แต่ว่าฉันไม่คิดเลยว่าแกจะลงมือกับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปถึงขั้นนี้ แกคอยดู คนอย่างแก อยู่ที่บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปไม่ได้เด็ดขาด”
ฉินซีถูกเขาวุ่นวายจนแสบหู ยื่นมือปุ๊บปิดมือถือไปทีเดียว และบล็อกเบอร์นี้ไปด้วย
ถึงแม้ฉินซึ่งเทียนบ่นอยู่ตั้งนานสองนาน แต่เหมือนกับว่าพูดข้อความที่มีประโยชน์ออกมาแค่นึงข้อความเท่านั้น
โครงการประมูลของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปนั้น ถูกบริษัทลู่ซื่อแย่งชิงไปแล้ว ส่วนฉินซึ่งเทียนสงสัยว่าเธอแจ้งเบาะแส เพราะฉะนั้นจึงกะจะไล่เธอออกจากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป
สำหรับการข่มขู่ของเขาฉินซีไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ว่าประหลาดใจกับการประมูลของโครงการตึกแฝดเรื่องนี้
………… หรือว่า เป็นฝีมือลู่เซิ่นอีกแล้ว?
แต่ว่าพวกเขาได้…….หย่าร้างกันแล้วนี่น่ะ
ฉินซีนั่งคิดๆดูในรถยนต์สักพัก กะว่าตอนที่เจอกับลู่เซิ่นในคืนนี้ค่อยถามเขาดู
สุดท้ายเดินเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร ถึงได้พบว่า ลู่เซิ่นได้นั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว
ฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย “วันนี้คุณไม่ไปทำงานหรือ?”
ตอนเช้าเธอจะไปที่โรงพิมพ์นิตยสาร เพราะฉะนั้นจึงตื่นแต่เช้า ตอนที่ตื่นขึ้นมา ลู่เซิ่นยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ
ลู่เซิ่นก้มหน้าเปิดเอกสารออกมาหนึ่งหน้า “ตอนนี้ผมต้องรายงานการเดินทางของผมกับคุณด้วยหรือ?”
ฉินซีจุกอกกับคำพูดของเขา ทันทีทันใดนั้นพูดจาไม่ออกเลย
จริงๆ เธอกับลู่เซิ่นตอนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้ว
ฉินซีถอนหายใจออกมาเบาๆนึงครั้ง ไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป แค่ไปล้างมือ นั่งอยู่ข้างโต๊ะบนที่นั่งของตัวเอง
พ่อครัวเสิร์ฟอาหารไวมาก ทั้งสองคนทานข้าวเที่ยงเสร็จเรียบร้อยอย่างเงียบๆ ฉินซีคิดเรื่องที่ฉินซึ่งเทียนพูด ก่อนลู่เซิ่นไปจากโต๊ะอาหาร รีบเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “วันนี้บริษัทลู่ซื่อประมูลโครงการนึงใช่รึเปล่า?”
ลู่เซิ่นมองหน้าฉินซีด้วยสีหน้าที่นิ่งๆ ครั้งนี้ไม่ได้ใช้คำพูดที่ทำให้เธอจุกอก เพียงแค่พยักหน้า “ใช่”
ฉินซีคิดๆดู ไม่ได้ถามไปแบบตรงๆ แต่ถามแบบอ้อมๆว่า “โครงการอะไร?”
ลู่เซิ่นหรี่ตามองฉินซีแป๊บนึง หลังจากหลายวินาทีค่อยตอบกลับไปว่า “โครงการตึกแฝด โครงการอสังหาริมทรัพย์”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
นโยบายการบริหารของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมีแค่ด้านเดียวมาโดยตลอด เป็นแค่ธุรกิจส่งออกนอกประเทศเท่านั้นเอง ครั้งนี้ทำไมถึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวเกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้หล่ะ?
“คุณใส่ใจกับโครงการของบริษัทลู่ขนาดนี้เชียวเหรอ? “ลู่เซิ่นเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ฉินซีส่ายหน้า คิดๆดูไม่กี่วินาที ถามออกมาแบบตรงไปตรงมา “โครงการนี้ พวกคุณแย่งของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปมาใช่มั้ย?”
ถ้าหากบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปอยากหันมาทำอสังหาริมทรัพย์ ตามนิสัยที่ชอบเอาดีเอาเด่นของฉินซึ่งเทียน น่าจะหาโครงการนึงที่เป้าหมายไม่ใช่เล็กๆ และโครงการที่มีการแข่งขันไม่สูง
ส่วนบริษัทลู่ซื่อเป็นธุรกิจซึ่งทำอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ ถ้าหากในโครงการมีคู่ต่อสู้แบบนี้อยู่ บริษัทฉินซื่อกรุ๊ปน่าจะหลบเลี่ยงถึงจะถูก
คิดเช่นนี้ บริษัทลู่ซื่อน่าจะเข้าร่วมทีหลัง……
ลู่เซิ่นหัวเราะแบบเบาๆ เสียงหัวเราะมีการดูถูกดูแคลนแฝงด้วย “โครงการเล็กๆแค่นี้ ยังถือว่าเราแย่งชิง?”
ฉินซีเงียบกริบ
ตามหน้าตาของฉินซึ่งเทียนที่โมโหอย่างกับฟ้าผ่า ในสายตาเขา น่าจะไม่ใช่”โครงการเล็กๆ”อย่างที่พูดในสายตาลู่เซิ่น
แต่ว่าฉินซีรู้ดี เธอสามารถถามจากลู่เซิ่น ก็มีแค่นี้แหละ
ที่เหลือ ไม่ว่าเธออยากรู้เรื่องมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าลู่เซิ่นคงไม่บอกกับเธอแน่นอน
อย่างเช่นบริษัทลู่ซื่อที่เข้าร่วมทีหลัง ไปทำ”โครงการเล็กๆ”ที่เขาพูด สาเหตุเป็นเพราะเธอรึเปล่านะ?
ไม่โทษที่เธอคิดเช่นนี้ เพราะว่าเวลาแบบนี้มันช่างบังเอิญมากๆ
ก่อนหน้านี้ฉินซึ่งเทียนเอารูปถ่ายที่ทำขึ้นมาปลอมๆให้กับสูหยิง และต่อมาบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปก็เสียโครงการไปดื้อๆ ฉินซีไม่สงสัยเลยสิถึงจะแปลก
เพราะฉะนั้นเธอแค่บ่นออกมาเบาๆนึงคำเท่านั้น “เพราะอะไร?”
ความจริงเธอไม่ได้หวังให้ลู่เซิ่นได้ยิน แต่คิดไม่ถึงเขากลับหันหน้ากลับมา
“เพราะอะไร?” สายตาของเขาหดหู่มาก “เพราะว่าเรื่องที่ฉินซึ่งเทียนทำ กำลังมาแตะต้องผลประโยชน์ของฉัน ถ้าอย่างนั้นเขาอย่าคิดจะได้อยู่อย่างมีความสุข”
ฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย
เรื่องที่หย่าขาดกับตัวเอง ลู่เซิ่น……ไม่พอใจขนาดนี้เชียวหรือ?
แต่ว่าเธอนึกขึ้นได้ในห้องผู้ป่วยวันนั้น เขาพูดกับสูหยิงว่า” ฉันเกลียดที่สุดก็คือถูกข่มขู่”
น่าจะเป็น……. เกลียดชังความรู้สึกที่ถูกข่มขู่แบบนี้หรอกมั้ง
ฉินซีก้มหน้าก้มตา