เขตแดนของเขามีรูปทรงเป็นสัตว์ที่ดุร้าย
นี่เป็น 1 ในวิชาที่พบได้มากที่สุดในกองทัพ มันเป็นวิชาที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงช่วยเพิ่มพลังการโจมตี
มันเป็นวิชาที่เหนือกว่าและเรียบง่าย
เปลวไฟพุ่งสูงขึ้นไป เฉิน หยวนฟาง ไม่ได้ถอยกลับ เขาต้องการชนะ เหยียน ซิว โดยเร็ว ดังนั้นจึงใช้พลังทุกอย่างที่มีออกมาในการโจมตีครั้งเดียว
เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างพยักหน้าเมื่อเห็นมัน
“ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ตระกูลเหยียน เหยียน ซิว มีความได้เปรียบในด้านวิชาลับ อย่างไรก็ตาม เฉิน เหวินกู เป็นคนฉลาดเขาไม่ยอมปล่อยให้ เหยียน ซิว ได้เปรียบในเรื่องนั้น”
“การหยุด เหยียน ซิว โดยการใช้พลังทั้งหมดนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด!”
“ข้าคิดว่า เหยียน ซิว จะเลือกการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ เขาสามารถใช้วิชาเงาสายลมเพื่อหลบหลีกไปได้เรื่อยๆ ข้าคิดว่าคงยากที่ เฉิน หยวนฟาง จะชนะเขาได้แบบขาดลอย “
เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างเห็นพ้องและเดาการต่อสู้
การเดาการต่อสู้เป็นเรื่องปกติของเหล่าเจ้าหน้าที่
เหมือนกับพวกเขามาร่วมงานแสดงศิลปะ มันไม่ใช่แค่แสดงความเห็นว่าศิลปะนั้นดี พวกเขาต้องชื่นชมสำหรับเทคนิคที่ใช้ มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเข้าใจ
นี่คือเรื่องการเมือง
โอกาสที่พวกเขาจะแสดงความเห็นในที่สาธารณะมีน้อยมาก การแสดงความเห็นเป็นวิธีเดียวที่แสดงให้คนอื่นรู้ถึง “การต่อสู้”
เจ้าหน้าที่แต่ละคนต่างใช้ประสบการณ์ของตนในการตัดสิน
ยังไงก็ตาม …
พวกเขามองข้ามปัญหาเรื่องนึงไป คนที่เผชิญหน้ากับ เฉิน เหวินฟาง ไม่ใช่แต่ทายาทของตระกูลเหยียนเท่านั้น เขาเป็นผู้ที่ 3 หลังจาก ฟาง เจิ้งจือ ที่เข้าถึงระดับสะท้อนสวรรค์ได้ก่อนอายุ 18
ชื่อของเขาคือ เหยียน ซิว!
ทันใดนั้นปากของเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างอ้าค้างด้วยความไม่เชื่อ
เหยียน ซิว ไม่ได้หลบด้วยวิชาเงาสายลม
แต่เขากลับพุ่งไปข้างหน้า
“ประมาทเกินไป?”
นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นไปได้ ไม่มีใครคิดจะปะทะผู้ที่มีระดับพลังเหนือกว่าตัวเองตรงๆ
แต่มันคือสิ่งที่ เหยียน ซิว ทำตอนนี้
นอกจากนี้เมื่อเขาพุ่งเข้าไป ร่างกายของเขาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆหรือมีการปล่ยพลังใดๆออกมา ไม่มีไฟ ไม่มีน้ำแข็ง ไม่มีแม้แต่สายลมพัดผ่าน
“เจ้าบ้าไปแล้ว!” ดวงตาของ เฉิน หยวนฟาง เบิกกว้าง เขาไม่อยากจะเชื่อว่า เหยียน ซิว จะพุ่งเข้ามาอย่างประมาท เห็นได้ชัดว่าเป็นการดูถูก
เขาดูถูกคู่ต่อสู้ ทั้งๆที่ตัวเองมีพลังน้อยกว่า
รนหาที่ตาย!
เฉิน หยวนฟาง จะไม่ปล่อยให้โอกาสดังกล่าวผ่านไปแน่นอน เขายกขวานในมือขึ้น เปลวเพลิงลุกโหมกระหน่ำไปทั่ว เปลวไฟทั้งหมดกลายเป็นคลื่นสึนามิซ้อน 3 ชั้นพุ่งไปทาง เหยียน ซิว
ถ้า เหยียน ซิว กล้าดูถูกเขา เขาจะเป็นคนสั่งสอนให้เขาจดจำเอง
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้น เขาเห็นแสงสีแดงค่อยๆปรากฎขึ้นบนพื้นและชัดขึ้นเรื่อยๆ
เฉิน หยวนเฟิง ตัวแข็งทันที
เมื่อเขาเห็นแสงของดาบนั่นหมายความว่าดาบอยู่ห่างจากใบหน้าของเขาไปไม่กี่นิ้ว ดาบนั้นได้ทำลายสึนามิ 3 ชั้นไปทันที
“ตูมมม!”
ร่างกายของเขากระเด็นไปในอากาศและตกลงไปข้างเวที
การต่อสู้จบลงแล้ว
สายลมอ่อนๆพัดโชย ขณะที่ใบหน้าของเหล่าเจ้าหน้าที่มีแต่ความประหลาดใจ
“เหยียน ซิว ชนะ?”
“เขาชนะโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว?”
“เป็นไปได้ยังไง? คนที่อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นกลางจะแพ้คนที่พึ่งอยู่ขั้นต้นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ยังไงกัน? ! “
“อะ..อะไรกัน เหยียน ซิว ไปทำอะไรมาในช่วงเดือนที่ผ่านมา?”
เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างตกตะลึง พวกเขารู้ว่า เหยียน ซิว เป็นคนที่มีพรสวรรค์ แต่ใช่ว่าพวกเขาจะยอมรับความจริงตรงหน้าได้ เพราะประสบการณ์และความสามารถนั้นมีผลมากกว่าในการประลอง
“หรือ เหยียน ซิว ไปถึงจุดนั้นแล้ว?”
“เจ้าหมายถึงพื้นที่ที่ตระกูลเหยียนปกป้องอยู่ … ข้าไม่คิดว่าจะเป็นไปได้หรอก เหยียน ซิว พึ่งเข้าสู่ระดับสะท้อนสวรรค์ไม่นาน ตระกูลเหยียน จะยอมเสี่ยงได้ยังไง? “
“ข้าคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะยอมนะ แม้แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุด มีโอกาสเพียง 30% ที่จะรอด แล้วถ้าเป็นขั้นต้นละก็คงมีโอกาสรอดเพียง…1%! “
“ถ้าเขาไม่ได้ออกมาจากที่นั่นเขาจะพัฒนาอย่างรวดเร็วได้ยังไงภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือนเดือน?”
“ตระกูลเหยียนแห่งดินแดนเหลียงตะวันตก … ถ้า เหยียน ซิว ไปที่นั่นจริงๆ การทดสอบครั้งนี้ต้องน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก!”
เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น ตอนนี้พวกเขามอง เหยียน ซิว ต่างจากเดิม
ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพและชื่นชม
อย่างไรก็ตาม เหยียน ซิว ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูเมือง เขานึกถึงฉากที่เกิดขึ้นไม่กี่เดือนก่อน
“ข้าจะจัดการเจ้าที่สนามสอบ!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า …อย่าพูดดีไป ข้าแข็งแกร่งมากแล้วนะตอนนี้!”
จากนั้น เขาก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มจากใจ อย่างไรก็ตามมันหายไปอย่างรวดเร็วแทนที่ด้วยการแสดงออกอย่างเยือกเย็น
“ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าอยู่ที่ไหนกัน?”
…
ฟาง เจิ้งจือ รู้สึกตกต่ำ
เขาคิดว่าจะเจอปัญหาน้อยลงเมื่อเอาชนะ ยู่ เหวินกู ได้ ความจริงผู้ที่มาท้าทายเขาก็ลดลง
แต่เขาก็ถูกขัดขวางจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆอยู่ดี มันดูเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
เพื่อให้ข้ามแม่น้ำได้ เขาต้องถอดเสื้อผ้าและสวมเสื้อผ้าใหม่ นอกจากนี้มาของเขายังต้องหยุดพักเรื่อยๆทุก 100 ไมล์ มันต้อง “หยุดนิ่ง” ทุกๆ 100 ไมล์มิฉะนั้นก็จะเริ่มหงุดหงิด
การเดินทางของเขายังชะลอไปเรื่อยๆ
แม้แต่พระเจ้าก็คงอารมณ์เสียถ้าต้องเจอปัญหามากมายขนาดนี้
ฟาง เจิ้งจือ มองไปที่หินก้อนหนึ่งที่ขวางถนนอยู่ เขาลงจากม้าด้วยความโกรธและปีนข้ามก้อนหิน
“ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าสารเลวตัวไหนมันทำแบบนี้ ข้าจะไปจัดการน้องสาวมันซะ!”
“น้องสาว? น้องสาของข้าค่อนข้างมีอายุนะ … เจ้าจะทำอย่างนั้นจริงๆงั้นรึ? “ เสียงอันอ่อนแอดังอกมาจากภายในเขา
…
การทดสอบรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็ว
ตระกร้าฉลากรอบที่ 2 ถูกจับขึ้น แน่นอนว่าต้องมีชื่อของ ฟาง เจิ้งจือ แต่เขาดูไม่มีโชคเท่าไรนัก
ฝ่ายตรงข้ามของเขาคือ …
หนานหง มู่!
เป็น หนานกง มู่ จากตระกูลหนานกง? “
“ฟาง เจิ้งจือ นั้นไม่มีโชคจริงๆ ! “
“หนานกง มู่ อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับสะท้อนสวรรค์ นอกจากนี้เขาได้เรียนวิชาลับฟ้าเขียวของตระกูลหนานกง เขาไม่มีทางอ่อนแอกว่า ยู่ เหวินกู แน่นอน! “
“พูดถึง ยู่ เหวินกู ข้าสงสัยว่า ฟาง เจิ้งจือ จัดการเขาได้ยังไง?”
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
เสียงเริ่มดังออกมาจากฝูงคน ตามกฎถ้ามาไม่ทันเท่ากับการถอนตัว
“ข้าเดาว่าเขาคงซ่อนตัวอยู่จริงๆ!”
“ถ้าคนอื่นอาจจะไม่แปลก แต่ ฟาง เจิ้งจือ ซ่อนตัวนี่น่าตกใจจริงๆ แต่ก็คงไม่แปลกเพราะต้องเจอกับ หนานกง มู่ “
“เป็นความจริง!”
บนเวที หนานกง มู่ ยืนอยู่เงียบๆมองไปยังฝูงคนอย่างกระวนกระวายใจ
เขายืนนิ่งเลือกที่จะเงียบ
ดาบสีเขียวและสีน้ำฟ้าในมือของเขายังคงปล่อยแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ …
หลังจาก 5 นาที ฟาง เจิ้งจือ ยังไม่ปรากฏตัว
ผู้คุมสอบเริ่มกระวนกระวายใจ เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนและองค์จักรพรรดิล้วนอยู่ที่นี่
เขาเหลือบมองไปทางราชาต้วน
นี่เป็นการทดสอบนี่เป็นการจัดสอบระดับจักรพรรดิใหม่ หลังจาก ฮัน ฉางเฟิง ถูกจับไป ราชาต้วนจึงเป็นผู้รับผิดชอบครั้งนี้แทน
“ประกาศเลย!” ราชาต้วน ออกคำสั่ง
“พี่6 ข้าได้ยินว่า ฟาง เจิ้งจือ มาถึงเมืองตงหลิน เมื่อ 10 วันก่อน ข้ามั่นใจว่าเขาคงอยู่แถวๆนี้ การสอบนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา แต่ทำไมเขากลับ … “ องค์ชาย 9 แนะนำ
“เราควรปล่อยให้องค์จักรพรรดิและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดรอคอยต่อไปหรือไม่? น้อง9 เจ้าควรจะรู้นะว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า?” ราชาต้วนถามอย่างจริงจัง
“สิ่งที่ข้าหมายถึงคือเราสามารถเลื่อนการปะลองคู่อื่นมาแทนก่อน … “
“เลื่อนการต่อสู้ไป? น้อง9 ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเกียจคร้านแค่ไหน แต่โปรดรู้ไว้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน! องค์จักรพรรดิและเจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังเฝ้าดูอยู่! ถ้าเราเลื่อนการต่อสู้ให้กับทุกคนที่มาสาย จะมีกฎไปเพื่อะไร? หากแค่นี้ยังไม่เคารพกฎ แล้วใครจะเคารพกฎหมายบ้านเมืองกัน? อาณาจักรจะดำเนินไปได้อย่างไรหากไม่มีกฎหมาย? “ ราชาต้วนสบถ
“ใช่ … พี่6พูดถูกแล้ว!”
“เอาล่ะประกาศตามกฎการประลองเลย!” ราชาต้วนโบกมือให้สัญญาณเพื่อประกาศผลลัพธ์
“รับทราบ!” ผู้คุมพยักหน้าเมื่อเห็นสัญญาณ
อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนั้นเอง หนานกง มู่ คุกเข่าลง เขาหน้าซีด และดูเหมือนจะเจ็บปวดสุดขีด
เจ้าหน้าที่ทุกคนมองอย่างสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นกับ หนานกง มู่?”
“เมื่อสักครู่นี้เขายังดีๆอยู่ จู่ๆเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาดูราวเจ็บปวดปางตาย?”
องค์จักรพรรดิมองไปที่ท่าทางที่เจ็บปวดของ หนานกง มู่ และยืนขึ้นจากบัลลังก์ของเขา หนานกง มู่…
“เรียกหมอ!”
“ขอรับ”
“ข้าอยู่นี่แล้ว!” มีเสียงดังออกมาจากฝูงชน จากนั้นชายวัยกลางคนก็วิ่งขึ้นมากลางลานประลอง
เจ้าหน้าที่ต่างเริ่มกังวล
อย่างไรก็ตามท่าทีของ ยู่ ยี่ปิง, หลิน เทียนหลง และราชาต้วน กลายเป็นน่าเกลีดทันที
พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่า หนานกง มู่ แค่จะถ่วงเวลาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหมอพวกนั้น จะเป็นคนจัดการเอง ถ้าหาก หนานกง มู่ แสร้งทำ หมอจะบอกได้อย่างแน่นอน
ไม่นานก่อนที่หมอวัยกลางคนก็ลุกยืนขึ้น
“ฝ่าบาท อัตราการเต้นหัวใจของ หนานกง มู่ ไม่ปกติและ ดูเหมือนเขาจะตื่นกลัว แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ข้าคิดว่าเขาต้องการพักสักหน่อย! “
“เนื่องจากเรื่องนี้ เราจะเลื่อนการปะลอง!” หลิน มู่ไป่ พยักหน้าและกลับไปที่นั่งของเขา
“รับทราบ ฝ่าบาท!” ผู้คุมพยักหน้าและประกาศ “เนื่องจาก