“ใครกัน?!” วู่ เฟิง หงุดหงิดมาก สำหรับการทดสอบกระดาษนั้นต้องขาวสะอาด หยดหมึกที่กระเด็นเลอะอยู่ทำให้กระดาษคำตอบของเขานั้นไร้ความหมายทันที
ผู้เข้าสอบจำนวนหนึ่งเองก็โกรธมากเช่นกัน
พวกเขาเจอชะตาเดียวกันกับ วู่ เฟิง บางคนนั้นเขียนไปมากกว่า 300 คำแล้ว หยดหมึกที่เลอะกระดาษทำให้กระดาษของพวกเขาเสียไปเช่นกัน
แต่ ฟาง เจิ้งจือ นั้นกลับมีความสุขเป็นอย่างมาก
บางครั้งผู้ที่มีความเชื่อมั่นจะได้สิ่งตอบแทน เขาคิดว่าเขาจะล้มเหลว แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่
เขาคิดถูกที่แย่งที่นั่งนี้มา
คำถามไม่ใช่แบบที่เขาคิด!
ฟาง เจิ้งจือ รู้เรื่องน้ำเล็กน้อยเท่านั้นอย่างไรก็ตามเขาได้อ่านเรื่องการปกครองและการจัดการมาบ้าง
เขารู้ว่าองค์จักรพรรดิต้องการอะไร
ในช่วงยุคสามก๊ก โจโฉควบคุมกองทัพกว่า 800,000 คน คนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาจะยอมแพ้
อย่างไรก็ตาม โจโฉรู้ว่าราชาของเขานั้นต้องการอะไร
มันเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกัน มันบ่งบอกว่าความทะเยอทะยานขององค์จักรพรรดินั้นไร้สิ้นสุด
นอกจากนี้อาณาจักรเซี่ยนั้นสงบสุขมานานหลายปี เสบียงของพวกเขานั้นอัดแน่น
ฟาง เจิ้งจือ สามารถเห็นความต้องการขององค์จักรพรรดิจากสิ่งที่เขาพูด
ถ้าเขียนเกี่ยวกับสันติภาพและการฑูต มันคงไม่สอดคล้องกับความต้องการขององค์จักรพรรดิ
มันง่ายมาก เขาจะเขียนเกี่ยวกับสงคราม!
เขาจะใช้กองทัพเพื่อปราบปรามภัยคุกคามของอาณาจักร เพียงแค่เดินไปที่ชายแดนก็อาจจะทำให้ศัตรูหวาดกลัวได้แล้ว
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจะเขียนอะไรลงไป
แผน?
ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้มี เขาไม่ได้รู้ว่าการทดสอบระดับสภาจะเป็นการเขียนนโยบาย นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าจะมีหัวข้อแบบนี้
แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญ
ในโลกก่อนหน้ามีวรรณกรรมหลายเรื่องที่พูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ สามเรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ “ฉิน” “ศักดินา” และ “หกชาติ”
“ฉิน” กล่าวถึงเหตุผลที่ราชวงศ์ฉินประสบความสำเร็จและสุดท้ายล่มสลายลงในที่สุด มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับนโยบายการปกครอง
“ศักดินา” เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิวัติ
วิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของการปฏิวัติแต่ละครั้งและมีการเชื่อมโยงกับการปกครองของส่วนกลาง
ทั้งสองอันนั้นดูไม่มีประโยชน์มากนัก แต่ก็ไม่สำคัญ เขาจะใช้ “หกชาติ” เป็นหลัก! หนังสือเล่มนี้เล่าว่าอาณาจักรฉินสามารถเอาชนะอีก 6 ชาติได้ยังไง
มันเขียนถึงเป้าหมายและทัศนคติในเวลานั้น
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงนิยาย แต่มันก็ให้ข้อคิดที่ดี
อย่ายอมแพ้ จงต่อสู้!
เกิดอะไรขึ้นถ้ารัฐบรรณาการแข็งข้อ? จัดการพวกเขา? หรือปล่อยไป? การปล่อยไปคงมีแต่คนที่ไม่มีอำนาจมากพอทำ องค์จักรพรรดิที่แท้จริงคงไม่อยากทำแบบนั้น
ฟาง เจิ้งจือ ไม่รู้ว่า องค์จักรพรรดินั้นมีจิตวิญญานอันยิ่งใหญ่จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าองค์จักรพรรดิไม่ใช่คนประมาท
ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ …
องค์จักรพรรดิมอบเหรียญตราให้ ฟาง เจิ้งจือ เพื่อเข้าไปยังกรมพิธีการ มันแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดขององค์จักรพรรดิ
ด้วยความคิดนี้ ฟาง เจิ้งจือ เริ่มเขียน
จากนั้นเขาก็เห็นว่าผู้เข้าสอบรอบๆตัวเขาแสดงความโกรธแค้นออกมา?
“มีบางอย่างผิดปกติหรือ นายน้อยวู่?” ฟาง เจิ้งจือ มองไปที่นายน้อยวู่ ด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร!” วู่ เฟิง กัดฟันและพยายามฝืนยิ้มออกมา เขากำลังโกรธที่กระดาษคำตอบของเขาถูกทำลายโดยน้ำหมึก
“งั้นก็เขียนข้อสอบเจ้าต่อไปสิ ต่อให้เจ้ามองข้าต่อไป ข้าก็ไม่ให้เจ้าลอกข้อสอบหรอกนะ!” ฟาง เจิ้งจือ ดึงโต๊ะให้เข้ามาใกล้ตัวเองกว่าเดิม
วู่ เฟิง โกรธมาก!
ข้าจะลอกเจ้าทำไมกัน? ข้าไม่ได้ใช้เวล 2 ปีที่ผ่านมาอย่างไร้ประโยชน์ ! ช้าได้เตรียมแผนการสำหรับ 6 กรมมาด้วยซ้ำ!
ข้าจำเป็นต้องลอกเจ้า?
วู่ เฟิง แสดงความดูถูกออกมา
แต่เขายิ่งโกรธกว่าเดิมเมื่อเห็น ฟาง เจิ้งจือ ทำท่าทีดูถูกมาที่เขาเช่นกัน
“คอยดูเถอะ ข้าจะเป็นผู้ชนะการทดสอบด้านปัญญา แล้วมาดูกันที่ใครจะต้องลอก!” วู่ เฟิง หันกลับไปดูที่ข้อสอบของเขา แต่ขณะที่เขากำลังจะเขียนนั้นเขากลับขมวดติ้ว
เมื่อกี้เขาทำถึงไหนแล้วนะ?
เชี่ยเอ้ย!
“อะแฮ่ม! ห้ามพูดคุยระหว่างการทดสอบ!” ผู้คุมสอบคนหนึ่งเตือนขึ้นมาเมื่อเห็น วู่ เฟิง คุยกับ ฟาง เจิ้งจือ
ฟาง เจิ้งจือ ชูนิ้วกลางขึ้นมาทันที
เขาหลอกล่อให้ข้าพูดคุยด้วยต่างหาก
เขาไม่คิดสนใจ วู่ เฟิง อีก ฟาง เจิ้งจือ พบอีก 1 ปัญหา
ยุคนี้มีการต่อสู้กันระหว่างมณฑลหรือไม่?
ฟาง เจิ้งจือ ไม่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของที่นี่เท่าไร ต่อให้มีก็คงยากที่อาณาจักรนี้จะแบ่งออกเป็นก๊กต่างๆ
ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงบัญเอิญมากเกินไป
อืมงั้นหนังสือเรื่อง “หกชาติ” ก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ เขาจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไง?
ฟาง เจิ้งจือ เงยหน้ามองท้องฟ้า มีใบไม้ลอยอยู่บนอากาศช้าๆ
โลกนั้นยังคงเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ดอกไม้บานและร่วง ฤดูใบไม้ผลิเข้ามาและจากไป
เมื่อไรกันนะที่เขาจะหาภรรยา?
เดี๋ยวนะ … เขากำลังสอบอยู่
เขาต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ก่อน เขาจะใช้ “หกชาติ” อย่างไร?
นึกออกแล้ว!
ถ้าไม่เหมือนกันก็แค่แต่งเรื่องขึ้นมา
ในนวนิยายหลายเรื่องราวภายในนั้นถูกสร้างขึ้นทั้งหมด เพื่อให้เรื่องสามารถดำเนินต่อไปได้
นี่เป็นแนวคิดง่ายๆ
ในโรงเรียนประถมพวกเขาก็ต้องเขียนเรียงความหัวข้อก็สังเกตุการเจริญเติบโตของพืช
เขาคงไม่สามารถซื้อเมล็ดมาและดูมันงอกเงยจนมีดอกได้
มันจะใช้เวลานานเกินไป เรียงความจะส่งไม่ทันเวลา
เขารู้วิธีแก้ปัญหาแล้ว
ไม่มีทางที่ ฟาง เจิ้งจือ จะเขียนประวัติศาสตร์ออกมาได้ทั้งหมด มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะทำ
เขาจะทำสิ่งที่คล้ายๆกัน
เขาจะใช้เรื่องราวในโลกเก่าของเขาอธิบายประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเซี่ย ทั้งพวกคนเถื่อนทางเหนือ พวกภูเขาทางใต้ ปีศาจในแดนห่างไกลและปัญหาจากทะเลตะวันตก
ใครก็ตามที่ได้อ่านมันก็จะเชื่อมโยงปัญหาต่างๆเข้ากับอาณาจักรเซี่ยได้
เทคนิคนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อ่านจะเข้าใจได้
อย่างไรก็ตามคนอ่านของเขาคือองค์จักรพรรดิ จึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ถ้าจักรพรรดิเชื่อมโยงไม่ได้ เขาก็ไม่สมควรอยู่ตำแหน่งนั้น
เขาคงถูกชิงบัลลังก์ไปนานแล้ว
ฟาง เจิง้จือ ยิ้มขณะคิด เขาตั้งใจจะเขียนนโยบายจาก “หกชาติ”
ถึงแม้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับ ฟาง เจิ้งจือ
เขาคือนักศึกษาเกียรตินิยมอันดับที่ 1 สาขาประวัติศาสตร์ เขาอ่านวรรณกรรมโบราณมานับไม่ถ้วน ทั้งยังสามารถจดจำกฎแห่งเต๋าได้ง่ายๆ
เขาเริ่มเขียนทันที
“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ … “
เสียงเปลี่ยนหน้ากระดาษดังขึ้นต่อเนื่อง
เหล่าผู้เข้าสอบที่ได้ยินต่างตกตะลึง พวกเขาพอรู้มาบ้าง เรื่องความเร็วของ ฟาง เจิ้งจือ
ตอนนี้พวกเขาได้เห็นมันกับตา
ไม่อยากจะเชื่อ
“เร็วมาก?!“
“เขาบอกว่าไม่ได้เตรียมตัวมาไม่ใช่หรือ? ทำไมเขาถึงทำได้เร็วเช่นนั้นกัน? นอกจากนี้ มันไม่ได้ดูเหมือนว่าเขากำลังเขียนบนกระดาษ แต่เหมือนกับเขากำลังคัดลอกขึ้นมาใหม่“
“อาจจะแค่เขียนๆ ลงไป โดยที่ไม่เนื้อหาสาระอะไร?“
“ข้าว่าอาจจะเป็นงั้น!“
ผู้เข้าสอบต่างสงสัย อย่างไรก็ตาม ความเร็วของ ฟาง เจิ้งจือ นั้นน่ากลัวมาก
วู่ เฟิง พยายามดึงความรู้ออกจากสมอง ขณะได้ยินเสียงเปลี่ยนหน้ากระดาษของ ฟาง เจิ้งจือ
เขาหันไปมอง
นั่นคือ ฟาง เจิ้งจือ
“ความเร็วนั้น … ” วู่ เฟิง ปากอ้าค้างขณะมอง ฟาง เจิ้งจือ จากนั้นก็หันมามองกระดาษที่ว่างเปล่าของเขา แล้วก็มองไปที่อีกคน
คือ หนานกง เฮา
หนานกง เฮา สงบเหมือนสายน้ำ
หนานกง เฮา ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง นับตั้งแต่เริ่มสอบปากกาของ หนานกง เฮา ยังไม่ขยับเลย
เขาปิดตาลง และมองลึกลงไปในความคิด
ราวกับรูปปั้น
“จิ๊บ จิ๊บ … ” เสียงนกกระซิบจากที่ห่างไกล
ดวงตาของ วู่ เฟิง เบิกกวว้าง
เป็นเพราะว่า…
เขาเห็นกระรอกโดดไปข้างหน้า หนานกง เฮา ไม่นานนัก มันก็โดดไปที่ไหล่ของเขาแล้วคาบใบไม้ที่ไหล่ออกไป
“นี่คือ … หัวใจแห่งเต๋า!” ท่าทีของ วู่ เฟิง เปลี่ยนไป
ในฐานะศิษย์ของ 1 ใน 4 เซียน เขารู้ว่าหัวใจนั้นจะเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาก้าวหน้าขึ้น บางคนอาจกลายเป็นคนก้าวร้าว บางคนกลายเป็นคนสงบเยือกเย็นบางคนก็กลายเป็นคนที่หลงใหลมากขึ้น
เรื่องนี้มันเกี่ยวกับประเภทของเต๋าที่พวกเขาฝึกฝน
อย่างไรก็ตามมีคนประเภทหนึ่งเป็นข้อยกเว้น
พวกเขาไม่เคยเปลี่ยนการฝึกฝนของพวกเขา ทั้งภายนอกและภายในร่างกายของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนไป สิ่งเร้าภายนอกนั้นไม่มีผล
อย่างไรก็ตามคนพวกนี้เป็นคนที่น่ากลัวที่สุด พวกเขาสามารถเรียนรู้วิชาหรือเต๋ามากมาย
พวกเขาสามารถฝึกฝนศาสตร์ของปีศาจ
การเข่นฆ่า สามารถทำให้พวกเขาพัฒนาขึ้นแต่นั้นก็เพื่อปกป้องและช่วยเหลือคนอื่น
ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร มันก็จะผสานเข้ากับเต๋าในหัวใจ มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกฝนของเขา โดยที่ไม่สนว่าจะเป็นความดีหรือความชั่ว
นี่คือหัวใจแห่งเต๋า
“ข้ารู้ ข้ารู้แล้ว!”ในที่สุด วู่ เฟิง ก็เข้าใจในสิ่งที่ หนานกง เฮา ทำมาตลอด 4 ปี ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไม หนานกง เฮา ถึงปฏิเสธคำเชิญจากศาลาเต๋าสวรรค์เมื่อ 4 ปีก่อน
ย้อนกลับไป หนานกง เฮา ได้ปฏิเสธไปด้วยคำๆหนึ่ง
พื้นฐานไม่ดี!