“ฟุ้บ! เสียงลูกศรดังขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกศรพุ่งผ่านดวงตาของทุกคนด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า จาดนั้นก็ปักลงบนเป้า ลูกศรสีขาวที่ปักอยู่ก่อนหักเป็นสองส่วนอีกครั้ง
“แกร้ก!“
เสียงดังออกมา
แน่นอนว่าลูกศรนั้นเป็นของ ฟาง เจิ้งจือ เศษซากลูกศรที่ร่วงลงพื้นเป็นขององค์หญิง ฉาน ยู่ เช่นกัน
อย่างไรก็ตามฉากนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป
ก่อนที่ทุกคนจะได้สติ เหตุการณ์เดิมได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
ร่างกายของทุกคนสั่นเทา ดวงตาของแม่ทัพไถ่แทบถลนออกมา
“เข้าเป้าอีกครั้ง?“
ครั้งแรกอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วครั้งถัดมาละ?
มันเป็นเรื่องบังเอิญอีกไหม?
นี่เป็นคำถามที่ไม่ต้องคิดมากนัก แต่มันเป็นคำถามง่ายๆที่ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อ
“มันเป็นไปไม่ได้ที่แค่เด็กตัวเล็กๆจะทำแบบนี้ได้ เขาเป็นแค่สาย… “
เช่นเดียวกับแม่ทัพไถ่ คนอื่นๆที่ยืนอยู่ก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
แค่ 15 นาทีที่แล้ว พวกเขามองไปที่ ฟาง เจิ้งจือ ย่างเยาะเย้ย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามองไปที่ ฟาง เจิ้งจือ ตอนนี้
พวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
“ทักษะการยิงธนูที่แม่นยำมาก!“
นี่เป็นความคิดเดียวในหัวพวกเขา
ดินแดนภูเขาทางใต้ให้ความสำคัญกับความสามารถในการต่อสู้ ผู้ที่แข็งแกร่งจะได้รับการเคารพ
ในบรรดาความสามารถต่างๆ ธนูนั้นได้รับการยกย่องมากที่สุด เนื่องจากภูมิประเทศของดินแดนภูเขาทางใต้นั้นซับซ้อนและเต็มไปด้วยป่าเขา พวกเขาต้องแย่งชิงทุกสิ่งอย่างเพื่อมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ทำให้แต่ละพื้นที่ต้องต่อสู้กันตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามการต่อสู้ระหว่างถิ่นฐานต่างๆไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในที่โล่งกว้าง
ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในรูปแบบของการซุ่มโจมตีในป่าทึบและระยะไกล
ดังนั้นการที่จะอยู่ในดินแดนภูเขาทางใต้ได้ทักษะด้านธนูเป็นสิ่งสำคัญ
“เขา …ทำมันได้จริงๆ?” ตัวขององค์หญิง ฉาน ยู่ ตอนนี้แข็งค้างไปอย่างสมบูรณ์
ในฐานะผู้นำรุ่นเยาว์ของดินแดนภูเขาทางใต้ นางได้รับสมยานามเป็นที่1ด้านการยิงธนู การที่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีทั้งความแข็งแกร่งและพลัง
นางเป็นที่1
การยิงของ ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้น่าชื่นชม หรือแปลกประหลาดอะไร เขาใช้ท่วงท่าธรรมดาที่สุดในการยิงธนู
ถ้าองค์หญิงอยากจะทำ นางก็ทำได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามนางประมาทเกินไป นางประเมิณคู่ต่อสู้ต่ำไป ตั้งแต่ที่นางได้ยินว่าลูกศรของ ฟาง เจิ้งจือ 3 ดอก นางก็ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก
“หน้าด้าน!” องค์หญิง ฉาน ยู่ สามารถใช้ได้แค่คำเดียวเพื่ออธิบายการกระทำของ ฟาง เจิ้งจือ
เพราะนางไม่สามารถหาคำอื่นที่จะอธิบายความโกรธของนางได้
ลูกศรทั้ง 2 ผ่าลูกศรของนางออกอย่างแม่นยำ
ทำให้ผลลัพธ์ตอนนี้นางกลายเป็นยิงเข้าเป้าเพียง 28 ดอก ต่อให้นางจะได้รับสิทธิ์ใช้ลูศรได้อีก 1 ดอก ก็รวมเป็น 29 ฟาง เจิ้งจือ เองตอนนี้ก็มีลูกศรบนเป้า 29 ดอกเช่นกัน ก็เท่ากับเสมอ
ที่สำคัญ ฟาง เจิ้งจือ ยังเหลือลูกศรอีกดอกหนึ่ง
ถ้า ฟาง เจิ้งจือ ปล่อยมันเพื่อทำลายลูกศรของนาง
ผลที่ตามมาคือ ฟาง เจิ้งจือ จะเป็นผู้ชนะแน่นอน
30 ดอก มี 27 ปักตรงกลางและ 3 ดอกที่รอบนอก ในทางกลับกันนางมี 27 ดอกปักตรงกลาง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็ไม่มีทางชนะ ฟาง เจิ้งจือ
โหดร้าย!
แน่นอนว่า ฟาง เจิ้งจือ รู้ว่าองค์หญิงกำลังคิดอะไรอยู่ อย่างไรก็ตามเขายังคงยิ้มอย่างสดใสและอบอุ่นขณะโบกมือให้องค์หญิง ฉาน ยู่
ในสายตาขององค์หญิงมันเป็นการเยาะเย้ย
ฟาง เจิ้งจือ ไม่คิดจะใส่ใจองค์หญิงอีก เขาดึงธนูอีกครั้ง
ทุกคนมองไปยังลูกศรที่อยู่ในมือของ ฟาง เจิ้งจือ
รวมถึงองค์หญิง ฉาน ยู่
ตอนนี้แม้แต่เสียงหายใจก็เหมือนจะหยุดลง
เพราะทุกคนรู้ว่าถ้า ฟาง เจิ้งจือ ทำลายลูศรสีขาวลงอีกครั้ง องค์หญิงจะแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้
“ฟุ้บ!“
ลูกศรพุ่งออกไปอย่างงดงามผ่านอากาญเป็นเส้นโค้ง
มีแต่ความเงียบ
ทุกคนมองไปที่เป้า
โดยไม่ต้องสงสัยลูกศรดอกนี้ปักลงตรงกลางเป้าอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม …
ครั้งนี้มันไม่ได้ทำลายลูกศรสีขาว
มักราวกับลูกศรที่เย่อหยิ่งและเยือกเย็น ไม่คิดสนใจจะแตะโดนลูกศรสีขาวด้วยซ้ำ มันเพียงปักลงบนเป้าเงียบๆ
ขณะเดียวกันเอง ฟาง เจิ้งจือ ก็อยู่ในความนิ่งสงบ เช่นเดียวกับเรือลำน้อยที่แล่นผ่านดงพายุ มันต้องยอมแพ้ให้กับสายลมและสายฝน
มีแต่ความเงียบ
ไม่มีใครพูดอะไร
แม้ว่า ฟาง เจิ้งจือ จะไม่ได้ทำลายลูกศรขององค์หญิงอีก แตตามกฎที่องค์หญิงพูด ตอนนี้เขามีจำนวนลูกศรมากกว่า เขาก็เป็นผู้ชนะแล้ว
แต่องค์หญิงจะยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆงั้นรึ?
“โถ่ ข้าพลาดซะได้!“
ฟาง เจิ้งจือ สบถ ก่อนจะเขวี้ยงธนูลงบนพื้นด้วยความผิดหวัง ธนูหักออกเป็นสองส่วน
จากนั้นเขาก็หันไปมองหน้าองค์หญิงด้วยความสังเวชและขมขื่น
“นี่สามารถ… นับเป็นเสมอได้ไหม?” ฟาง เจิ้งจือ ชี้ไปที่ลูกศรทั้ง 3 บนเป้าหมาย
“เสมอ?!“
ทุกคนล้วนมองหน้ากันด้วยความสับสน
โดยเฉพาะแม่ทัพไถ่และแม่ทัพมู่ พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไม ฟาง เจิ้งจือ ถึงพูดเช่นนั้นทั้งๆที่ตัวเองชนะ
เขาโง่หรือไงกัน?
“เจ้าอยากเสมอกับข้า?” องค์หญิงประหลาดใจเล็กน้อย
“ถูกต้อง ข้ามี 30 ดอกบนเป้า แต่มีเพียง 27 ดอกที่ปักลงตรงกลาง แต่องค์หญิงมี 28 ดอก ตรงกลางเป้า รวมกับลูกศรที่ได้รับเพิ่มนับเป็น 29 ข้าจึงคิดว่าท่านสามารถเมตตานับลูกศร 2 ดอกที่อยู่ขอบเป้าเป็น 1 ดอกที่อยู่กลางเป้าได้ไหม?” ฟาง เจิ้งจือ อธิบายด้วยความเศร้าโศก
นับ 2 ดอกที่ไม่เข้าตรงกลางเป้าเป็น 1 ดอกตรงกลางเป้า?
เมื่อองค์หญิงได้ยินเช่นนี้ดวงตาของนางสว่างขึ้นทันที ขณะที่นางจะตอบรับนางก็พบว่าตัวเองจะดูกระตือรือร้นเกินไป
นางจึงกระแอมเบาๆ
“ข้าคิดว่าต้องเป็น 3 ดอกถึงเทียบเท่าได้?“
“เห้อ … ข้าทั้งเด็กและมีพรสวรรค์ มันควรเป็นเวลาที่ข้าได้ทำผลงานได้ดีในสนามรบ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าต้องมาตายไกลบ้านขนาดนี้ ข้าคิดว่าจะกลับไปหาอ้อมกอดของพ่อแม่ที่ข้ารักเสียอีก…ช่างน่าเศร้า!” เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยิน เขาก็พูดขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
“เอาล่ะ เอาล่ะ เห็นเจ้าเป็นคนยุติธรรมดี ด้วยความดีและมีศีลธรรมของข้า ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!” องค์หญิงมองไปยัง ฟาง เจิ้งจือ ที่มีท่าทางน่าอดสูและโบกมือด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“ขอบคุณองค์หญิง!” ฟาง เจิ้งจือ สรรเสริญ นางทันที แต่เขาไม่ได้คุกเข่าลง
องค์หญิงดูไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่นางกลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกที่ตัวเองนั้นยืนอยู่บนยอดเขาสูง มองไปที่ไหนก็ไม่เคยเจอคู่แข่ง
“ทักษะการยิงธนูขององค์หญิงไม่มีใครในโลกนี้เทียบได้!“
“องค์หญิงแข็งแกร่งมาก!“
“องค์หญิงช่างเมตตา!“
เมื่อทุกคนได้ยินก็โห่ร้องชื่นชมนางทันที
ในทางตรงข้ามท่าทีของแม่ทัพไถ่กลับดำมืด นางไม่ฆ่าเจ้าเด็กนี่จริงๆ? ขณะที่เขากำลังจะพูด แม่ทัพมู่ก็ดึงเขากลับมาพร้อมส่ายหัว
“เด็กคนนี้ฉลาดมาก เกรงว่าจะฉลาดกว่าที่เราจะคิดได้เสียอีก!” แม่ทัพมู่ กล่าวเบาๆ
“เจ้า ทำไมถึงยกย่องมันขนาดนั้นกัน? ข้าคิดว่าเจ้าเด็กนี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความหน้าด้าน! สำหรับทักษะการยิงธนูของเขา …ก็ถือว่าไม่ได้แย่!“เมื่อแม่ทัพไถ่ได้ยิน เขาไม่พอใจทันที
“ไม่ใช่เลย ทักษะในการยิงธนูของเขาดีมาก อย่างน้อยก็มากกว่าสิ่งที่เขาแสดงให้เห็น อย่างไรก็ตามเพื่อให้เขาจะได้มีชีวิตอยู่รอด เขาทำได้เพียงแค่แพ้เท่านั้น…” แม่ทัพมู่ ส่ายหัว
“เขาทำได้แค่แพ้เท่านั้น? อย่าบอกนะว่าการกระทำของเด็กคนนี้เป็นเรื่องที่เขาคิดไว้ทั้งหมด?“แม่ทัพไถ่ดูตกใจมาก
“ข้าไม่รู้ แต่เขาก็พยายามหาทางเอาชีวิตรอดใช่ไหมละ?” แม่ทัพมู่มองไปที่แม่ทัพไถ่
แม่ทัพไถ่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เขามองไปที่ ฟาง เจิ้งจือ เขาต้องการที่จะหาความจริงจากใบหน้าของ ฟาง เจิ้งจือ
อย่างไรก็ตามมันเป็นความจริงที่เขาเห็น ฟาง เจิ้งจือ ชูนิ้วกลางใส่เขา
“เด็กสารเลว …ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้!“
…
ในเมืองภูเขาเซียน
เมืองโบราณถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาที่สูงที่สุดในดินแดนภูเขาทางใต้ ตำนานบอกว่าพันปีที่แล้วไม่มีภูเขานี้อยู่ เมืองภูเขาเซียนตั้งอยู่ในผืนป่าธรรมดาๆ
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ได้เปลี่ยนชะตาของเมืองนี้ไปตลอดกาล
คืนนั้นเปลวไฟลุกท่วมไปทั่ว กลืนกินเมืองภูเขาเซียนไปจนหมด เปลวไฟลุกไปทั่วดินแดนภูเขาทางใต้ มันเป็นภัยพิบัติ
เมืองที่มีคนจำนวนมากอยู่กำลังจะถูกลบหายไปจากโลก
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเองที่ผู้แข็งแกร่งมาที่เมืองนี้ ด้วยพลังของเขา เขาได้เคลื่อนย้ายดินแดนและสร้างภูเขาสูงขึ้นมา
เขาได้ช่วยชีวิตคนเป็นหมื่นเป็นแสนเอาไว้ ศพของเขาถูกฝังไว้บนภูเขาสูง
เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เขา เมื่องจึงถูกเปลี่ยนเป็นเมืองภูเขาเซียน
กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนของดินแดนภูเขาทางใต้
เมืองภูเขาเซียน ถูกสร้างมากจากหินภูเขาที่แข็งแกร่ง หลังจากผ่านมานานหินที่ถูกใช้สร้างเมืองได้ถูกปกคลุมด้วยชั้นสีเขียว
กลายเป็นเมืองโบราณสีเขียว
ด้านตะวันออกของเมืองโบราณแห่งนี้มีอาคารหนึ่งเหมือนพระราชวังที่สร้างด้วยหยกสีขาว มันเป็นที่พักของราชาและเหล่าเชื้อพระวงศ์ของดินแดนภูเขาทางใต้