…
ขณะที่ ฟาง เจิ้งจือ กำลังเดินผ่านหุบเขาสายลมไปอย่างสบายๆนั้นเอง
ข่าวเรื่องหนึ่งได้ถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว นอกจากที่ถิ่นฐานราชสีห์คำรามและที่กระโจมขององค์หญิง ฉาน ยู่ แล้วนั้น ข่าวนี้ก็ได้เดินทางไปถึงถ้ำหนึ่งบนยอดเขาอันสูงใหญ่
ฟาง เจิ้งจือ จัดการหุบเขาสายลมลงได้!
ความหมายนั้นก็ตรงๆ วิธีการนั้นก็ธรรมดา แต่เขาไม่เสียทหารไปแม้แต่คนเดียว
ประหลาดใจ ตกใจ
เมื่อ ไป่ ซิง ที่สวมชุดสีดำอยู่ ได้ยินข่าว ใบหน้าของเขาเผยความแปลกใจออกมาทันที อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
เป็นเพราะว่า…
มีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังเขา
หญิงสาวนางหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีขาวออกน้ำตาล ผมสีดำของนางยาวไปถึงเอว ดวงตาของนางเป็นประกายเล็กน้อย
นางคือ หยุน ชิงวู
หญิงสาวลึกลับผู้กุมหัวใจนักปราชญ์ของอาณาจักรเซี่ย ไว้มากมาย
ที่สำคัญกว่านั้น นางเป็นคนวางแผนการที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของนางมีผ้าปกคลุมไว้อยู่ ทำให้ส่วนที่งดงามที่สุดของนางไม่ได้ปรากฎออกมา
“แผนองหัวหน้าดินแดนไป่ คือยืนอยู่ด้านนอกและรอรับผลประโยชน์ใช่หรือไม่?“หลังจากที่ หยุน ชิงวู อ่านจดหมายเสร็จ นางก็ไม่ได้สนใจเนื้อหาอะไรไอีกแต่หันไปถาม ไป่ ซิง แทน
“เรียนนายน้อย เดิมทีแผนของข้านั้น…” ไป่ ซิง ไม่เข้าใจว่าทำไม หยุน ชิงวู ถึงถามคำถามเช่นนี้ออกมา เพราะเขาได้รายงานแผนนี้ให้นางฟังมานานแล้ว
นอกจากนี้ หยุน ชิงวู ยังเป็นคนยอมรับมันเองอีกด้วย
“ใช่ แผนนั้นก็ไม่เลว อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว แน่นอนว่าแผนก็ต้องเปลี่ยนตาม” หยุน ชิงวู พยักหน้าเบาๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะทำตามคำแนะนำของท่าน!” ไป่ ซิง ไม่ได้สงสัยในความคิดของ หยุน ชิงวู แม้แต่น้อย แต่เขากลับรีบคุกเข่าให้นางทันที
“งั้นก็เริ่มแผนได้เลย”
“รับทราบ!“
สายลมในหุบเขาได้หยุดลง
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าอากาศในหุบเขาจะอบอุ่นแต่อย่างใด ยังไงก็ตามตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาวแล้ว ด้านข้างทั้งสองด้านของหุบเขานั้นเต็มไปด้วยน้ำแข็งเกาะจนกลายเป็นหนามอันแหลมคม มันทำให้อากาศในหุบเขานั้นหนาวเย็นเป็นอย่างมาก
ทหารจากอาณาจักรเซี่ย ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการเดินทางในฤดูหนาว เมื่อเข้าหุบเขาไปสักพัก พวกเขาจึงเริ่มตัวสั่นสะท้าน
เมื่อแม่ทัพบางคนเห็น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวล
“แม่ทัพฟาง ในเมื่อตอนนี้พวกเราสามารถพิชิตหุบเขาสายลมได้แล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการโจมตีถิ่นฐานวานรน้ำแข็งอย่างไม่ทันตั้งตัว”
หลังจากทนมากว่าชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดแม่ทัพคนหนึ่งก็ไม่สามารถทนได้และพูดขึ้นมา ถึงแม้เขาจะรู้ว่าหน้าที่ของทหารคือเชื่อฟังก็ตาม
ดังนั้นแม้เขาจะมีความคิดอื่นๆ เขาก็ทำได้เพียงแนะนำออกมาเท่านั้น
“นั่นคือในกรณีที่สถานการณ์ทุกอย่างปกติ” เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยินคำพูดของแม่ทัพเขาก็พยักหน้าเบาๆ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเขาไม่คิดจะเพิ่มความเร็วในการเดินทัพแม้แต่น้อย
“งั้น” ในขณะที่แม่ทัพกำลังจะพูดบางอย่างออกมา มีเสียงการต่อสู้ดังมาจากด้านหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเสียงนั้นยิ่งดูตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ในทางกลับกัน เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยินเสียงนี้ รอยยิ้มจางๆปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าเขาทันที
แน่นอนว่าเขารู้ว่าอะไรที่ทำให้เกิดเสียงนี้
หนานกง เฮา!
คนที่เสมอกับเขาในการทดสอบด้านปัญญาระดับสภา ถ้าเขาคิดจะพึ่งพาปราการธรรมชาติอย่างเดียวเขาคงไม่ออกมา
แม้ ฟาง เจิ้งจือ จะพิชิตหุบเขาสายลมได้แล้ว
แต่อันตรายที่แท้จริงนั้นเพิ่งเริ่มขึ้น
หนานกง เฮา มีทหารอยู่เท่าไรกัน?
เขามีเพียงแค่ 2,000 เท่านั้น แต่เขายังสามารถครอบครองถิ่นฐานวานรน้ำแข็งที่เป็นถิ่นฐานที่สำคัญที่สุดไว้ได้
แม้ว่าอาจจะเป็นเพราะชื่อเสียงของเขา แต่ชื่อเสียงของเขาก็ได้มาจากความสามารถจริงๆ
หนานกง เฮา ไม่ได้โง่
ถ้าเขาต้องการทหารจำนวนมาก ทำไมเขาถึงยืนอยู่เฉยๆที่ถิ่นฐานวานรน้ำแข็งโดยไม่เคลื่อนไหวไปที่ไหนแม้แต่น้อย
จากชื่อเสียงและความสามารถของ หนานกง เฮา แล้วนั้น ถ้าเขาอยากจะเคลื่อนไหว ก่อนที่ ฟาง เจิ้งจือ จะเหยียบเข้ามาในดินแดนภูเขาทางใต้ หนานกง เฮา คงมีทหารในครอบครองมากกว่า 30,000 นาย
ศาสตร์ในการต่อสู้ มีอยู่คำพูดหนึ่งว่า การไม่เคลื่อนไหวดั่งภูผา มันแสดงให้เห็นถึงความหนักแน่น !
ในการต่อสู้ด้านกลยุทธ์และอุบายแล้วนั้น ความสงบนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน มันก็มีความหมายง่ายๆคือการไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องโง่เขลาที่จะเคลื่อนไหว
ฟาง เจิ้งจือ ไม่รู้ว่า หนานกง เฮา คิดว่าการเคลื่อนไหวในตอนนี้นั้นไม่จำเป็นหรือเขานั้นหนักแน่นในตัวเองมาก อย่างไรก็ตาม ฟาง เจิ้งจือ มั่นใจว่าเส้นทางจากหุบเขาสายลมไปยังถิ่นฐานวานรน้ำแข็ง
ไม่มีทางเป็นไปอย่างง่ายๆแน่นอน
ตอนแรก ฟาง เจิ้งจือ วางแผนจะโจมตีอย่างกระทันหันหลังจากสามารถพิชิตหุบเขาสายลมได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อสายลมในหุบเขาหยุดลง แน่นอนว่า หนานกง เฮา ก็ต้องได้รับข่าว
ผลของการที่เขาจะส่งกองกำลังโจมตีอย่างกระทันหันก็ไม่ได้แย่มากนัก แต่ก็ไม่ได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ข้อไดเปรียบของ ฟาง เจิ้งจือ นั้นคือเรื่องจำนวนเขาจึงไม่ได้สนใจมากนักว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง อย่างไรก็ตาม วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ รู้สึกว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ส่งทหารไปโจมตีทำให้พวกนั้นไม่ทันตั้งตัว
ลองเข้ามาดูในหุบเขาสายลม
คงมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่ามันก็เป็นเพียงข้ออ้าง
การแก่งแย่งชิงดีชินเด่นในสภาหลวงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ ฟาง เจิ้งจือ คุ้นเคยนัก อย่างไรก็ตามในรัฐบาลจากโลกที่เขาจากมานั้น ฟาง เจิ้งจือ รู้จักเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี
นั่นก็คือ…
การแย่งผลงานคนอื่น!
มันเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องยากที่ใครจะทำ สรุปง่ายๆคือ ต้องทำผลงานในช่วงเวลาที่ถูกต้องและเหมาะสม
นอกจากนั้นเวลาในการเลือกเปิดเผยมันก็ต้องเหมาะสมด้วยเช่นกัน
วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ มีความสามารถนี้
เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ สามารถพิชิต หุบเขาสายลมได้ พวกเขาจึงรีบพุ่งเข้าไปในหุบเขาสายลมทันทีโดยไม่สนใจคำสั่งทางทหารแม้แต่น้อย พวกเขาคิดแค่ต้องการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเป็นคนแรก
ดูว่าลมหยุดแล้วหรือยัง?
ลมมองเห็นด้วยหรือไง?
เป้าหมายของ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ นั้นคือตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ได้โจมตีถิ่นฐานวานรน้ำแข็งตอนที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวหรือก่อนที่ หนานกง เฮา จะตั้งตัวได้
สำหรับเหตุผลที่พวกเขาเร่งรีบคืออะไร?
เหตุผลนั้นง่ายมาก ในหัวใจของ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ การต่อสู้ระหว่าง ฟาง เจิ้งจือ และ หนานกง เฮา นั้นเป็นการต่อสู้สุดท้านในการทดสอบ
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้หุบเขาสายมถูกพิชิตได้โดย ฟาง เจิ้งจือ ถ้าพวกเขาไม่ทำอะไรเลย พวกเขาจะเหมือนไม่มีบทบาทในการทดสอบด้านการต่อสู้ครั้งนี้อีกแล้ว
“เดินหน้า!” ฟาง เจิ้งจือ เอาแส้ฟาดม้าที่เขาขี่ มันพุ่งไปข้างหน้าทันที
เมื่อแม่ทัพเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกายทันที่
หลังจากที่ใช้เวลาพักผ่อนมานาน ในที่สุดเขาก็เพิ่มความเร็วในการขี่ม้าสักที
ภายใต้การนำทัพของ ฟาง เจิ้งจือ ทหาร 40,000 นายเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว เสียงการต่อสู้ที่พวกเขาได้ยินค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ไม่นาน ฟาง เจิ้งจือ ก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง กองทัพทั้งหมดหยุดลง
เพราะทางออกของหุบเขาสายลมอยู่ด้านหน้าพวกเขา
อย่างไรก็ตาม…
ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความกลลาหล
“ดูเหมือนจะเป็นตรงนี้สินะ” เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ เห็น ฉากด้านหน้า มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆทันที
หุบเขาสายลมนั้นเป็นปราการธรรมชาติ
เพราะว่า ความกว้างของช่องเขานั้นมีเพียงแค่ 10 คนสามารถเดินผ่านไปได้พร้อมกัน ดังนั้นที่ทางออกของหุบเขาสายลมคือที่ที่ดีที่สุดในการจัดตั้งการป้องกัน
ในโลกก่อนหน้า ฟาง เจิ้งจื เคยดูหนังเรื่อง สปาร์ตา 300 ทหารสปาร์ตาไม่กี่คนสามารถป้องกันการโจมตีจากทหารนับหมื่นได้ที่ทางเข้าที่อนุญาติให้แค่ไม่กี่นเข้ามาได้พร้อมกันเท่านั้น
ดูเหมือนตอนนี้ หนานกง เฮา จะใช้วิธีเดียวกันอยู่
อย่างไรก็ตามวิธีที่เข้าใช้นั้นตรงข้ามกับในหนัง หลังจากทางออกหุบเขาไปแล้ว มันเป็นพื้นที่โล่งกว้าง มันทำให้เขาสามารถลอบโจมตีได้ทุกทิศทาง
และตอนนี้
วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ รวมถึงนักปราชญ์อีกจำนวนหนึ่งกำลังพุ่งเข้าไปในนั้น
นักปราชญ์ส่วนมากอยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูง ถึงอย่างนั้นเมื่อพวกเขาเห็นการซุ่มโจมตีจากทหารนับพัน แน่นอนว่าพวกเขาถึงกับเหงื่อออก
ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะดูทุกข์ทรมารไม่น้อย
“แม่ทัพฟาง พวกเราควรส่งทหารไปสนับสนุนพวกเขาหรือไม่?” แม่ทัพคนหนึ่งเดินมาด้านข้าง ฟาง เจิ้งจือ ก่อนที่จะถามออกมาด้วยความกังวล
“เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่ผู้คนควรมีให้กันนั้นคืออะไร?” ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับแทน
“โปรดอธิบาย” แม่ทัพถามกลับด้วยความสับสน
“ความเชื่อใจ”
“ความเชื่อใจ?“
“ถูกต้อง ดูพื้นที่บริเวณนี้ อย่างมากก็สามารถต่อแถวออกไปได้ทีละ 10 คน ดังนั้นเจ้าสามารถหาวีรบุรุษอีกสัก 10 คนที่เทียบกับ นายน้อยวู่ กับ นายน้อยเฉิน ได้อย่างนั้นรึ?” ฟาง เจิ้งจือ ชี้ไปที่ผนังภูเขาทั้งสองด้านและชี้ไปที่ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู
“ข้าเกรงว่าคงไม่สามารถหาได้!“เมื่อแม่ทัพได้ยิน เขารีบส่ายหัวทันที
“ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือเชื่อใจพวกเขา ถ้าแม้แต่พวกเขายังไม่สามารถฝ่าการโจมตีไปได้ พวกเราจะส่งทหารเข้าไปทำไมอีก?“
“คำพูดของท่านสมเหตสมผลเป็นอย่างมาก!“เมื่อแม่ทัพได้ยิน เขาก็เข้าใจในทันที อย่างไรก็ตามเขายังรู้สึกว่าสิ่งที่ ฟาง เจิ้งจือ พูดมีบางอย่างแปลกๆเล็กน้อย
“ไม่ต้องกังวล ตราบที่พวกเราเชื่อใจนายน้อยวู่ และ นายน้อยเฉิน การโจมตีใดๆก็ไม่มีทางทำร้ายพวกเขาได้” ฟาง เจิ้งจือ ยังคงพูดต่อ
“รับทราบ!” แม่ทัพเข้าใจในทันทีและตอบด้วยความเคารพ