ที่ทางออกของหุบเขาสายลม
มีทหาร 40,000 คนยืนอยู่ในหุบเขา พวกเขายืนรอคำสั่งอยู่เงียบๆ ด้านหน้าของพวกเขามี ฟาง เจิ้งจือ กำลังรออยู่ด้วยท่าทีสบายๆ
“ผู้ส่งสารฟาง พวกเขาจะผ่านกลยุทธ์นี้ไปได้หรือไม่?” เถิง ซือเซิง มองไปยังนักปราชญ์จำนวนหนึ่งที่กำลังต่อสู้อย่างทรมารอยู่ เขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและถามขึ้นมา
เมื่อแม่ทัพคนอื่นๆได้ยินคำพูดของ เถิง ซือเซิง ก็หันไปหา ฟาง เจิ้งจือ
ฟาง เจิ้งจือ ได้พูดไว้ว่าควรเชื่อใจ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านหน้าในตอนนี้ดูไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย
นักปราชญ์มากกว่า 10 คนเข้าไปในแผนที่ หนานกง เฮา วางไว้ผ่านประตูแห่งความตายเข้าไป เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะกลยุทธ์ที่ประกอบไปด้วยทหารนับพัน
“อาจจะไม่” ฟาง เจิ้งจือ มองไปยังทหารที่กำลังล้อมรอบ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ รวมถึงนักปราชญ์คนอื่นๆอยู่ก่อนจะส่ายหัวออกมา
“อาจจะไม่?! แล้ว … ทำไมพวกเราถึงรออยู่เฉยๆล่ะ?“เถิง ซือเซิง ไม่เข้าใจ
ในเมื่อ ฟาง เจิ้งจือ รู้สึกว่าเหล่านักปราชญ์ไม่สามารถผ่านทางออกหุบเขาไปได้แน่นอน แล้วทำไมเขาถึงถ่วงเวลาอยู่ล่ะ?
“แน่นอนว่าไม่” ฟาง เจิ้งจือ ส่ายหัว
“งั้นตอนนี้พวกเราควรจะ.. ” เถิง ซือเซิง ค่อนข้างสับสน
“รอ”
“รอ? รออะไรกัน?“
“เจ้าคิดว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเอาชนะกลยุทธ์ด้านหน้านี้?” ฟาง เจิ้งจือ ชี้ไปยังทหารนับพันที่ยืนเป็นแบบแผนอยู่
“นี่ … ข้าเองก็ไม่รู้” เถิง ซือเซิง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ในฐานะที่เป็นชาวดินแดนภูเขาทางใต้ เขามีความรู้ด้านกลยุทธ์ทางทหารน้อยมาก
ตั้งแต่เด็กสิ่งที่เขารู้ล้วนเป็นวิธีการเอาตัวรอดในป่าหรือการลอบโจมตีผู้อื่น
“ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดคือ หนานกง เฮา ทิ้งทางออกไว้แค่ทางเดียวจากหุบเขาสายลม ในกรณีนี้ ถ้าพวกเราต้องการจะเอาชนะกลยุทธ์นี้ให้ได้จริงๆ ก็มีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น” แม่ทัพคนหนึ่งพูดความคิดตัวเองออกมาทันที
“แม่ทัพหลี่พูดถูก กลยุทธ์ของ หนานกง เฮา นั้นคือการป้องกันที่ทางออกของหุบเขาสายลม” แม่ทัพอีกคนกล่าวสนับสนุน
“ใช่ พวกเจ้าคิดถึงด้านเดียวเท่านั้น จริงๆแล้วมีอีกด้าน” เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยินคำพูดของพวกเขาก็พยักหน้า
“มีอีกด้านหนึ่งงั้นหรือ?!“
เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของ ฟาง เจิ้งจือ จึงเกิดความสับสนเล็กน้อย หลังจากที่พวกเขาได้เข้าร่วมในกองทัพและผ่านสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขามั่นใจว่าตัวเองเคยเห็นมาแทบจะทุกอย่างแล้ว
อย่างไรก็ตาม คำพูดของ ฟาง เจิ้งจือ นั้นแสดงอย่างชัดเจนว่าพวกเขายังไม่รู้บางอย่าง
เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ฟาง เจิ้งจือ เป็นแม่ทัพใหญ่สุด ต่อให้พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาก็ไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
แม่ทัพคนอื่นๆก็สับสนเช่นกัน พวกเขาต้องการจะฟังความลับที่ ฟาง เจิ้งจือ ผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมสงครามแม้แต่ครั้งเดียว จะกล่าวออกมา
“พวกเจ้าคิดว่ากลยุทธ์ที่ หนานกง เฮา ใช้เป็นแบบไหนกัน?” แน่นอนว่า ฟาง เจิ้งจือ ต้องรู้สิ่งที่เหล่าแม่ทัพคิด
มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะคิดแบบนั้น
แม่ทัพผู้ผ่านสงครามมานับร้อยครั้งจะมาเชื่อนักปราชญ์ที่ไม่เคยเข้าร่วมสงครามแม้แต่ครั้งเดียวงั้นหรือ? มันไม่มีทางเป็นไปได้
ฟาง เจิ้งจือ รู้เรื่องนี้ดี อย่างไรก็ตามเขาต้องเปลี่ยนความคิด
ตอนนี้ เขามีกองกำลังที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตามกองกำลังนี้ก็พร้อมจะแทงข้างหลังเขาอยู่ตลอดเวลา
เมื่อการทดสอบด้านการต่อสู้สิ้นสุดหรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น
กองกำลังอันแข็งแกร่งนี้ก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวด้วยตัวเองตลอดเวลา และคงมีใครสักคนมาเอาตำแหน่งของ ฟาง เจิ้งจือ ในตอนนี้ไป ดังนั้นกองกำลังทางทหารของเขาก็เหมือนกับระเบิดเวลา
“ถ้าข้าเดาไม่ผิดมันน่าจะเป็นกระดานแปดทิศ!“
“กระดานแปดทิศด้านหน้าและกลุ่มดาวคันไถอยู่ด้านหลัง!“
แม่ทัพทั้งสองคนตอบอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ถูกต้อง มันเป็นกลยุทธ์กระดานแปดทิศและกลุ่มดาวคันไถ!” เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยินเขาก็พยักหน้า และเขาก็ถามต่อ”แล้วพวกเจ้าเห็นกลยุธ์อื่นๆจากด้านหน้านี้อีกไหม?“
“นี่… ” แม่ทัพพูดไม่ออกทันที
“อย่าบอกนะว่าแม่ทัพฟาง รู้ความลับของกลยุทธ์ทั้งหมดที่ใช้?” เมื่อได้ยินคำพูดของ ฟาง เจิ้งจือ แม่ทัพอีกคนถามออกมาด้วยความไม่มั่นใจ
“ข้าไม่สามมารถ” ฟาง เจิ้งจือ กล่าวความจริง
“ฮ่า ฮ่า”
แม่ทัพทั้งสองหัวเราะเบาๆ ร่องรอยแห่งความสุขปรากฎอยู่บนใบหน้าของพวกเขา ตอนที่พวกเขาได้ยิน ฟาง เจิ้งจือ ถาม พวกเขาเองก็ค่อนข้างตกใจเล็กน้อย นึกว่า ฟาง เจิ้งจือ มีความสามารถพอที่จะเข้าใจกลยุทธ์ทางทหารทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินที่ ฟาง เจิ้งจือ ตอบ พวกเขาก็เยาะเย้ยอยู่ในใจ ฟาง เจิ้งจือ ก็เป็นแค่เพียงนักปราชญ์ที่รู้แต่เพียงทฤษฎีเท่านั้น มุมมองและความคิดจะเทียบกับพวกเขาได้ยังไง?
“ข้าไม่สามารถรู้ได้ และพวกเจ้ารู้งั้นรึ?” ฟาง เจิ้งจือ ไม่คิดจะสนใจท่าทีของแม่ทัพทั้งสอง แต่เขากลับถามออกมาแทน
“เรื่องนี้…”
“ข้าไม่สามารถ”
“พวกเราอยู่ในหุบเขาสายลม แต่กลยุทธ์ที่ใช้นั้นอยู่นอกหุบเขา พวกเราจะเห็นกลยุทธ์ทั้งหมดได้ยังไงกัน?“
แม่ทัพเริ่มส่ายหัวทีละคน ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่เขาจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ฟาง เจิ้งจือ กลับไม่สามารถทำอะไรได้
“ใช่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีอีกเรื่องที่เป็นปัญหาคือ ขอบเขตการมองเห็น!” เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยินเขาก็ยิ้มออกมาบางๆทันที
“ขอบเขตการมองเห็น?!“่
แม่ทัพไม่เข้าใจเท่าไรนัก เพราะคำว่าการมองเห็นไม่เคยปรากฎยอยู่ในหนังสือทางทหารเล่มไหนมาก่อน
ฟาง เจิ้งจือ มองไปยังทหารที่กำลังสับสน ในความเป็นจริงคำว่าขอบเขตการมองเห็นไม่ได้มาจากหนังสือทางทหารเล่มไหน
แต่มันมาจากเกมที่เขาเล่นในโลกก่อน
เขาแค่เลือกมันออกมาใช้
“ตอนนี้พวกเราติดอยูในหุบเขาสายลม ขอบเขตการมองของเรานั้นจำกัด พวกเราไม่สามารถมองเห็นกลยุทธ์ทั้งหมดได้ อย่างมากก็แค่เดาจากประสบการณ์ที่มี อย่างไรก็ตามพวกเราไม่สามารถรู้ความลับของกลยุทธ์ที่ หนานกง เฮา ใช้ได้ทั้งหมด” ฟาง เจิ้งจือ อธิบาย
“แม่ทัพฟาง พูดถูก!“
“นั่นคือความจริง!“
“ถูกต้องแล้วมันเป็นเพราะขอบเขตในการมองเห็นของพวกเรา!“
เมื่อเหล่าแม่ทัพได้ยิน แม้พวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของ ฟาง เจิ้งจือ แต่ก็เข้าใจสิ่งที่ ฟาง เจิ้งจือ พยายามจะสื่อออกมา
กลยุทธ์ของ หนานกง เฮา นั้นเกิดจากกลยุทธ์กระดานแปดทิศ
แต่มันไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างต้องเหมือนกระดานแปดด้านแบบดั้งเดิม ด้วยความสามารถของ หนานกง เฮา การเพิ่มกลยุทธ์ต่างๆเข้าไปนั้นมีความเป็นได้อยู่สูง
หนานกง เฮา สามารถทำได้ แม่ทัพหลายๆคนก็สามารถทำได้
ความแตกต่างอยู่ที่ประสิทธิภาพที่ออกมาเท่านั้น
“งั้น…ตอนนี้พวกเราควรทำอะไร?” แม่ทัพที่ได้เยาะเย้ย ฟาง เจิ้งจือ ไป รู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อยทันที
แม้ว่าสิ่งที่ ฟาง เจิ้งจือ พูดออกมาจะดูง่ายมาก
แต่ในความเป็นจริงมันเป็นสิ่งที่แม่ทัพผู้ผ่านสงครามมานับร้อยครั้งมักจะละเลย
พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม ฟาง เจิ้งจือ ผู้ไม่เคยเข้าร่วมสงครามมาก่อถึงมีทักษะในการสังเกตุที่ดีเช่นนี้ อย่างไรก็ตามมันหมายความว่าความรู้ของพวกเขาน้อยกว่า ฟาง เจิ้งจือ อยู่ระดับหนึ่ง
สนามรบนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้คนคนหนึ่งอาจจะกำลังอาละวาดอยู่ในสนามรบ ชั่วพริบตาเขาอาจจะกลายเป็นนักโทษ ดังนั้น ในหลายๆสถานการณ์การสังเกตุนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับแม่ทัพที่ดี
“รอ” คำตอบของ ฟาง เจิ้งจือ ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามไม่มีแม่ทัพคนไหนคัดค้านอีกต่อไป เพราะพวกเขาเริ่มค่อยๆวางใจในคำตัดสินของ ฟาง เจิ้งจือ เพราะพวกเขาเริ่มเชื่อใจ ฟาง เจิ้งจือ ขึ้นอย่างช้าๆ
ฟาง เจิ้งจือ ก็ไม่คิดจะอธิบายอีกต่อไป แต่เขากลับหันไปมอง วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ ที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป กองทัพทั้งหมดจะหยุดพักที่นี่ รวมถึงทำอาหารกินกัน” หลังจากดูมาสักพัก ฟาง เจิ้งจือ ก็เริ่มรู้สึกกระปี้กระเปร่า
“เริ่มต้นทำอาหาร? แม่ทัพฟาง…นี่ไม่ใช่เวลาที่ทั้งสองกองทัพจะต่อสู้กันงั้นรึ?“ถึงแม้เหล่าแม่ทัพจะฟังคำสั่ง ฟาง เจิ้งจือ แต่นี่มันก็ดูแปลกประหลาดไปหน่อย
“ไม่จำเป็น ตอนนี้ยังเร็วเกินไป แล้วเสบียงของพวกเราก็ไม่ค่อยมีสารอาหารเท่าไรนัก” ฟาง เจิ้งจือ ส่ายหัว
“ไม่ค่อยมีสารอาหาร?” ใบหน้าของเหล่าแม่ทัพดูอึกอักขึ้นมาทันที สงครามระหว่างทั้ง 2 กองทัพกำลังจะเริ่มขึ้น มันเป็นเรื่องที่เหมาะสมงั้นรึที่จะมาทำแบบนี้?
เอาละ..
ในเมื่อเจ้าเป็นแม่ทัพ คำพูดของเจ้าถือว่าสูงสุด
ถึงแม้ในใจของเหล่าแม่ทัพจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่พวกเขาก็ถ่ายทอดคำสั่งของ ฟาง เจิ้งจือ ไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ทหารจำนวนมากจึงตะโกนร้องออกมาด้วยความยินดี
พวกเขาไม่ได้สนใจสงครามอะไรมากนัก สำหรับพวกเขาแค่มีอาหารให้ในกองทัพก็พอแล้ว พวกเขาจึงเลือกมาเข้ากองทัพ ตอนนี้พวกเขาจะได้กินอาหาร แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ไม่ต้องทนหิวโหยอีกต่อไป และที่สำคัญมันไม่ได้เป็นการกินอาหารธรรมดา แต่มันเป็นการทำอาหาร
มันเป็นเรื่องที่ดีมาก
ทหารแต่ละคนเริ่มขุดดินและตั้งเตาเหล็ก ทหารบางคนถือถ้วยอยู่ในมือข้างหนึ่งอีกข้างก็ตีกลองด้วยความกระตือรือร้น
“เถิง ซือเซิง เอาสัตว์ที่ล่าได้เมื่อไม่กี่วันก่อนออกมาย่าง!” ฟาง เจิ้งจือ เอามือเช็ดน้ำลายที่มุมปากขณะพูดกับ เถิง ซือเซิง
“รับทราบ” เถิง ซือเซิง ไม่ลังเลและเริ่มจุดไฟทันที