ณ ทางออกของหุบเขาสายลม
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน ขณะที่เหล่าแม่ทัพที่ยืนดูอยู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
ในความเป็นจริงนอกจากเหล่าแม่ทัพแล้วมีอีกสงคนที่สงสัยเช่นกัน เช่น วู่ เฟืง และ เฉิน เฟยยู่
ภายใต้สถานการณ์ปกติพวกเขาอาจจะถือว่าเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะพุ่งเข้าไปหา ฟาง เจิ้งจือ แม้แต่น้อย
เฉิน เฟยยู่ มีสายเลือดชั้นสูงและเป็นทายาทของ 13 กองตรวจการ เขามีความภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเขาต้องโมโหที่ ฟาง เจิ้งจือ ยิงธนูมาใส่เขา อย่างไรก็ตาม หลังจากพิจารณาดีๆแล้วมันเป็นเพราะเขาทำผิดจริงๆที่คิดจะแก้แค้นเหล่าทหาร
ดังนั้น…
มันไม่ผิดที่ ฟาง เจิ้งจือ จะยิงเขา
อย่างไรก็ตามคำถามของ วู่ เฟิง นั้นต่างจากของ เฉิน เฟยยู่ เขาพอจำได้ว่าตอนที่ ฟาง เจิ้งจือ ยิงธนูมาที่เขาด้านหลังของเขาไม่มีใครอยู่สักคน
อย่างไรก็ตามเมื่อธนูตกลงมามันกลับพุ่งไปที่นักปราชญ์
มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
จริงๆแล้ว วู่ เฟิง ต้องการให้เหล่านักปราชญ์จัดการ ฟาง เจิ้งจือ และหวังว่า ฟาง เจิ้งจือ จะถูกตัดสิทธิ์สอบ อย่างไรก็ตามตัวเขาเองกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เขาหันไปมองศพที่ไม่ไกลจากตัวเขา
เขาอยู่ไม่ห่างจากศพนั้นเท่าไรนัก จากมุมมองของ วู่ เฟิง เขาเห็นว่าร่างนั้นถูกธนูยิงใส่หน้าอกจริงๆ เพราะที่หน้าอกของร่างนั้นมีรอยฉีกขาดบางๆจากลูกศรที่เกิดจากวิชาล้านคมดาบ
อย่างไรก็ตาม…
เขาดูเหมือนจะไม่ตาย!
วู่ เฟิง พบว่าหน้าอกของเขาค่อยๆหายดีพร้อมกับเสียงลมหายใจที่กลับมาช้าๆ ดวงตาของ วู่ เฟิง สว่างขึ้นทันที
ทันใดนั้น เขาพุ่งไปด้านข้างของนักปราชญ์ทันที
“นายน้อยหลี่ ได้ยินข้าไหม?”วู่ เฟิง ค่อยๆย่อตัวลงแล้วเอามือไปจ่อที่จมูกของนักปราชญ์คนนั้น ขณะที่อีกมือเขย่ามือนักปราชญ์เบาๆ
“นายน้อยวู่… นายน้อยวู่ … ช่วยข้า … ” นักปราชญ์เริ่มรู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองถูกเขย่าก่อนที่จะส่งเสียงออกมาจากลำคอ ตาของเขาค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามเขากลับดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาลืมขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“แน่นอน ข้ามียาอยู่บ้าง เจ้าจะตายไม่ได้”เมื่อวู่ เฟิง ได้ยินเสียง เขาก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป เขาหยิบขวดหยกสีเขียวขึ้นมาทันที เขาเทเม็ดยาสีเขียวออกมาและนำมันใส่ลงไปในปากของนักปราชญ์คนนั้นทันทีจนอาการของเขาค่อยๆดีขึ้น
ขณะเดียวกับที่ วู่ เฟิง กำลังรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
นักปราชญ์คนอื่นๆได้พุ่งเข้าไปหา ฟาง เจิ้งจือ สี่คนที่เป็นแกนนำนั้นพุ่งเข้าไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย
ดาบทั้ง 4 ปล่อยแสงอ่อนๆที่แตกต่างกันออกมาก่อนที่จะฟันใส่ ฟาง เจิ้งจือ ใน 4 ทิศทาง เห็นได้ชัดว่าความเร็วของพวกเขานั้นสูงมาก รวมถึงพลังก็ไม่ได้อยู่ในระดับธรรมดา
เมื่อ เถิง ซือเซิง เห็น เขาก็คำรามออกมาโดยไม่ลังเล
เมื่อทหารหมาป่าเขาเงินเห็น เถิง ซือเซิง เคลื่อนไหว คนอื่นๆก็เคลื่อนไหวตามทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อแม่ทัพคนอื่นๆเห็นเช่นนี้ พวกเขาล้วนตกตะลึงในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป พวกเขาได้คิดไว้แล้วว่าอาจจะมีการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ถึงว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้ และพวกเขายังไม่ได้พูดคุยอะไรกับ ฟาง เจิ้งจือ แม้แต่น้อย พวกเขาถือว่าเป็นผู้เข้าสอบ ต่อให้พวกเขาปรารถนาที่จะฆ่า แต่ก็ไม่ควรประกาศออกมาอย่างชัดเจน
แม่ทัพทุกคนล้วนตกตะลึง
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของ ฟาง เจิ้งจือ ยังเต็มไปด้วยความสงบ ราวกับเขาได้คาดการณ์สถานการณ์ตรงหน้าไว้หมดแล้ว เขาดูไม่ตกตะลึงหรือแปลกใจเลยที่เหล่านักปราชญ์พุ่งเข้ามา
เขาดึงธนูออกเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
จากนั้น…
เล็งไปทางหนึ่งในนักปราชญ์ที่เป็นคนเคลื่อนไหวคนแรก
“ฟุ้บ!”
ลูกศรนี้แตกต่างจากที่พุ่งไปทาง เฉิน เฟยยู่ และ วู่ เฟิง อย่างชัดเจน ทั้งสองลูกนั้นโค้งขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะตกลงมา แต่ลูกนี้กลับยิงตรงๆ
เพราะระยะนั้นใกล้มาก
ลูกศรสีเขียวพุ่งไปหน้านักปราชญ์คนหนึ่งทันที
“ตูม!”
เกิดเสียงดังสนั่นขึนอีกครั้ง
พลังที่มหาศาลแผ่กระจายออกไปในทุกด้าน ทำให้เหล่าแม่ทัพที่ยืนอยู่หลัง ฟาง เจิ้งจือ ต้องถอยหลังไปเล็กน้อย
“พวกเขากำลังจะต่อสู้กันจริงๆ?”
“ฟาง เจิ้งจือ กำลังพยายามจะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าเขาจะฆ่านักปราชญ์พวกนี้ทั้งหมด?”
“มันเป็นไปได้ยากแต่เขาจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาฆ่าทุกคนจริงๆ?
“แม่ทัพฟาง ท่านฑูตแห่งดาบ รีบหยุดเถิด ถ้ามีอะไรพวกเราสามารถคุยกันดีๆได้ พวกเราเป็นพวกพ้องกัน!”
แม่ทัพทหารนั้นไม่อยากเห็นการสังหารหมู่เกิดขึ้นที่นี่ เพราะมันไร้ความหมายจริงๆ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เขาอยู่ในป้อมปราการของศัตรู รวมถึงมีกองทัพศัตรูรอคอยพวกเขาอยู่ การมาต่อสู้กันเองนั้นถือเป็นเรื่องที่ผิด
แน่นอนว่า แม่ทัพเลือกที่จะจบเรื่องนี้อย่างสันติ
ในสถานการณ์ตอนนี้ไม่ว่าพวกเขาจะมองอย่างไร ฟาง เจิ้งจือ ว่าได้เปรียบเป็นอย่างมาก เขาไม่เพียงแต่มีธนูอาทิตย์แผงศร แต่เขายังมีทหารหมาป่าเขาเงินอีกห้าร้อยนาย นักปราชญ์เพียงไม่กี่คนจะทำร้าย ฟาง เจิ้งจือ ได้ยังไง
ดังนั้น…
พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวในทันที
นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิด อย่างไรก็ตามฉากที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเมื่อวิชาล้านคมดาบปะทะเข้ากับร่างของนักปราชญ์คนหนึ่ง
ผลลัพธ์ที่ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าจะเกิดก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
นัปราชญ์คนนั้นได้รับบาดเจ็บอย่างชัดเจน อาการของเขารุนแรงมาก อย่างไรก็ตามเขากลับไม่ได้ถอยออกไปทันที เขายังวิ่งเข้ามาเพื่อจะเอาดาบฟันใส่ ฟาง เจิ้งจือ
นักปราชญ์คนอื่นๆที่พุ่งเข้ามาเองก็มีความมุ่งมั่นแบบเดียวกันบนใบหน้าของพวกเขา
แม้พวกเขาจะเห็นทหารหมาป่าห้าร้อยนายและ เถิง ซือเซิง ที่ยืนขวางหน้า ฟาง เจิ้งจือ อยู่ พวกเขาก็ไม่คิดจะถอย ราวกับถ้าพวกเขาฆ่า ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้ พวกเขาก็ไม่คิดจะถอยไป
มันเป็นการแก้แค้นแบบไหนกันแน่?!
คนที่ ฟาง เจิ้งจือ ยิงคือ วู่ เฟิง!
ทำไมเป็นคนเหล่านี้ที่อยู่ดีๆก็บ้าคลั่งขึ้นมา?
แม่ทัพต่างคิดว่าการต่อสู้จะเกิดขึ้นแน่นอน แต่พวกเขาคงไม่สู้กันถึงชีวิต เพราะการที่ ฟาง เจิ้งจือ ฆ่านักปราชญ์ถือเป็นความผิด อย่างไรก็ตามถ้านักปราชญ์ฆ่า ฟาง เจิ้งจือ มันก็ถือเป็นความผิดเช่นกัน
มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ดูไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อย
“หยุด เร็วเข้า!”
“พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้เข้าสอบ ต่อให้ใครจะทำผิดก็จะถูกตัดสินโดยฝ่ายกฎหมายอยู่ดี พวกเขาเจ้าจะมาสู้เอาชีวิตกันที่นี่ไมได้!”
แม่ทัพรีบกล่าวเตือนเหล่านักปราชญ์ทันที และพยายามที่จะหยุดการต่อสู้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
นักปราชญ์ทั้งสี่คนไม่คิดจะหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขาแม้แต่น้อย
แต่กลับวิ่งเข้ามาเร็วขึ้นด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นมีนักปราชญ์อีกสองคนพุ่งออกมา อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างจากนักปราชญ์สี่คนก่อนหน้า
พวกเขาพยายามหยุดการต่อสู้”
“นายน้อยไถ่ นายน้อยหวัง อย่าฆ่าเขา แค่ทำให้มั่นใจว่า ฟาง เจิ้งจือ ยอมจำนน”
“ถูกต้อง ฟาง เจิ้งจือ เจ้าได้ทำผิดมหันต์ อย่าทำให้ทุกอย่างเลวร้ายไปกว่านี้ทุกคนหยุดต่อสู้เถอะ และมาคุยหาทางแก้ปัญหากัน”
ขณะที่นักปราชญทั้งสองคนวิ่งไล่ตามทั้งสี่คนไปพวกเขาก็ตะโกนออกมาเสียงดัง
ฟาง เจิ้งจือ เมินเฉยต่อคำแนะนำของนักปราชญ์ทั้งสองอย่างสิ้นเชิง เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองด้วยซ้ำ แต่เขากลับดงธนูาทิตย์แผงศรอกอีกครั้ง
“ข้า เถิง ซือเซิง พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะผ่านข้าไปได้!”
“ฆ่า!”
ภายใต้การนำของ เถิง ซือเซิง ทหารหมาป่าเขาเงินพุ่งออกไปทีละคนเพื่อป้องกัน ฟาง เจิ้งจือ พวกเขาตั้งเป็นสามแถวหน้ากระดานทันที
อย่างไรก็ตามพื้นที่ภายในหุบเขาค่อนข้างจำกัด
ด้วยขนาดของหมาป่าเขาเงินที่ค่อนข้างตัวใหญ๋จากปกติที่พวกเขาจะตั้งแถวละ 10 คนก็ตั้งได้แค่ 6 คน
มันเป็นเรื่องปกติที่หทารหมาป่าเขาเงินเพียงสิบนายจะเอาชนะนักปราชญ์สี่คนที่กำลังบ้าคลั่ ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆถอยร่นเข้ามาเรื่อยๆ
สำหรับทหารที่อยู่ด้านหลัง เขาทำได้เพียงแค่รอให้ทหารหมาป่าเขาเงินด้านหน้าล้มลงถึงเข้าไปแทนที่ได้
นี่มันแตกต่างจากตอนที่พวกเขาเข้าล้อม วู่ เฟิง หรือ เฉิน เฟยยู่ ที่ถิ่นฐานราชสีห์คำราม
เพราะทหารหมาป่าเขาเงินมีความได้เปรียบด้านจำนวนและใช้มันในการล้อม แต่ในครั้งนี้พวกเขาทำได้แค่อดทนเท่านั้น
เพราะมันดูเหมือนเป็นการต่อสู้ภายในกองทัพเดียวกัน
และดูรุนแรงมาก ดังนั้นแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเพียงป้องกันเท่านั้น
สาเหตุของมันเกิดขึ้นจากการที่ ฟาง เจิ้งจือ สุ่มยิงธนูไปทาง เฉิน เฟยยู่ และ วู่ เฟิง ผลที่เกิดขึ้นดูตลกเป็นอย่างมาก เฉิน เฟยยู่ และ วู่ เฟิง ไม่ได้พยายามจะล้างแค้น ฟาง เจิ้งจือ แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามนักปราชญ์คนอื่นที่ไม่ได้โดนธนูยิงใส้ กลับจะสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับ ฟาง เจิ้งจือ
มันค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลอย่างชัดเจน
แต่ มันก็เป็นความจริง
“ได้!” ฟาง เจิ้งจือ มองไปที่เหล่านักปราชญ์ที่กำลังบ้าคลั่งและยิ้มเยาะเย้ยออกมา เขาดึงธนูขึ้นมาอีกครั้ง
“ฟุ้บ!”
ลูกศรสีเขียวหยกพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทำมุมตกลงมาอย่างสวยงาม เป้าหมายองเขาไม่ได้เป็นที่นักปราชญ์ทั้งสี่คนแตมันกลับพุ่งไปหา วู่ เฟิง อีกครั้ง!