ฟางเจิ้งจือ รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
พวกเขาไม่มีทางที่จะร่วมมือกันได้เลย
แต่เขาก็ไม่สามารถตำหนิวิธีที่หยาน ฉิง ใช้ได้ เหตุผลนั้นง่ายมาก หยาน ฉิง ไม่มีทางฟังคำตำหนิของเขาแน่นอน
ใช่หยาน ฉิง เป็นคนที่มีสายเลือดประหลาด ศักยภาพของร่างกายเขาน่ากลัวมาก แม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญในการใช้เต๋าก็ตาม
และแน่นนอนว่าคนแบบนี้ย่อมมีบทบาทสำคัญตลอดเวลา
เช่นครั้งนี้ที่ต้องต่อสู้กับผู้อาวุโสสี่
ดูเผินๆมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญทุกคนอาจจะคิดว่าผู้อาวุโสวางแผนผิดพลาด ทำให้ ฟาง เจิ้งจือ และ หยาน ฉิง มีโอกาส
อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
ในฐานะผู้อาวุโสสี่ของศาลาเตาสวรรค์แม้เขาจะสูญเสียเหตุผลไปทั้งหมดจากความโกรธ แต่เขาก็ยังมีสติอยู่
หรือก็คือแม้ผู้อาวุโสสี่จะสู้โดยใช้เหตุผลไม่ถูกความโกรธเกรี้ยวครอบงำผลลัพธ์ก็จะออมาเหมือนกันอยู่ดี
เหตุผลนั้นง่ายมาก…
เพราการต่อสู้ร่วมกันของฟาง เจิ้งจือ และ หยาน ฉิง นั้นเป็นไปได้ดี มันทำให้ผู้อาวุโสสี่ต้องตัดสินใจ
เขาต้องพยายามแยกฟาง เจิ้งจือ และ หยาน ฉิง ออกจากกัน
ถ้าเป็นแบบนั้น…
ผู้อาวุโสสี่จะสามารถเอาชนะทั้งคู่ได้อย่างง่ายดาย
มันเป็นสิ่งที่เขาคิด
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดคิดว่าหยาน ฉิง จะเอาหัวโขกเข้ากับหัวของเขา ขณะที่เอามือจับดาบเขาไว้อยู่ มันนอกเหนือจากที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง ยิ่งการต่อสู้ของหยาน ฉิง นั้นมาจากสัญชาตญาน เขาไม่ต้องคิดอะไรแม้แต่น้อย มันยิ่งทำให้การอ่านการเคลื่อนไหวนั้นเป็นไปได้ยากกว่าเดิม
โดยเฉพาะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีใครบ้าพอที่จะเอาหัวตัวเองโขกกับหัวศัตรู?
ดังนั้นแม้ว่าผู้อาวุโสสี่จะใจเย็นแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ความผิดปกติของหยานชิงไม่ได้อยู่ในคุณภาพของร่างกายของเขาหรือความชั่วร้ายที่เขาต่อสู้ในระยะใกล้ไม่ใช่เพราะร่างกายที่แข็งแกร่งของ หยาน ฉิง ไม่ใช่เพราะเขาถนัดการต่อสู้ระยะประชิด แต่เป็นเพราะการต่อสู้ที่ไร้แบบแผนของเขา
”ตูม!”เสียงระเบิดดังขึ้น
ผู้อาวุโสสี่ที่กำลังโซเซไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขามีอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรงพร้อมกับบาดเจ็บที่หัว มันทำให้ร่างกายของเขาเอนไปข้างหน้าก่อนที่จะล้มลงกับพื้น
นับจากวินาทีที่ผู้อาวุโสสี่เอาดาบทั้งสองเล่มออกมาจนถึงช่วงเวลาที่เขาล้มลงกับพื้นนั้นสั้นมากจนน่าขัน
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นความจริง…
แม้แต่เซียนก็ยังมีข้อจำกัดทางกายภาพไม่ว่าหัวจะแข็งแค่ไหนก็มีคนพร้อมที่จะทำให้จุดนั้นบาดเจ็บได้ตลอดเวลา
ผู้อาวุโสสี่นอนนิ่งอยู่บนพื้น
สถานการณ์ในสนามรบพลันเปลี่ยนไปอีกครั้งศาลาเต๋าสวรรค์ที่ตอนแรกได้เปรียบเรื่องที่เป็นเจ้าบ้าน เหลือเซียนแค่สองคนเท่านั้น
ฝั่งฟาง เจิ้งจือ นั้นต่างออกไป
แม้ว่าเหยียน เฉียนหลี่ จะติดอยู่ในระฆัง เซียนสวรรค์พักพิงกำลังพัวพันอยู่กับผู้อาวุโสหก แต่ ฟาง เจิ้งจือ และ หยาน ฉิง ยังสามารถต่อสู้ได้อยู่ นอกจากนี้พวกเขายังมี เหยียน ซิว ที่กลายเป็นอาชูร่าคลั่ง แค่นี้มันก็ทำให้ผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสหกต้องปวดหัวแล้ว
ความจริงผู้อาวุโสสองก็เริ่มหวาดกลัวเช่นกัน
เขาไม่เคยคาดคิดว่าผู้อาวุโสสี่จะแพ้เร็วขนาดนี้นอกจากนี้เขายังแพ้แบบแปลกประหลาด ผู้อาวุโสของศาลาเต๋าสวรรค์จะแพ้ให้กับ ฟาง เจิ้งจือ ที่บาดเจ็บหนัก และ หยาน ฉิง ที่อยู่เพียงระดับจุติได้ยังไงกัน?
”ฟางเจิ้งจือ เจ้ารีบมาช่วยข้าเร็วเข้า ข้ารับมือเขาไม่ได้นานเท่าไรนัก!” อยู่ดีๆผู้อาวุโสสองก็ตะโกนออกมาทันที
”ท่านเองก็เป็นเซียนศิษย์นิกายเงาที่อยู่รอบๆท่านก็แยอะแยะยังต้องการข้าอีกงั้นหรือ?” ฟาง เจิ้งจือ ปวดหัวเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินเซียนสวรรค์พักพิงพูดเขาจึงหันไปมองด้วยความดูถูกทันที
”ข้าเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาไม่ใช่การต่อสู้!”
”แล้ว?”
”ดังนั้นเจ้าควรจะช่วยข้า!”
”โทษทีข้าบาดเจ็บอยู่!” ”…”เซียนสวรรค์พักพิงรู้สึกพูดไม่ออก จริงๆเขาก็รู้สึกผิดเช่นกัน เพราะเหตุผลที่เขาอยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะพยายามช่วย ฟาง เจิ้งจือ
แน่นอนว่าเหตุผลจริงๆที่ทำให้เขาหงุดหงิดไม่ใช่เพราะฟาง เจิ้งจือ อ้างว่าบาดเจ็บและไม่ช่วยเหลือเขา แต่เป็นเพราะทันทีที่ ฟาง เจิ้งจือ พูดจบเขาพุ่งตรงไปหาผู้อาวุโสสองทันที ยิ่งไปกว่านั้นเขาพา หยาน ฉิง ไปด้วย
”เจ้าเด็กเลวข้าฝึกเจ้ามาตั้งสองปี แต่ข้าไม่ได้อะไรเลย!” เซียนสวรรค์สองไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากสบถออกมา
”ในฐานะเซียนแม้ท่านจะไม่เก่งด้านการต่อสู้แต่ท่านก็ควรจะสู้อย่างมีศักดิ์ศรีนะ นอกจากนี้แม้ท่านจะไม่เก่งต่อสู้ แต่ท่านก็ยังมียา ด้วยของพวกนั้นท่านก็น่าจะสามารถสู้ต่อไปได้ บางทีอาจจะทำให้ท่านแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ!”
”เหอะ!ข้ามีทางเลือกด้วยงั้นรึ!” เซียนสวรรค์พักพิงบนออกมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองไปที่ผู้อาวุโสหกที่กำลังฆ่าศิษย์นิกายเงาอยู่ เขาก็กัดฟันแล้วหยิบขวดยาสีเขียวออกมาจากอกเสื้อ ก่อนที่เขาจะเทยาหนึ่งเท็ดเข้าปาก
”ตึง!”
หลังจากที่เขากินไปหนึ่งเม็ดเขาก็ทรุดลงกับพื้น
ในเวลาเดียวกันคลื่นพลังก็ปะทุออกมาจากทางปากและจมูกของเขามันเป็นคลื่นพลังสีเขียวที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
”นั่นมันยาเพลิงปะทุ!”เมื่อผู้อาวุโสหกเห็นพลังสีเขียวที่ลอยออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
”ไม่ใช่!มันคือยา สวรรค์พักพิงเพลิงปะทุ!” เซียนสวรรค์พักพิงแก้ไขให้ถูกต้อง
”มันแตกต่างกันยังไง?”
”แน่นอนชื่อไงล่ะ!”
“…” ปากของผู้อาวุโสหกอ้าค้าง เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออก แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะใช้ดาบสั่งสอนเซียนสวรรค์พักพิงแทน
”ตูม!”
เมื่อผู้อาวุโสหกฟันดาบแรงระเบิดอันรุนแรงก็เกิดขึ้นจากทางผู้อาวุโสสอง ราวกับระฆังทองขนาดใหญ่ถูกกระแทก
ความจริงแล้ว…
เสียงระฆังดังขึ้น
ช่วงเวลาที่ฟาง เจิ้งจือ โจมตีผู้อาวุโสสองด้วยดาบ หยาน ฉิง ก็โจมตีใส่ระฆังทองทันที
เสียงดังก้องกังวานในอากาศ
ระฆังเริ่มเปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆเมื่อหยาน ฉิง โจมตีใส่มัน อักขระนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นบนพื้นผิว
เช่นนั้นแม้มันจะถูกโจมตีหรือทำให้สั่นสะเทือนแต่มันก็ไม่พังทลาย มันมั่นคงเหมือนภูเขาลูกใหญ่
แน่นอนว่าหยาน ฉิง เองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆเช่นกัน
เขาถอยหลับไปสองสามก้าว
เห็นได้ชัดว่าหยาน ฉิง เตรียมจะโจมตีอีกครั้ง
ท่าทีของเขาแน่วแน่เป็นอย่างมากหากครั้งแรกไม่สำเร็จ เขาก็จะลงมือครั้งที่สอง ถ้ายังล้มเหลวอีก เขาก็จะทำครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งที่ห้า เขาจะทำต่อไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะสำเร็จไม่ว่าจะผ่านไปเป็นหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี
มันคือความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขา
อย่างไรก็ตามหยาน ฉิง ถึงกับตัวสั่นกับความคิดนี้ คนปกติทั่วไปรู้ว่าเมื่อมีคนติดอยู่ในระฆัง ใครก็ตามไม่ควรทำให้เขาเป็นอิสระโดยการโจมตีใส่มัน
เหตุผลก็ง่ายๆ
ไม่มีใครสามารถรับเสียงมันได้
ตาของเหยียน เฉียนหลี่ กลายเป็นสีแดงจากผลกระทบครั้งแรก มี่สำคัญหูของเขาไม่สามารถได้ยินอะไรได้อีก
ทั้งหมดที่เขาได้ยินคือเสียงอื้ออึง
ขณะที่หยาน ฉิง วางแผนจะโจมตีใส่ระฆังอีกครั้งนั่นเอง เขาอยากจะพูดออกมาเหลือเกิน “เจ้าเด็กบ้าถ้าเจ้ากล้าโจมตีมาอีก ลองมาสลับตำแหน่งกันดูหน่อยเป็นไง!”
แต่แน่นอนสำหรับคนอย่างเขาที่เป็นผู้ปกครองดินแดนเหลียงตะวันตกจะพูดแบบนั้นออกมาง่ายๆได้ยังไง?
ดังนั้น…
ขณะที่เขาเห็นหยาน ฉิง ถอยหลังไปสามก้าว ทั้งหมดที่เขาทำได้คือโบกมือไป จากนั้นก็พูดด้วยเสียงแหบแห้งออกมา “ชีวิตของข้านั้นไม่มีค่าอะไร เจ้าคิดให้ดีๆ ตอนนี้ควรไปช่วย ฟาง เจิ้งจือ ไม่ใช่รึ!”
”ได้งั้นท่านผู้อาวุโสโปรดระวังด้วย!” หยาน ฉิง ตกตะลึงเล็กน้อย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประทับใจและความเคารพทันที จากนั้นเขาก็พยักหน้าและหันไปทางผู้อาวุโสสองทันที
……………………………………..
พวกเขาไม่มีทางที่จะร่วมมือกันได้เลย
แต่เขาก็ไม่สามารถตำหนิวิธีที่หยาน ฉิง ใช้ได้ เหตุผลนั้นง่ายมาก หยาน ฉิง ไม่มีทางฟังคำตำหนิของเขาแน่นอน
ใช่หยาน ฉิง เป็นคนที่มีสายเลือดประหลาด ศักยภาพของร่างกายเขาน่ากลัวมาก แม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญในการใช้เต๋าก็ตาม
และแน่นนอนว่าคนแบบนี้ย่อมมีบทบาทสำคัญตลอดเวลา
เช่นครั้งนี้ที่ต้องต่อสู้กับผู้อาวุโสสี่
ดูเผินๆมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญทุกคนอาจจะคิดว่าผู้อาวุโสวางแผนผิดพลาด ทำให้ ฟาง เจิ้งจือ และ หยาน ฉิง มีโอกาส
อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
ในฐานะผู้อาวุโสสี่ของศาลาเตาสวรรค์แม้เขาจะสูญเสียเหตุผลไปทั้งหมดจากความโกรธ แต่เขาก็ยังมีสติอยู่
หรือก็คือแม้ผู้อาวุโสสี่จะสู้โดยใช้เหตุผลไม่ถูกความโกรธเกรี้ยวครอบงำผลลัพธ์ก็จะออมาเหมือนกันอยู่ดี
เหตุผลนั้นง่ายมาก…
เพราการต่อสู้ร่วมกันของฟาง เจิ้งจือ และ หยาน ฉิง นั้นเป็นไปได้ดี มันทำให้ผู้อาวุโสสี่ต้องตัดสินใจ
เขาต้องพยายามแยกฟาง เจิ้งจือ และ หยาน ฉิง ออกจากกัน
ถ้าเป็นแบบนั้น…
ผู้อาวุโสสี่จะสามารถเอาชนะทั้งคู่ได้อย่างง่ายดาย
มันเป็นสิ่งที่เขาคิด
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดคิดว่าหยาน ฉิง จะเอาหัวโขกเข้ากับหัวของเขา ขณะที่เอามือจับดาบเขาไว้อยู่ มันนอกเหนือจากที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง ยิ่งการต่อสู้ของหยาน ฉิง นั้นมาจากสัญชาตญาน เขาไม่ต้องคิดอะไรแม้แต่น้อย มันยิ่งทำให้การอ่านการเคลื่อนไหวนั้นเป็นไปได้ยากกว่าเดิม
โดยเฉพาะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีใครบ้าพอที่จะเอาหัวตัวเองโขกกับหัวศัตรู?
ดังนั้นแม้ว่าผู้อาวุโสสี่จะใจเย็นแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ความผิดปกติของหยานชิงไม่ได้อยู่ในคุณภาพของร่างกายของเขาหรือความชั่วร้ายที่เขาต่อสู้ในระยะใกล้ไม่ใช่เพราะร่างกายที่แข็งแกร่งของ หยาน ฉิง ไม่ใช่เพราะเขาถนัดการต่อสู้ระยะประชิด แต่เป็นเพราะการต่อสู้ที่ไร้แบบแผนของเขา
”ตูม!”เสียงระเบิดดังขึ้น
ผู้อาวุโสสี่ที่กำลังโซเซไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขามีอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรงพร้อมกับบาดเจ็บที่หัว มันทำให้ร่างกายของเขาเอนไปข้างหน้าก่อนที่จะล้มลงกับพื้น
นับจากวินาทีที่ผู้อาวุโสสี่เอาดาบทั้งสองเล่มออกมาจนถึงช่วงเวลาที่เขาล้มลงกับพื้นนั้นสั้นมากจนน่าขัน
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นความจริง…
แม้แต่เซียนก็ยังมีข้อจำกัดทางกายภาพไม่ว่าหัวจะแข็งแค่ไหนก็มีคนพร้อมที่จะทำให้จุดนั้นบาดเจ็บได้ตลอดเวลา
ผู้อาวุโสสี่นอนนิ่งอยู่บนพื้น
สถานการณ์ในสนามรบพลันเปลี่ยนไปอีกครั้งศาลาเต๋าสวรรค์ที่ตอนแรกได้เปรียบเรื่องที่เป็นเจ้าบ้าน เหลือเซียนแค่สองคนเท่านั้น
ฝั่งฟาง เจิ้งจือ นั้นต่างออกไป
แม้ว่าเหยียน เฉียนหลี่ จะติดอยู่ในระฆัง เซียนสวรรค์พักพิงกำลังพัวพันอยู่กับผู้อาวุโสหก แต่ ฟาง เจิ้งจือ และ หยาน ฉิง ยังสามารถต่อสู้ได้อยู่ นอกจากนี้พวกเขายังมี เหยียน ซิว ที่กลายเป็นอาชูร่าคลั่ง แค่นี้มันก็ทำให้ผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสหกต้องปวดหัวแล้ว
ความจริงผู้อาวุโสสองก็เริ่มหวาดกลัวเช่นกัน
เขาไม่เคยคาดคิดว่าผู้อาวุโสสี่จะแพ้เร็วขนาดนี้นอกจากนี้เขายังแพ้แบบแปลกประหลาด ผู้อาวุโสของศาลาเต๋าสวรรค์จะแพ้ให้กับ ฟาง เจิ้งจือ ที่บาดเจ็บหนัก และ หยาน ฉิง ที่อยู่เพียงระดับจุติได้ยังไงกัน?
”ฟางเจิ้งจือ เจ้ารีบมาช่วยข้าเร็วเข้า ข้ารับมือเขาไม่ได้นานเท่าไรนัก!” อยู่ดีๆผู้อาวุโสสองก็ตะโกนออกมาทันที
”ท่านเองก็เป็นเซียนศิษย์นิกายเงาที่อยู่รอบๆท่านก็แยอะแยะยังต้องการข้าอีกงั้นหรือ?” ฟาง เจิ้งจือ ปวดหัวเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินเซียนสวรรค์พักพิงพูดเขาจึงหันไปมองด้วยความดูถูกทันที
”ข้าเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาไม่ใช่การต่อสู้!”
”แล้ว?”
”ดังนั้นเจ้าควรจะช่วยข้า!”
”โทษทีข้าบาดเจ็บอยู่!” ”…”เซียนสวรรค์พักพิงรู้สึกพูดไม่ออก จริงๆเขาก็รู้สึกผิดเช่นกัน เพราะเหตุผลที่เขาอยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะพยายามช่วย ฟาง เจิ้งจือ
แน่นอนว่าเหตุผลจริงๆที่ทำให้เขาหงุดหงิดไม่ใช่เพราะฟาง เจิ้งจือ อ้างว่าบาดเจ็บและไม่ช่วยเหลือเขา แต่เป็นเพราะทันทีที่ ฟาง เจิ้งจือ พูดจบเขาพุ่งตรงไปหาผู้อาวุโสสองทันที ยิ่งไปกว่านั้นเขาพา หยาน ฉิง ไปด้วย
”เจ้าเด็กเลวข้าฝึกเจ้ามาตั้งสองปี แต่ข้าไม่ได้อะไรเลย!” เซียนสวรรค์สองไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากสบถออกมา
”ในฐานะเซียนแม้ท่านจะไม่เก่งด้านการต่อสู้แต่ท่านก็ควรจะสู้อย่างมีศักดิ์ศรีนะ นอกจากนี้แม้ท่านจะไม่เก่งต่อสู้ แต่ท่านก็ยังมียา ด้วยของพวกนั้นท่านก็น่าจะสามารถสู้ต่อไปได้ บางทีอาจจะทำให้ท่านแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ!”
”เหอะ!ข้ามีทางเลือกด้วยงั้นรึ!” เซียนสวรรค์พักพิงบนออกมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองไปที่ผู้อาวุโสหกที่กำลังฆ่าศิษย์นิกายเงาอยู่ เขาก็กัดฟันแล้วหยิบขวดยาสีเขียวออกมาจากอกเสื้อ ก่อนที่เขาจะเทยาหนึ่งเท็ดเข้าปาก
”ตึง!”
หลังจากที่เขากินไปหนึ่งเม็ดเขาก็ทรุดลงกับพื้น
ในเวลาเดียวกันคลื่นพลังก็ปะทุออกมาจากทางปากและจมูกของเขามันเป็นคลื่นพลังสีเขียวที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
”นั่นมันยาเพลิงปะทุ!”เมื่อผู้อาวุโสหกเห็นพลังสีเขียวที่ลอยออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
”ไม่ใช่!มันคือยา สวรรค์พักพิงเพลิงปะทุ!” เซียนสวรรค์พักพิงแก้ไขให้ถูกต้อง
”มันแตกต่างกันยังไง?”
”แน่นอนชื่อไงล่ะ!”
“…” ปากของผู้อาวุโสหกอ้าค้าง เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออก แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะใช้ดาบสั่งสอนเซียนสวรรค์พักพิงแทน
”ตูม!”
เมื่อผู้อาวุโสหกฟันดาบแรงระเบิดอันรุนแรงก็เกิดขึ้นจากทางผู้อาวุโสสอง ราวกับระฆังทองขนาดใหญ่ถูกกระแทก
ความจริงแล้ว…
เสียงระฆังดังขึ้น
ช่วงเวลาที่ฟาง เจิ้งจือ โจมตีผู้อาวุโสสองด้วยดาบ หยาน ฉิง ก็โจมตีใส่ระฆังทองทันที
เสียงดังก้องกังวานในอากาศ
ระฆังเริ่มเปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆเมื่อหยาน ฉิง โจมตีใส่มัน อักขระนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นบนพื้นผิว
เช่นนั้นแม้มันจะถูกโจมตีหรือทำให้สั่นสะเทือนแต่มันก็ไม่พังทลาย มันมั่นคงเหมือนภูเขาลูกใหญ่
แน่นอนว่าหยาน ฉิง เองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆเช่นกัน
เขาถอยหลับไปสองสามก้าว
เห็นได้ชัดว่าหยาน ฉิง เตรียมจะโจมตีอีกครั้ง
ท่าทีของเขาแน่วแน่เป็นอย่างมากหากครั้งแรกไม่สำเร็จ เขาก็จะลงมือครั้งที่สอง ถ้ายังล้มเหลวอีก เขาก็จะทำครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งที่ห้า เขาจะทำต่อไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะสำเร็จไม่ว่าจะผ่านไปเป็นหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี
มันคือความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขา
อย่างไรก็ตามหยาน ฉิง ถึงกับตัวสั่นกับความคิดนี้ คนปกติทั่วไปรู้ว่าเมื่อมีคนติดอยู่ในระฆัง ใครก็ตามไม่ควรทำให้เขาเป็นอิสระโดยการโจมตีใส่มัน
เหตุผลก็ง่ายๆ
ไม่มีใครสามารถรับเสียงมันได้
ตาของเหยียน เฉียนหลี่ กลายเป็นสีแดงจากผลกระทบครั้งแรก มี่สำคัญหูของเขาไม่สามารถได้ยินอะไรได้อีก
ทั้งหมดที่เขาได้ยินคือเสียงอื้ออึง
ขณะที่หยาน ฉิง วางแผนจะโจมตีใส่ระฆังอีกครั้งนั่นเอง เขาอยากจะพูดออกมาเหลือเกิน “เจ้าเด็กบ้าถ้าเจ้ากล้าโจมตีมาอีก ลองมาสลับตำแหน่งกันดูหน่อยเป็นไง!”
แต่แน่นอนสำหรับคนอย่างเขาที่เป็นผู้ปกครองดินแดนเหลียงตะวันตกจะพูดแบบนั้นออกมาง่ายๆได้ยังไง?
ดังนั้น…
ขณะที่เขาเห็นหยาน ฉิง ถอยหลังไปสามก้าว ทั้งหมดที่เขาทำได้คือโบกมือไป จากนั้นก็พูดด้วยเสียงแหบแห้งออกมา “ชีวิตของข้านั้นไม่มีค่าอะไร เจ้าคิดให้ดีๆ ตอนนี้ควรไปช่วย ฟาง เจิ้งจือ ไม่ใช่รึ!”
”ได้งั้นท่านผู้อาวุโสโปรดระวังด้วย!” หยาน ฉิง ตกตะลึงเล็กน้อย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประทับใจและความเคารพทันที จากนั้นเขาก็พยักหน้าและหันไปทางผู้อาวุโสสองทันที
……………………………………..