แม้เฉียนยู่จะดูเหมือนไม่ได้โกรธแต่สิ่งที่นางพูดมันทำให้เหล่าศิษย์ตกตะลึง
นายหญิงเฉียนยู่จะลงโทษฟางเจิ้งจือที่บุกเข้ามายังหอคอยหลิงหยุนงั้นหรือ? ศิษย์ต่างมองหน้ากันและไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้
อย่างไรก็ตามพวกเขาตระหนักได้ว่านางทำเพื่อปกป้องเกียรติของหอคอยหลิงหยุนในฐานะผู้นำคนใหม่
เหล่าศิษย์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อหันมองฟางเจิ้งจือ
ท่านแม่ฟางเจิ้งจือ …เขา ปิงหยางอยากจะพูดบางอย่าง แต่นางรู้สึกว่ามีมืออยู่บนไหล่ ปิงหยางตกใจและมองไปที่ฟางเจิ้งจือ อย่างไรก็ตาม ฟางเจิ้งจือขยิบตาให้นางพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา ราวกับว่าเขาไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย เขาหยุดปิงหยางไม่ให้พูดต่อจากนั้นก็พูดอย่างสุภาพว่า ท่านป้า รู้ได้ยังไงว่าข้าเอาดอกไม้ห้าสีไป? เท่าที่จำได้ตอนนั้นท่านยังยังอยู่ในผนึกไม่ใช่หรือ?
ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นที่ข้ารู้ข้ารู้เรื่องที่เจ้าทำกับหยางเอ๋อร์ที่คุกน้ำแข็งด้วย นั่นเพราะข้าอยู่ที่นั่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฉียนยู่ตอบกลับ
คุกน้ำแข็ง?! ปิงหยางตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดและดูเหมือนจะนึกบางอย่างได้
งั้นเงา …เงาที่ข้าเห็นที่คุกน้ำแข็ง จริงๆแล้วก็คือ…
ใช่ข้าเอง …ข้าเห็นเจ้าทุกวัน ข้าคือเงาที่คอยสอนเจ้าทั้งการเคลื่อนไหวร่างกายและวิชาต่างๆ เฉียนยู่พยักหน้า ผมสีขาวของนางพริ้วไหวไปตามสายลม
ถ้างั้นคังเยว่ก็รู้ … ปิงหยางชงักแม้ว่าอยากจะพูดบางอย่างออกไป
ใช่แล้วนางรู้ว่าข้าถูกผนึกไว้ที่คุกน้ำแข็งเพราะนางเองก็เคยเห็นเงาของข้ามาก่อน นางฉลาดพอที่จะเดาออกว่าข้าถูกผนึกไว้ที่คุกน้ำแข็ง เฉียนยู่พยักหน้าอีกครั้ง
เงาในคุกน้ำแข็ง? เมื่อฟางเจิ้งจือได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าปิงหยางพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ได้ยังไงในเวลาเพียงแค่ครึ่งปี
คังเยว่…
ฟางเจิ้งจือไม่รู้ว่าควรยกโทษหรือเกลียดนางต่อไปดีอย่างไรก็ตาม นางได้จากไปแล้ว เขารู้ว่าควรที่จะปล่อยมันไป
เมื่อพูดว่า’ปล่อยมันไป’ ฟางเจิ้งจือหันมองปิงหยางและเฉียนยู่ เขารู้สึกไม่ดีที่ยืนอยู่ระหว่างพวกนางในขณะที่กำลังพูดถึงความทรงจำในอดีต
ปิงหยางข้าขอตัวก่อน เจ้าก็คุยกับท่านป้าต่อไป
เดี๋ยวก่อน!เจ้าคิดว่าจะออกไปทั้งๆที่จะยังไม่รับโทษได้งั้นหรือ? เฉียนยู่ไม่หลงกลฟางเจิ้งจือนางรั้งเขาไว้ในทันที
งั้น…ท่านป้า ท่านหมายความว่า …ข้าจะไปได้ก็ต่อเมื่อรับโทษแล้วงั้นหรือ? ฟางเจิ้งจือ บิดงอริมฝีปากลง
แน่นอน! เฉียนยู่ตอบอย่างจริงจังแม้นางจะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ท่านป้าแม้พวกเราจะได้พบกันเป็นครั้งแรก ทำไมเราต้องเป็นศัตรูกัน? นอกจากนี้ ท่านเองก็ยอมรับในตัวข้าตั้งแต่ตอนที่ยอมให้ข้าเรียกว่า ‘ท่านป้า’ แล้วนี่ ถูกไหม?
หุปปาก! เฉียนยู่ตะหวาดใส่ฟางเจิ้งจืออีกครั้งจากนั้นนางก็มองเขาและพูดว่า ฟางเจิ้งจือ ข้าขอพูดกับเจ้าตรงๆ ดอกไม้ทั้งห้าเป็นสมบัติของหอคอยหลิงหยุน เจ้าจะเอามันไปไม่ได้ นอกจากนี้ ข้าก็ไม่สามารถปล่อยเรื่องที่เจ้าบุกเข้าหอคอยหลิงหยุนไปได้
ท่านป้าอยากจะบอกอะไรข้า?
มันเป็นเรื่องง่ายๆแม้หอคอยหลิงหยุนจะไม่เคยยอมรับศิษย์ผู้ชาย แต่ข้าจะยอมอ่อนข้อให้เจ้า เพราะเจ้าได้ผ่านการทดสอบของพี่ข้าแล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถพักอยู่ที่นี่ได้ นอกจากนี้ …เนื่องจากเจ้ามีความสัมพันธ์กับปิงหยาง เราก็ไม่ควรปล่อยเรื่องนี้ไป วันที่แปดในเดือนถัดไปเป็นวันที่เหมาะกับการแต่งงาน เจ้าสามารถจัดพิธีตามธรรมเนียมที่หอคอยหลิงหยุนได้ แล้วค่อยจัดงานแต่งงานในเมืองภายหลัง เฉียนยู่ตอบอย่างเรียบง่าย
เหล่าศิษย์ตกตะลึงกับสิ่งที่นางพูดแม้แต่ปิงหยางเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
ไม่มีใครสามารถเข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ได้แม้แต่น้อย
แต่งงาน?เฉียนยู่ไม่ได้จะฆ่าฟางเจิ้งจือเพื่อศักดิ์ศรีของหอคอยหลิงหยุนหรอกหรือ? งานแต่งงานหมายความว่ายังไงกัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ท่านป้าท่านบังคับให้ข้าแต่งงานกับปิงหยางงั้นหรือ? ฟางเจิ้งจือประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้ตัวว่าเป็นคนมีสเน่ห์และไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเขา ดังนั้นเขาเตรียมใจไว้แล้ว
เจ้าจะไม่แต่งงั้นหรือ?
เอ่อ…ข้าขอพูดตามตรง ข้ายังเด็กอยู่ บรรพบุรุษของพวกเรา เหล่าชายหนุ่มต้องมีความทะเยอทะยาน ดังนั้น คนจริงอย่างข้าควรจะต่อสู้อย่างสมเกียรติในสนามรบมากกว่า…
แม้ว่าจะแต่งงานกับหยางเอ๋อร์แล้วเจ้าก็ยังสามารถทำเช่นนั้นได้นอกจากนี้ หยางเอ๋อร์คือองค์หญิงของอาณาจักรเซี่ย ดังนั้นเจ้าจะกลายเป็นเขยขององค์จักรพรรดิ ข้าจะเสนอชื่อของเจ้าที่หอคอยหลิงหยุนด้วย ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้นำคนต่อไปของหอคอยหลิงหยุนในอีกร้อยปี เฉียนยู่โบกมือและขัดจังหวะเรื่องไร้สาระของฟางเจิ้งจือ
เป็นความคิดที่ดี ฟางเจิ้งจือยิ้มและพยักหน้า
หมายความว่าเจ้าเห็นด้วยกับข้อเสนอใช่ไหม? รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของเฉียนยู่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งที่กำลังละลาย
ข้าชอบข้อเสนอแต่…
แต่อะไร?!
ข้าบอกแล้วไงว่าข้านั้นเป็นลูกผู้ชายตัวจริงดังนั้น ข้าอยากทำด้วยตัวเองมากกว่าใช้เส้นสายของท่าน นอกจากนี้ ยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงวันที่แปดในเดือนหน้า ข้าไม่มีเวลามัวอยู่ที่นี่จนจะถึงวันนั้นหรอก ฟางเจิ้งจือส่ายหัว
แก้มของปิงหยางกลายเป็นขาวซีดอย่างไรก็ตามนางยังคงเงียบและจ้องมองฟางเจิ้งจือ
ไม่มีเวลางั้นเหรอ? ดูเหมือนเฉียนยู่จะไม่พอใจในคำตอบของเขา
ใช่แล้วข้าต้องไปที่ศาลาหยินหยางเพื่อตามหาคน! ฟาง เจิ้งจือ พยักหน้า
เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนและมันเป็นเวลาที่เพียงพอสำหรับการเตรียมงาน รอไม่ได้เลยงั้นหรือ?
รอไม่ได้
ถ้าข้าอยากให้เจ้ารอล่ะ?
ท่านป้าความสัมพันธ์ที่เกิดจากการบังคับไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอก
อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่เหลือความสัมพันธ์ต่อกันเลย
ท่านป้าเราพึ่งพบกันครั้งแรก เรายังไม่รู้จักกันดีเลย มันจะดีกว่าไหมถ้าเราทำความรู้จักกันมากกว่านี้ก่อนตัดสินใจ?
เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าเรา…ข้าเชื่อว่ามันเป็นชะตากรรมที่เราได้มาพบกัน
ฝ่าบาทยอมรับเรื่องนี้ได้หรือ? ฟางเจิ้งจือรู้สึกว่าตัวเองได้พบกับคนที่มีฝีปากพอกันเป็นครั้งแรก
เขาย่อมฟังข้าอยู่แล้ว
ท่านป้าท่านต้องการเช่นนั้นจริงๆหรือ? ใช่แล้ว!
ท่านป้าแม้ว่าท่านจะแข็งแกร่ง แต่ท่านมั่นใจหรือว่าจะหยุดยั้งข้าได้? ฟางเจิ้งจือยิ้มอย่างมั่นใจ
เจ้าพูดถูกข้าอาจจะหยุดเจ้าไม่ได้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนเจ้าจะลืมอะไรบางอย่างไป เฉียนยู่ยิ้มอย่างมั่นใจเช่นกัน
อะไร…?
ตอนนี้เจ้าอยู่ในหอคอยหลิงหยุน
แล้วยังไง? ท่าทีของฟางเจิ้งจือเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะเขาลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ ที่สำคัญกว่านั้น เนื่องจากเฉียนยี่ตาย ดินแดนหลิงหยุนจึงสมบูรณ์แล้ว
หยางเอ๋อร์ไปกันเถอะ! ในตอนที่เฉียนยู่พูด เขารู้สึกว่าร่างของปิงหยางหายวับไป นางหายไปแล้ว
และไม่ใช่แค่ปิงหยาง… เฉียนยู่ แม้แต่เหล่าศิษย์ทั้งหมดก็หายไปในพริบตา สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือเทือกเขาสูง และสายลมที่เงียบสงบ
ดวงจันทร์แปดดวงบนท้องฟ้าหายไปเหลือเพียงดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงบนท้องฟ้า สาดสะท้อนเงาของฟางเจิ้งจือลงบนพื้นดิน
…
ฟางเจิ้งจือเหลือบมองรอบๆอย่างโดดเดี่ยวแม้เขาจะไม่ชอบการสาบถ แต่ตอนนี้เขาอยากทำแบบนั้จริงๆ เชี่ยเอ้ย!
…
ดินแดนส่วนหนึ่งปกคลุมด้วยหิมะขาวแม้จะอยู่ในฤดูร้อน แต่เกล็ดหิมะยังคงลอยในอากาศ
สุสานหนานกงสถานที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี
ไม่มีสิงใดอื่นนอกจากหินนับไม่ถ้วนที่ตั้งตระหง่านไม่มีใครรู้ว่าพวกมันตั้งอยู่นานแค่ไหนแล้ว
แน่นอว่ามีต้นไม้ยังตั้งอยู่หน้าสุสานหนานกงในขณะนี้ ต้นไม้สูงจนเกือบถึงกลุ่มเมฆดอกไม้สีขาวเบ่งบานอยู่บนกิ่งไม้ กลีบดอกส่องสว่างด้วยแสงสีเงิน
เจ้าเห็นนั่นไหม?
ชายวัยกลางคนยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้และชี้ขึ้นไปเขาสวมชุดคลุมบาง ชายคนนี้คือหัวหน้าตระกูลหนานกง หนานกงเทียน
ผลไม้ที่ใส่ราวกับคริสตัลออกผลอยู่บนยอดไม้
สิ่งสำคัญที่สุดคือมันปล่อยบรรยากาศที่อุดมสมบูรณ์ออกมาตลอดเวลา
… ชายที่ยืนอยู่หน้าหนานกงเทียนพยักหน้า ชุดสีฟ้าครามของเขาถูกหิมะปกคุลมเล็กน้อย และรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่ดูป่าเถื่อน อย่างไรก็ตาม ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความหนักแน่น
หนานกงมู่ผู้ที่ถูกตระกูลมองข้ามมาตลอดตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้
เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
อย่างไรก็ตามเขารู้ว่านี่เป็นชะตากรรมของเขาซึ่งมันติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด เขาไม่สามารถต่อต้านได้
เจ้าพร้อมแล้วจริงๆใช่ไหม? หนานกงเทียนจ้องที่หนานกงมู่และถาม
ใช่แล้ว หนานกงมู่เพียงพยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ความตั้งใจของไม่มีอะไรที่ส่งผลกระทบได้
ถ้าเจ้ายังแข็งแกร่งไม่พอร่างของเจ้าจะระเบิดออกหลังจากกินผลไม้นั่น แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ เจ้ามั่นใจหรือว่าจะเอาชีวิตรอดได้? หนานกงเทียนถามขึ้นมาอีกครั้ง
ใช่ หนานกงมู่ไม่ได้พยักหน้า แต่เขากัดฟันและปลดปล่อยจิตสังหารออกมาจากร่างกาย
งั้นเจ้าจงทำหน้าที่ลูกหลานตระกูลหนานกงให้ดีต่อให้เจ้าไม่เก่งการเท่าพี่ของเจ้า แต่สายเลือดตระกูลหนานกงยังคงไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า! ราวกับตัดสินใจได้แล้ว หนานกงเทียนไม่คิดจะถามหนานกงมู่อีก
ท่านพ่อ! ร่างของหนานกงมู่สั่นไหว เขาไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป เขากำหมัดแน่น หน้าขาวซีด
มีอะไรงั้นรึ? หนานกงเทียนถามหนานกงมู่ด้วยความสับสนเล็กน้อย
วันหนึ่งข้าจะเอาชนะพี่ชายของข้าให้ได้!
ตูม!
หิมะบนต้นไม้ร่วงหล่นลงมาหลังจากเขาพูดจบ
มันทำให้หนานกงเทียนตกใจเล็กน้อย
เขาไม่ได้หลีกเลี่ยงหิมะที่ร่วงหล่นหรือกวาดมันไปเขาปล่อยให้มันตกกระทบใส่หน้าเขา
เอาชนะเฮาเอ๋อร์? ริมฝีปากของหนานกงเทียนขยับเล็กน้อย ราวกับเขากำลังรู้สึกขัดแย้ง แต่เขาก็ตัดสินใจส่ายหัวและพูดออกมา มันเป็นเรื่องดีที่เจ้ามีความทะเยอทะยาน อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะคนที่มีพรสวรรค์โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ต่อให้จะพยายามแค่ไหนก็ตาม…
หิมะยังคงร่วงหล่น
หนานกงมู่จ้องมองไปที่ผลไม้ที่ใสราวกับแก้วเขาได้ยินที่หนานกงเทียนพูดชัดเจน เขามักจะได้รับคำตอบแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว
……………………………………..