การทำข้อสอบไม่เป็นหรือทดสอบสติปัญญาไม่เป็นประโยชน์ มู่ฉิงเฟิงได้ฟังเสียงพึมพำท่ามกลางกลุ่มคน เขาหลับตาลงก่อนจะพูดต่อ อืม…ด้วยวิธีในการบ่มเพาะพลังของพวกเราทั้งห้าสำนักนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นข้าขอแนะนำให้จัดการแข่งขันต่อสู้!
การแข่งขันการต่อสู้?
ทุกคนต่างตกตะลึง
ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรจะเริ่มสงครามในตอนนี้ไม่ใช่หรือ?
ใช่รวมทั้งจำนวนสำนักและผู้คนในตอนนี้ พวกเราต้องใช้เวลามากแค่ไหนกันในการจัดการแข่งขัน? ทุกคนต่างอยู่ในความสับสน
ท้ายที่สุดต้องมีผู้ตัดสินและสถานที่ที่ดี เพราะนอกจากเวลาที่ใช้แล้วต้องมีผ้ตัดสินที่ยุติธรรมและสามารถเชื่อถือได้
ท่านมู่ท่านแนะนำวิธีเช่นนี้ออกมาไดยังไง? ในด้านการฟาดฟันดาบ ข้าเกรงว่าคงสู้ใครไม่ได้ โม่ฉานฉือขมวดคิ้ว
ท่านโม่ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว มู่ฉิงเฟิงส่ายหัว เขายังคงนิ่งเงียบรอให้เสียงผู้คนเงียบลง การแข่งขันที่ข้าพูดถึงนั้นไม่ใช้ของผู้นำทั้งห้าสำนัก
ถ้าไม่ใช้ของผู้นำแล้ว…
ถูกต้องผู้นำทั้งห้านิกายจะไม่เข้าร่วม มู่ฉิงเฟงพูดอย่างชัดเจน
ผู้คนต่างนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ถ้าผู้นำทั้งห้าสำนักไม่ข้าร่วม แล้วใครล่ะที่จะเข้าร่วม…
ใช่ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่เข้าร่วมผู้นำของสำนักอื่นๆก็เข้าร่วมอยู่ดี!
ทุกคนต่างมองไปที่มู่ฉิงเฟิงด้วยสายตาอันเคลือบแครง
ที่ข้าหมายถึงคือถ้าผู้นำสักเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่ามันจะนำมาซึ่งความขัดแย้งและความไม่สงบแน่นอน และมันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินผู้ชนะ สิ่งที่พวกเราต้องทำคือส่งผู้เยาว์เข้าร่วมในการแข่งขันครั้งนี้!
ผู้เยาว์?! ทุกคนต่างเบิกตากว้างมองมู่ฉิงเฟิง จากนั้นก็หันไปมองฉือกูเหยียน ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจคำพูดของมู่ฉิงเฟิง
สรุปคือท่านมู่จะให้ผู้เยาว์ของแต่ละสำนักเป็นตัวแทนในการต่อสู้ครั้งนี้ใช่หรือไม่? โม่ฉานฉือถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
ใช้แล้วพวกเราจะจำกัดอายุผู้ที่เข้าร่วมให้ต่ำกว่าสามสิบปีมันถือเป็นการทดสอบที่ดีต่อผู้นำสำนักรุ่นต่อไปและให้โอกาสพวกเขาในการแสดงความสามารถ มู่ฉิงเฟิงพยักหน้า
ข้าเห็นด้วยกับท่านมู่!
ข้าก็เช่นกัน
ให้พวกผู้เยาว์เข้าร่วมการแข่งขันนี้จะเป็นการดีที่สุด!
ผู้นำสำนักจำนวนมากแสดงความเห็นด้วยในทันทีสำหรับพวกเขาแล้วการแข็งขันนี้นอกจากเป็นการแสดงความสามารถของผู้เยาว์แล้วนั้นยังเป็นโอกาสของสำนักเล็กๆให้แสดงถึงความสามารถของพวกเขาอีกด้วย เพราะถ้าให้ผู้นำสำนักมาสู้กันเองสำนักเล็กๆไม่มีทางสู้ทั้งห้าสำนักได้อย่างแน่นอน
เป็นเพราะฉือกูเหยียนงั้นหรือ…? ในด้านของพรสวรรค์ของฉือกูเหยียนนั้นเป็นที่ประจักษ์กันดี บางที่มู่ฉิงเฟิงอาจจะใช้การแข่งขันนี้เพื่อแสดงความสามารถของนาง นั่นเป็นสิ่งที่โม่ฉานฉือคิด
ข้าเห็นด้วยกับท่านแต่ข้ามีเรื่องร้องขอเล็กน้อย! โม่ฉานฉือกล่าวขึ้นมา
เชิญท่านพูดได้เลย มู่ฉิงเฟิงตอบกลับเรียบๆ
ในเมื่อการแข่งขันนี้จัดขึ้นให้ผู้เยาว์ได้แสดงความสามารถข้าคิดว่าเงื่อนไขในการชนะคือชนะสองในสามรอบ! โม่ฉานฉือเหยียดยิ้มอันเยือกเย็น แม้ฉือกูเหยียนจะเก่งกาจแค่ไหนแต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะเซียนหลายคนติดๆกัน
สองในสามรอบงั้นหรือ? ใช่ด้วยกฎนี้แต่ละสำนักจะส่งศิษย์หนึ่งหรือสามคนออกมาก็ได้เป็นการเพิ่มความหลากหลายที่มากขึ้น!
อืมคำแนะนำของท่านโม่เยี่ยมมาก! ผู้นำอีกสำนักอื่นเห็นด้วยกับโม่ฉานฉือในทันที
-ข้าเองก็เห็นด้วยเช่นกันเป็นการเพิ่มความยืดหยุดในการแข่งขันได้ดีมาก! ตามมาด้วยเสียงสนับสนุนของผู้นำสำนักคนอื่นๆทันที
มู่ฉิงเฟิงขมวดคิ้วแล้วหันไปมองฉือกูเหยียนโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาความไม่พอใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาชัดเจน เขาต้องการชนะในรอบเดียวเพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นดั่งที่เขาต้องการ เขาเลือกที่จะจำกัดอายุหรือให้ผู้นำสำนักไม่ลงแข่งแล้ว แต่ทกอย่างก็ไม่เป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้
ฉือกูเหยียนก็เห็นความกังวลของมู่ฉิงเฟิงเช่นกันนางทำเพียงพยักหน้าให้มู่ฉิงเฟิงเป็นเชิงไม่คัดค้านอะไร ก็ได้ตกลงตามที่ท่านโม่กล่าว ต้องชนะสองในสามรอบ มีใครต้องการพูดอะไรอีกไหม มู่ฉิงเฟิงเห็นท่าทีของฉือกูเหยียนจึงกล่าวออกมาในทันที
ไม่มีใครคัดค้านอะไร
ในเมื่อไม่มีใครคัดค้านอะไรข้าและผู้นำสักนักคนอื่นๆจะจัดตารางแข่งขันโดยการจับฉลาก สำนักเล็กๆอื่นๆสามารถสมัครเข้าร่วมได้ตามใจ มู่ฉิงเฟิงประกาศอีกครั้ง
สมัคร?
สำนักอื่นๆมองหน้ากันไม่มีใครกล้าเอาตัวเองไปสู้กับคนของทั้งห้าสำนัก
สมัครได้ตามใจพวกเจ้าเลยคิดว่าห้าสำนักต้องเห็นใจพวกเจ้าทั้งหมดหรือไง ทั้งที่พวกเจ้าไม่สามารถรับมือกับความสูญเสียได้แท้ๆ… โม่ฉานฉือกล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอันเยือกเย็นพร้อมมองไปยังสำนักเล็กๆที่ก่อนหน้านี้กำลังตื่นเต้น แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย การแข่งขันแบบนี้การบาดเจ็บและล้มตายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีเรื่องอะไรต้องแปลกใจงั้นรึ?
ตาย…. ศิษย์ของสำนักเล็กๆต่างหน้าซีดขาวพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเข้าร่วมแม้แต่น้อย ด้านผู้นำของแต่ละสำนักพวกเขาคิดว่าแม้การแข่งขันแบบนี้จะเป็นโอกาสที่ดี แต่ด้วยจำนวนศิษย์หัวแถวที่มีไม่ได้มากขนาดนั้น การสูญเสียแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นเรื่องใหญ่
ข้าไม่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้! ผู้นำสำนักคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา
สำนักวังดำเองก็ไม่ขอเข้าร่วมเช่นกัน!
สำนักหงส์รุ้งก็ขอไม่เข้าร่วม!
สำนักจำนวนมากกล่าวขึ้นมาพร้อมๆกันพวกเขาไม่อยากจะยอมรับ แต่มันก็เป็นเรื่องเสี่ยงจริงๆที่จะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของทั้งห้าสำนัก
เหอะพวกเจ้ามันขี้ขลาด สำนักซวนจีจะเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้! เสียงหนึ่งดังขึ้นมา พร้อมกับร่างหนึ่งเดินออกมาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสี่สิบปีสะพายดาบเก้าเล่มอยู่ด้านหลัง ตามมาด้วยเด็กหนุ่มสองคนและเด็กสาวหนึ่งคนอายุประมาณยี่สิบปี บรรยากาศรอบตัวของพวกเขาดูแข็งแกร่งมาก
สำนักซวนจี?!
ใช่แล้วบางที่อาจจะมีแค่พวกเขาที่กล้าท้าทายทั้งห้าสำนัก!
พวกเขาแข็งแกร่งมากอิทธิพลของพวกเขาในอาณาจักรนักรบสูงสุดกับอาณาจักรแสงจันทร์ก็มากมาย บางที่พวกเขาอาจจะสามารถก้าวขึ้นเป็นสำนักที่หกเลยก็ได้!
แต่ยังไม่หมดแค่นั้น
อืมสำนักซวนจีแข็งแกร่งจริงๆแต่พวกเราก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน นิกายเงาขอเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย!
ขณะที่ฝูงคนกำลังให้ความสนใจกับสำนักซวนจีเสียงอันสดใสก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง นิกายเงา?!
พวกเขาจะเข้าร่วมด้วยงั้นรึ?!
ข้าได้ยินมาว่านิกายเงาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ที่ตีนเขาศาลาเต๋าสวรรค์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนดูเหมือนพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากในเวลามากี่ปี!
ผู้คนต่างมองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นก็มีหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่งเดินออกมาจากผู้คนของอาณาจักรเซี่ย
เห้อแค่คิดว่านิกายเงาธรรมดาๆพัฒนาขึ้นมากเพราะเจ้าข้าก็รู้สึกแย่แล้ว… ผู้นำสักนักซวนจี ชื่อว่าซูเหลียนกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทีไม่ยินดีนัก
อีกามักไม่เข้าใจความทะเยอะทะยานของหงส์หรอก! วู่จวี้เอ๋อร์ตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน
วู่จวี้เอ๋อร์เจ้ากล้าว่าข้างั้นรึ แม้เจ้าจะเป็นผู้นำนิกายเงา แต่ข้ามีอวุโสมากกว่าเจ้านะ?! น้ำเสียงของซูเหลียนแฝงไว้ด้วยความโกรธทันที
จริงๆแล้วทั้งสองฝั่งล้วนขัดแย้งกันมานานแล้วสำนักซวนจีนั้นมีอิทธิพลในอาณาจักรนักรบสูงสุดและอาณาจักรแสงจันทร์เท่านั้น เพราะการปรากฎตัวขึ้นของนิกายเงาที่สมัยก่อนทำเพียงเรื่องธุรกิจและมีชื่อเสียงในหมู่สำนักอื่นๆเท่านั้น อย่างไรก็ตามในช่วงสองปีมานี้นิกายเงาได้เข้าครอบงำทั้งสี่อาณาจักรและแน่นอนมันย่อมเกิดการกระทบกระทั่งกับสำนักซวนจีแน่นอน
……………………………………..