… มู่ฉิงเฟิงรู้สึกพูดไม่ออกจริงๆ
’เขาซ่อน?’
’เจ้าเด็กนั่นหนีไปซ่อนจริงๆ?!’
มู่ฉิงเฟิงคิดมาตลอดว่าตัวเองรู้ถึงความไร้ยางอายของฟางเจิ้งจือดีอย่างไรก็ตามเมื่อเห็นเรื่องตรงหน้าเขารู้สึกว่าตัวเองนั้นประเมิณฟางเจิ้งจือต่ำไป
เจ้าเด็กนี่พึ่งบอกว่าขาตัวเองเจ็บไม่ใช่รึ?ถำไมเขาถึงหนีได้เร็วขนาดนี้? จะมีใครไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีกไหม?!
มู่ฉิงเฟิงรู้สึกโกรธจนแทบอยากจะไปลากฟางเจิ้งจือออกมาจากหลังรูปปั้น อย่างไรก็ตามเขาไม่มีเวลาทำเช่นนั้น เพราะสถานการณ์ตอนนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาแล้ว ทุกสำนัก ทุกนิกายล้วนมีส่วนร่วมในความวุ่นวายครั้งนี้
แน่นอนว่ามีเหตุผลสำคัญ ฟางเจิ้งจือพาฉือกูเหยียนไปด้วยมู่ฉิงเฟงจึงพูดอะไรไม่ได้มากนัก
บุกเข้าไป!
ไปเอาผลไม้เทพเจ้ากลับมา!
ฆ่าหนานกงเฮา!
ศิษย์ทุกคนราวกับบ้าคลั่งเพราะคำพูดของฟางเจิ้งจือประกายดาบส่องแสงออกมาตลอดเวลา
ตูม!
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นตลอดเวลา
เซียนของตระกูลหนานกงจำนวนหนึ่งสร้างวงกลมขนาดใหญ่ล้อมรอบหนานกงเฮาเอาไว้เพื่อป้องกันอันตรายอย่างไรก็ตามศิษย์ที่พุ่งเข้าไปมีจำนวนมากเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้มีพลังอย่างต่ำก็อยู่ในระดับอภินิหารขึ้นไป อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ส่งผลมากนักเพราะว่า…
ศิษย์ของสำนักใหญ่ทั้งห้ายังไม่ได้เข้าร่วมแม้พวกเขาจะดูรู้สึกตื่นเต้นมากก็ตาม
อย่างไรก็ตามทันใดนั้น ฆ่า! ล้างแค้นให้ท่านเทียนซิง! ด้วยการนำของผู้อาวุโส ศิษย์จำนวนหนึ่งของเก้าขุนเขาเข้าร่วมการต่อสู้ทันที
ฉากนี้ไม่ได้ทำให้อีกสี่สำนักที่เหลือลดการป้องกันลงแต่อย่างใดเพราะสิ่งที่หนานกงเฮาพูดนั้นเป็นการยอมรับอ้อมๆว่าตระกูลหนานกงอยู่เบื้องหลังการตายของเทียนซิง
อย่างไรก็ตามความสมดุลนั้นแทบจะถูกทำลายทันทีเมื่อเก้าขุนเขาเข้าร่วม
ถ้าสำนักทั่วไปได้ผลไม้เทพเจ้าไปครอบครองอาจจะไม่ได้มีผลอะไรมากนักแต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเก้าขุนเขาได้ไป? สมดุลพลังระหว่างห้าสำนักจะพังลงทันที
พวกเราควรทำยังไงดี? ผู้อาวุโสกู่หยวนมองไปทางเก้าขุนเขาด้วยความกังวล
พวกเจ้าคิดว่ายังไง? โม่ฉานฉือขมวดคิ้วแน่น
แม้แต่เขาเองจะปล่อยผ่านเรื่องตรงหน้าไปก็ใช่เรื่องง่าย?แต่ด้วยประสบการณ์อันยาวนานของเขายิ่งสถานการณ์วุ่นวายมากแค่ไหนยิ่งควรมีความสงบมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเหตุแห่งความวุ่นวายทำให้เขาสงบไม่ได้มากนัก
เก้าขุนเขาเคลื่อนไหวแล้วถ้าเขายังมัวลังเลจะพลาดโอกาสสำคัญไป
สามสำนักที่เหลือยังไม่เคลื่อนไหวข้าคิดว่าพวกเราควรดูต่ออีกหน่อย! หนึ่งในผู้อาวุโสเสนอความคิดเห็นทันที
ข้าคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีเท่าไรด้วยมีหลายสำนักที่เกี่ยวข้อง ข้าสงสัยว่าตระกูลหนานกงจะต้านไว้ได้นานเท่าไร
ใช่ถ้าถึงตอนนั้นเก้าขุนเขาได้ผลไม้เทพเจ้าเขาย่อมได้รับการสนับสนุนจากสำนักเล็กๆอื่นๆ!
ข่าคิดว่าผู้อาวุโสเจ็ดและแปดพูดถูกเห็นได้ชัดว่าตระกูลหนานกงต้องแพ้แน่นอน! ผู้อาวุโสต่างมีความคิดเห็นที่ต่างกันออกไป
ท่านโม่ข้าคิดเช่นเดียวกันตอนนี้ถ้าพวกเราเข้าร่วมก็ไม่ได้ถือว่าเป็นกลุ่มแรก และเมื่อผลการต่อสู้ออกมาพวกเราก็ไม่ได้ถือว่าช้าเกินไป ทำไมพวกเราไม่นำศิษย์จำนวนเข้าร่วมการต่อสู้ไปก่อน พวกเราค่อยเปลี่ยนท่าทีที่หลังก็ได้ถ้ามีอะไรผิดจากที่คาดการณ์ พวกเราจะปล่อยให้เก้าขุนเขาเอาผลไม้นั่นไปไม่ได้! กู่หยวนอธิบายเพิ่มเติม
ใช่แล้วท่านกู่พูดถูก แม้พวกเราจะไม่ได้ผลไม้ แต่เก้าขุนเขาก็ต้องไม่ได้ไปเช่นกัน! ผู้อาวุโสอีกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ใบหน้าอันตึงเครียดของโม่ฉานฉือค่อยๆผ่อนคลายลงแม้เขายังคงกำมือแน่นอยู่ก็ตามเขามองไปทางศาลาเต๋าสวรรค์ที่ยังคงนิ่งเฉยกับสถานการณ์ตรงหน้า จากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดออกมา ตาเฒ่ามู่ ถ้าศาลาเต๋าสวรรค์กลัวตระกูลหนานกงจนไม่ยอมเคลื่อนไหว งั้นหุบเขาฟู่ซี่ก็เต็มใจเป็นคนนำรบเอง ผู้อาวุโสกู่พวกเราไปกันเถอะ!
รับทราบท่านโม! กู่หยวนเข้าใจคำพูดของโม่ฉานฉือทันที เขาพุ่งออกไปพร้อมศิษย์จำนวนหนึ่ง
มู่ฉิงเฟิงไม่สามารถนั่งเฉยๆได้อีกต่อไปเมื่อเห็นเรื่องนี้
เขารู้เจตนาของโม่ฉานฉือดีพวกเขาต้องการลากศาลาเต๋าสวรรค์เข้าไปเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายด้วย
ศาลาเต๋าสวรรค์และหุบเขาฟู่ซี่ต่างเป็นพันธมิตรและเคลื่อนไหวร่วมกันมาตลอดเวลา
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เคลื่อนไหวได้!
รับทราบ! ตามคำสั่งของมู่ฉิงเฟิง หนึ่งในผู้อาวุโสก็พุ่งออกไปพร้อมศิษย์จำนวนหนึ่งทันที
พวกเขาเลือกที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมไม่ได้เลือกที่จะมุ่งเป้าไปที่ผลไม้ในทันที
ซิงพวกเราควรทำยังไง? เต๋าฮุนถามขึ้นมาเช่นกัน ราวกับเขาต้องการความคิดเห็นของเต๋าซิง
อย่างไรก็ตามเขายกมือตามขึ้นมาทันทีราวกับเขาตัดสินใจเอาไว้แล้ว
เต๋าซิงก้มหน้าไปสักพักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งราวกับตัดสินใจได้แล้วเช่นกัน
อืมเป็นการดีกว่าถ้าเราเองก็เข้าร่วม!
อืมงั้นก็อย่ามัวรอช้า! เต๋าฮุนพยักหน้า ก่อนจะโบกมือซ้ายของตัวเองทันที
รับทราบ! ผู้อาวุโสคนหนึ่งเข้าใจได้ในทันทีก่อนจะพาศิษย์เข้าร่วมการต่อสู้ทันที
ตอนนี้เหลือแต่หอคอยหลิงหยุนเท่านั้น
ท่านผู้คุมหอคอยพวกเราควรเข้าร่วมการต่อสู้ไหม? หญิงสาวในชุดสีแดงถามเฉียนยู่ขึ้นมา
ไม่ต้องรีบ! รับทราบ หญิงในชุดแดงเหมือนต้องการจะพูดบางอย่าง แต่นางก็เลือกที่จะพยักหน้าทันที
ดวงตาของเฉียนยู่สงบราวกับสายน้ำ
อย่างไรก็ตามสายตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่ฟางเจิ้งจือที่ซ่อนอยู่หลังรูปปั้น
ด้านฟางเจิ้งจือเขากำลังมองการต่อสู้อย่างผ่อนคลาย
อย่างไรก็ตามท่าทีของเขาดูผิดหวังเล็กน้อยโดยเฉพาะเมื่อเซียนแต่ละฝ่ายยังไม่ได้สู้กันอย่างเต็มที่ มันทำให้การต่อสู้นั้นยืดยาวออกไปขึ้น
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา
เกล็ดหิมะแต่ละเกล็ดคมราวกับมีดเมื่อกระทบร่างกายก็เริ่มสร้างบลาดแผลให้เหล่าศิษย์
อ้าก!
อ้ากก!!
เลือดไหลนองไปทั่วสนามรบ ท่าทีสบายๆของฟางเจิ้งจือหายไปทันที
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ฟางเจิ้งจือมืองไปรอบๆและเห็นเฉียนยู่มองมาที่เขาอยู่ ที่สำคัญดูเหมือนนางกำลังยิ้มอยู่เล็กน้อย
้เจ้าเด็กสารเลวคิดว่าข้าจะตกหลุ่มพรางเข้าไปร่วมการต่อสู้งั้นรึ? นี่คือความคิดของเฉียนยู่
ฟางเจิ้งจือกับเฉียนยู่ยังคงจ้องตากันไปมาจนกระทั่ง….
ดูสิทุกคนหอคอยหลินหยุนต้องการดูอยู่เฉยๆและรอเอาผลประโยชน์ในตอนจบ พวกนางคงไม่เข้าใจคำว่าการร่วมทุกข์ร่วมสุขสินะ?
แน่นอนว่ามันเป็นเสียงของฟางเจิ้งจือ
…
…
อารมณ์ของเฉียนยู่ไม่ดีเท่าไรนักนางคิดมาเสมอว่าตัวเองมีความอดทน แต่นางก็อดสงสัยไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงฟางเจิ้งจือ แม้แต่ศิษย์ที่อยู่รอบๆตัวนางต่างตกตะลึงกับคำพููดของฟางเจิ้งจือ
สายตาของผู้คนในลานประลองต่างจับจ้องมาที่พวกนางแทบจะทันทีตอน 886 แสดงพลังที่แท้จริง
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมเสมอมาต่อให้หอคอยหลิงหยุนจะวางตัวนิ่งเฉยเสมอมาใช่ว่าพวกนางจะทนสายตาของคนรอบข้างได้ โดยเฉพาะเฉียนยู่ที่ไม่ได้หน้าหนาเหมือนฟางเจิ้งจือ
ตอนนี้หอคอยหลิงหยุนอยู่ในสถานการณ์ที่กระอักกระอวนเป็นอย่างมากแม้พวกนางจะมีชื่อเสียงในฐานะห้าสำนักใหญ่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ใช่ว่าทุกคนจะยอมให้พวกนางยืนรออยู่เฉยๆ
พวกเราควรทำยังไงดี? หญิงสาวในชุดสีแดงที่ยืนอยู่ด้านข้างเริ่มสัมผัสได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรนางจึงถามด้วยความกังวลขึ้นมาทันที
’เจ้าเด็กสารเลวกล้าลอบกัดข้าได้ยังไง!’เฉียนยู่กำลังโกรธจริงๆ แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพราะฟางเจิ้งจือพูดออกมาแล้ว ’ข้าต้องคอยให้เจ้าเด็กนั่นมาจูงจมูกงั้นรึ?’
เห็นได้ชัดว่านางไม่ยอมรับเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ของนาง แค่มันรวมไปถึงสายตาคนรอบนอกที่มองต่อหอคอยหลิงหยุน
’ข้าควรทำยังไงดี?’
นางกำลังโกรธมากแต่นางต้องพยายามใจเย็นลง!
อาพวกท่านไม่สามารถจัดการหนานกงเฮาได้งั้นหรือ? แม้แต่รวมพลังกันถึงสี่สำนักแล้วก็ตาม? เห้อ…ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงไม่แข็งแกร่งเท่าเมื่อก่อนแล้ว! เฉียนยู่ยืนขึ้นพร้อมองไปรอบๆด้วยท่าทีอันสง่างาม
ศิษย์ที่อยู่รอบๆต่างเบิกตากว้างแม้แต่มู่ฉิงเฟิง โม่ฉานฉือหรือคนอื่นๆที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เองก็ต่างตกใจกับคำพูดของนาง
เพราะหอคอยหลิงหยุนพูดราวกับพวกเขานั้นไร้ประโยชน์
เชี่ย! เห็นอยู่ว่านางไม่อยากสูญเสียศิษย์ของตัวเองไปแต่นางยังกล้าพูดออกมาอย่างจองหองเช่นนั้น?
ใช่แล้วหอคอยหลิงหยุนคงดีแค่ปากกระมัง?
เหล่าศิษย์ไม่ได้โง่พวกเขารู้ว่าเฉียนยู่กำลังคิดอะไรเช่นกัน
อย่างไรก็ตามพวกเขาหุบปากลงทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเฉียนยู่เดินก้าวออกมา
หอคอยหลิงหยุนนั้นมีสถานะพิเศษในห้าสำนักใหญ่ไม่ใช่เพราะพวกนางเป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่เพราะหอคอยหลิงหยุนนั้นแข็งแกร่งพอจะทำให้สำนักที่เหลือหวาดกลัวได้
แค่ศิษย์หอคอยหลิงหยุนจำนวนหนึ่งก้าวออกมานั่นก็เพียงพอให้เหล่าศิษย์จากสำนักอื่นๆไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
จริงๆแล้วข้าไม่ต้องการลดตัวไปมีส่วนร่วมในความวุ่นวาย ทำไมพวกท่านทั้งหมดไม่ถอยออกมาเลยล่ะ? หอคอยหลิงหยุนสามารถจัดการหนานกงเฮาได้ด้วยสำนักเดียว! พวกเขาได้ยินเฉียนยู่พูดขึ้นมาด้วยความเย็นชาและทรงพลังอีกครั้ง
…
ไม่ต้องการลดตัว?!
ไม่อยากวุ่นวาย?
ศิษย์รอบๆต่างโมโหมากแต่มันไม่ใช่เพราะการไม่เข้าร่วมของหอคอยหลิงหยุน แต่เป็นเพราะความหยิ่งยโสของพวกนาง
แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่พวกนางมีพลังเพียงพอที่จะหยิ่งยโส
พวกเขาจึงทำได้แค่โกรธไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านั้นได้
ฉลาดมากท่านป้า! ปากของฟางเจิ้งจือขยับอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันเขาก็ขยิบตาให้เฉียนยู่
แน่นอนว่าเฉียนยู่เห็นการกระทำเหล่านั้นแต่นางไม่สนใจฟางเจิ้งจืออีกต่อไป นางหันไปมองหนานกงเฮาที่ล้อมรอบด้วยเกล็ดหิมะจำนวนมาก
เจ็ดดวงจันทร์ยืมดารา!ทำลายทุกอย่างให้ราบคาบ!
รับทราบ! ศิษย์จำนวนหนึ่งเดินออกมาและตั้งค่ายกลตามคำสั่งของเฉียนยู่ทันที
พวกนางแบ่งออกเป็นแปดกลุ่มทันทีพวกนางเจ็ดยืนตามรูปแบบของกลุ่มดาวคันไถ
รอบดวงดาวนั้นมีดวงจันทร์ล้อมรอบไว้อีกที
จากชื่อค่ายกล’เจ็ดดวงจันทร์ยืมดารา’เห็นได้ชัดว่าผู้ที่โจมตีคือดวงจันทร์ ดาวอีกเจ็ดดวงนั้นเป็นแหล่งพลังของดวงจันทร์
ไฟลุกโชนจากดาวดวงหนึ่งไปอีกดวงก่อนที่ดวงจันทร์จะมีไฟลุกโชนตามขึ้นมาทันที
มันเป็นดวงจันทร์สีแดง
ดวงจันทร์สีแดงที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง
ศิษย์จากสำนักอื่นๆต่างถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นภาพนี้
พวกนางทั้งหมดใช้เต๋าแบบเดียวกัน!
นี่คือหอคอยหลิงหยุนงั้นรึ?
เป็นเหมือนตำนานพวกนางนั้นทรงพลังเกินไปจริงๆ!
แม้พวกเขาจะโกรธจากคำพูดของเฉียนยู่แต่เมื่อเห็นพลังที่หอคอยหลิงหยุนแสดงออกมาตอนนี้พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรออกมาอีก
พวกนางแข็งแกร่ง!
มันผิดตรงไหนที่พวกนางจะหยิ่งยโส?
ตาเฒ่ามู่นางกำลังทำให้พวกเราขายหน้า ถ้าพวกเราไม่แสดงอะไรให้เห็นมาก คนอื่นคงหัวเราะให้กับความไร้ประโยชน์ของศาลาเต๋าสวรรค์และหุบเขาฟู่ซี่! โม่ฉานฉือดูเหมือนจะไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้หลังจากเห็นดวงจันทร์ที่ลุกโชนไปด้วยเพลิง เขาเองก็มีเกียรติเช่นเดียวกัน
หุบเขาฟู่ซี่นั้นแพ้ในเรื่องการประลองยุทธถ้าใครกล้ามาดูถูกเรื่องการสู้ในสนามรบอีก มันคงเป็นเรื่องยากที่เหล่าศิษย์ของเขาจะยืนหยัดในแดนศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต
โดยไม่ลังเลเขาออกคำสั่งทันที
แสดงให้หอคอยหลิงหยุนเห็นว่าค่ายกลของพวกเขาและนางต่างกันยังไง!
รับทราบ! ศิษย์หนึ่งร้อยคนตอบรับพร้อมกันทันที
แกร้งแกร้ง แกร้ง
หลังจากเสียงโลหะดังขึ้นศิษย์ทั้งร้อยคืนก็ยืนล้อมรอบกันเป็นวงกลมพร้อมกับเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อนจนมองเห็นเหมือนมังกรสีเงินขดตัวอยู่
มีผู้อาวุโสแปดคนอยู่ตรงช่วงท้องของมังกรเปรียบเสมือนกรงเล็บทั้งสองข้างของมังกร
ตาย! หลังจากเสียงตะโกน พวกเขาก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมังกรที่เข้าโจมตีหนานกงเฮา
นั่นค่ายกลของหุบเขาฟู่ซี่งั้นหรือ?
มันไม่ดูบ้าไปหน่อยงั้นรึ?ข้าคิดมาเสมอว่าค่ายกลต้องอยู่ในรูปแบบของสิ่งไม่มีชีวิตเท่านั้น ข้าไม่คิดว่าค่ายกลของหุบเขาฟู่ซี่…สามารถกลายเป็นค่ายกลที่มีชีวิตและเคลื่อนไหวอย่างอิสระได้?!
เหลือเชื่อค่ายกลสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยงั้นรึ?
ศิษย์รอบๆต่างตะลึงมันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยเห็นค่ายกลเช่นนี้
นี่คือค่ายกลแปดกรงเล็บมังกร! โม่ฉานฉือเหลือบมองมังกรสีเงินบนท้องฟ้าพร้อมกับเหลือบตามองเฉียนยู่ ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการแสดงให้เห็นความโดดเด่นของค่ายกลของหุบเขาฟู่ซี่
อา… เมื่อมู่ฉิงเฟิงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็อดที่จะรู้สึกขมขื่นไม่ได้เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากการบงการของฟางเจิ้งจือ
แล้วยังไงเขาจะทำอะไรได้?
เขาไม่มีทางหยุดเรื่องตรงหน้าได้เขาทำได้แค่ตามน้ำไปเท่านั้น
ค่ายกลร้อยแปดดาบ!
รับทราบ!
ศิษย์ศาลาเต๋าสวรรค์หนึ่งร้อยแปกคนพุ่งออกมาทันทีพวกเขาทุกคนถือดาบยาวในมือ พวกเขาทุกคนโบกสะบัดดาบในมือไปพร้อมๆกัน เจตจำนงแห่งดาบอันรุนแรงปรากฎขึ้นมาจนทำให้ทุกคนอึดอัด
เป็นเจตจำนงแห่งดาบที่แข็งแกร่งมาก!
ศาลาเต๋าสวรรค์นั้นขึ้นชื่อเรื่องการใช้ดาบอยู่แล้ว!
พวกเราไม่สามารถเทียบความแข็งแกร่งกับห้าสำนักใหญ่ได้แม้แต่น้อย…
ตอนนี้สามในห้าสำนักใหญ่ได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาแล้ว รอยยิ้มของฟางเจิ้งจือยิ่งกว้างมากขึ้นเรื่อยๆเขานั้นชอบดูการต่อสู้ที่ตื่นเต้น
เอาสิศาลาหยินหยางล่ะ? ข้าคิดว่ามีห้าสำนักเสียอีก? เต๋าฮุน เต๋าซิงพวกเจ้าคงไม่ขี้ขลาดขึ้นมาตอนนี้หรอกใช่ไหม? ฟางเจิ้งจือเริ่มตะโกนอีกครั้ง
เจ้าเด็กชั่ว! เต๋าฮุนกำหมัดแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
อืมเข้าไร้ยางอายจริงแต่เราก็ต้องเข้าร่วมต่อสู้ด้วย เสียงของเต๋าซิงยังคงนิ่งสงบ แต่จิตสังหารในดวงตาของนางก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเต๋าฮุน
ศาลาหยินหยางต้องฟังเขางั้นรึ?
พวกเราต้องฟังคำแนะนำที่ถูกต้องซึ่งสิ่งที่ถูกต้องตอนนี้คือฆ่าหนานกงเฮา!
เจ้าพูดถูก! เต๋าฮุนพยักหน้าเบาๆหลังฟังนาง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นช้าๆพร้อมพูดออกมา หยินหยางไหลเวีน! หยางหมายถึงชีวิต หยินหมายถึงความตาย เปิดประตูแห่งความเป็นและความตายออกซะ!
รับทราบ! ศิษย์ศาลาหยินหยาง88คนเดินออกมาทันทีพร้อมกับยืนเรียงแถวเป็นรูปของหยินและหยางที่เคลื่อนไหวเป็นวงกลมตลอดเวลา
ขณะที่ภาพหยินหยางหมุนไปเรื่อยๆแสงสว่างก็กระจายออกไปเรื่อยช่วยรักษาศิษย์สำนักอื่นๆที่บาดเจ็บ บาดแผลของพวกเขาค่อยๆหายดีทันที
ขอบคุณท่านเต๋าฮุน!
ขอบคุณศาลาหยินหยาง!
ทุกคนรู้ดีว่าเป็นศาลาหยินหยางที่ช่วยรักษาบาดแผลของพวกเขา
ขณะเดียวกันภาพหยินหยางขนาดใหญ่เริ่มหมุนวนอีกครั้ง
เสาแสงสีดำขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าบรรยากาศเต็มไปด้วยความเยือกเย็น!
นั่นมันเสาแห่งความตาย! แข็งแกร่งมาก!
ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศแห่งความตายที่เสาสีดำแผ่ออกมา
ฟางเจิ้งจืออดที่จะตะลึงเล็กน้อยไม่ได้ก่อนที่เขาจะหันไปมองฝั่งเก้าขุนเขา
ในเวลาเดียวกัน…
ไป่เฟยจากเก้าขุนเขากำลังมองไปที่ฟางเจิ้งจือเช่นกันยิ่งไปกว่านั้นริมฝีปากของเขากำลังขยับราวกับกำลังพูดบางอย่างอยู่
……………………………………..