บังเอิญโจมตีเหยียนซิว? ฟางเจิ้งจือไม่มั่นใจว่าไป่ฉือคิดอะไรอยู่อย่างไรก็ตามถ้านางต้องการฆ่าเหยียนซิว คงมีสองทางเท่านั้น
ทางแรกฟางเจิ้งจือป้องกันการโจมตีของไป่ฉือเพื่อช่วยเหยียนซิว และถ้าเป็นแบบนั้นพลังของไป่ฉือจะหมดลง และฟางเจิ้งจือได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เหยียนซิวจะไม่เป็นไร
หรืออีกทางก็คือไป่ฉือขัดขวางฟางเจิ้งจือด้วยร่างกายของนางเพื่อไม่ให้เขาช่วยเหยียนซิวได้ เมื่อเทียบกับการป้องกันการโจมตีของฟางเจิ้งจือ แม้ว่าเหยียนซิวจะตาย แต่ฟางเจิ้งจือก็ยับยั้งไป่ฉือได้สำเร็จ
สองทางนี้… ไม่ว่าจะเป็นทางไหน
ถ้าไป่ฉือล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าเหยียนซิวนางก็แค่หนีไปโดยไม่ต้องเสียพลังไปแม้แต่น้อย
มีเพียงเหตุผลเดียวนางมีเวลาไม่มาก! ฟางเจิ้งจือจ้องไปยังร่างที่อยู่บนยอดต้นไม้เทพเจ้า
หนานกงเฮา!
อย่างไรก็ตามทำไมจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือถึงคิดโจมตีหนานกงเฮา?
เป็นไปได้ไหมที่นางไม่ต้องการเปิดประตูแห่งดินแดนพระเจ้า?หรือนางอยากฆ่าหนานกงเฮาเหมือนฟางเจิ้งจือ
เดี๋ยวก่อน!
ถ้านางอยากฆ่าหนานกงเฮาหรือไม่อยากเปิดประตูแห่งดินแดนพระเจ้าจริงนางน่าจะเคลื่อนไหวนานแล้ว คงไม่รอจนถึงตอนนี้
ประตูอีกสองบานเป้าหมายของไป่ฉือคือประตูอีกสองบาน! ฟางเจิ้งจือตระหนักได้ทันที อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถหยุดนางไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือความรู้เขาไม่สามารถเอาชนะนางได้
แต่มีสองคนที่สามารถทำได้
มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือ! พวกเขาทั้งสองอยู่ระหว่างหนานกงเฮาและไป่ฉือและด้วยพลังของพวกเขาจะสามารถหยุดไป่ฉือได้อย่างไม่มีปัญหา
เป็นอย่างที่เขาคิดระเบิดที่รุนแรงปรากฎขึ้นบนท้องฟ้า
ตูม!เมื่อเสียงดังขึ้นท้องฟ้าก็แยกออกเป็นสองฝั่ง นั่นทำให้ท้องฟ้าสว่างขึ้นทันที
ในขณะเดียวกันไป่ฉือหายตัวไปจากนั้นนางก็ปรากฎตัวเหนือหัวหนานกงเฮา นางหลบเลี่ยงมู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือไปหาหนานกงเฮาโดยตรง
มันเป็นฉากที่แปลก
ให้ความรู้สึกราวกับว่านางใช้เสียงของระเบิดเป็นบันไดเพื่อเข้าหาหนานกงเฮา
เร็วมาก!
นางไปถึงตรงนั้นได้ยังไง?!
เหล่าศิษย์ไม่สามารถตอบสนองได้พวกเขาจำได้ว่าทั้งโม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงใช้เวลาค่อนข้างมากในการไล่ตามหนานกงเฮา กลับกันไป่ฉือราวกับว่านางเคลื่อนย้ายในพริบตา?
ความสูงของต้นไม้เทพเจ้าเท่าไหร่กัน?
นางกลับไปถึงยอดได้ด้วยช่วงเวลาฟ้าร้อง?!
แม้แต่มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัดดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ฟางเจิ้งจือเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่! ฟางเจิ้งจือมีเคยเห็นเรื่องที่เกินจริงมามากมาย แต่สิ่งนี้ไม่เป็นที่ยอมรับแม้แต่น้อย
ควบคุมสายฟ้า?
แล้วทำการเคลื่อนย้ายพริบตา?
ฟางเจิ้งจือเคยเห็นราชาหลี่ฉินใช้วิชาที่คล้ายกันนี้เขาปลดผนึกแสงเจ็ดสี และใช้กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าอำพรางตัวและสะสมพลัง
แต่เมื่อเทียบกับวิชาของไป่ฉือ… ราชาหลี่ฉินกลายเป็นเด็กไปเลย
สิ่งสำคัญที่สุดคือวิชาของไป่ฉือลื่นไหลอย่างมากหลอมรวมร่างกายเข้ากับสายฟ้าเพื่อเพิ่มความเร็ว
มันฟังดูเรียบง่าย
อย่างไรก็ตามการใช้วิชานี้ยากมาก นั่นเพราะเราต้องหลอมรวมเข้ากับสายฟ้าได้อย่างสมบูรณ์ หากช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีอาจทำให้ถูกฟ้าผ่าได้
ยิ่งไปกว่านั้นหากร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งไม่สามารถรวมเข้ากับสายฟ้าอาจทำให้ต้องบาดเจ็บได้
แต่นางคือใครจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือ?
เมื่อนางปรากฎตัวอีกครั้งเหนือหัวหนานกงเฮาทั้งเสื้อผ้า ผมเผ้ารวมไปถึงผิวพรรณไม่มีรอยไหม้แม้แต่น้อย
ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเหล่าอสูรเกิดมาพร้อมกับความได้เปรียบพวกเขาสามารถควบคุมดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ รวมทั้งฝนฟ้าคะนองและเปลวไฟ พวกเขาดึงแก่นพลังของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพื่อปลดปล่อยพลัง
เฮาเอ๋อร์ระวัง! เสียงของหนานกงเทียนดูสิ้นหวังอย่างยิ่ง แต่ดูเหมือนจะสายเกินไป
ในขณะนั้นไป่ฉือก็เคลื่อนไหวเช่นกัน
นางตบไปที่หหนานกงเฮาแสงสลัวๆส่องประกายในดวงตาของนาง
อย่างไรก็ตามฟางเจิ้งจือตกตะลึงเมื่อเห็นแสงแสงในตาของนาง
เขาเคยเห็นแสงที่คล้ายกันมาก่อน
อย่างไรก็ตาม…
แสงนั้นปรากฎขึ้นในตาของไป่เฟยแต่นั้นเป็นดวงตาของหยุนชิงวู ฟางเจิ้งจือรู้สึกสับสน
ภาพลวงตา! ฟางเจิ้งจือไม่ได้รู้สึกอยากช่วยหนานกงเฮา แต่รู้สึกว่าถูกบังคับให้เตือนเขา
เป็นอย่างที่ฟางเจิ้งจือคิดเมื่อไป่ฉือตบ หนานกงเฮาก็ยกมือขึ้น อย่างไรก็ตามเขาพึ่งเคลื่อนไหวได้ครึ่งทาง สีหน้าของเขาแข็งค้างเพราะความสับสน
แสงสีขาวและแดงส่องประกายออกจากร่างหนานกงเฮาเหมือนกับห่วงโซ่ที่ล่ามเขา หนานกงเฮาติดกับแล้ว
อย่างไรก็ตามนั่นไม่สามารถหยุดการตบของไป่ฉือได้
ด้วยแรงตบของนางแสงสว่างเริ่มแตกออก!
ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาวกลายเป็นความืดมิดในทันที
คล้ายกับที่นางตบลงบนร่างของเหยียนซิวนางทำเช่นเดียวกันบนหน้าอกของหนานกงเฮา
พรวด!หนานกงเฮากระอั่กเลือดออกมาคำใหญ่
ในตอนนั้นเองไป่ฉือโบกมืออย่างต่อเนื่อง ทุกการเคลื่อนไหวของนางเต็มไปด้วยความซับซ้อน ราวกับว่านางกำลังทำพิธีบางอย่าง
หยุดนาง! ในที่สุดมู่ฉิงเฟิงตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่พูดเขากลายร่างเป็นเส้นแสงพุ่งตรงไปหาจักรพรรดินีอสูร
โม่ฉานฉือตกตะลึงจากนั้นปีกของเขาก็กางออกอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งไปหาจักรพรรดินีอสูรด้วยความเร็วมากกว่ามู่ฉิงเฟิง
อย่างไรก็ตามมันสายเกินไป
ไป่ฉือหยุดเคลื่อนไหวแล้วนางหันมองก่อนจะเผยยิ้มเล็กน้อยด้วยเสน่ห์ที่ล้นเหลือ
แทนที่นางจะมองมู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือนางหันมองที่หนานกงเฮาอย่างเงียบๆ ราวกับว่านางกำลังชื่นชมศิลปะที่งดงาม
เสน่ห์เย้ายวนวิชาที่จะขโมยดวงวิญญาณมา! จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือพูดเบาๆพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย
ครืน!ท้องฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือน
วงกลมแสงที่ทอดลงมาจากท้องฟ้าราวกับเม็ดฝนพวกมันร่วงลงมายังพื้นดิน
ในตอนนั้นเองทุกๆคนรวมไปถึงเหล่าศิษย์และหยานหยิงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือหยุดเคลื่อนไหว
แน่นอนยกเว้นแต่ฟางเจิ้งจือดวงตาของเขาปิดลงทันทีที่เห็นแสงในดวงตาของไป่ฉือ
อย่างไรก็ตามเสียงของไป่ฉือตอนที่นางพูดว่า ‘เสน่ห์เย้ายวน วิชาที่จะขโมยดวงวิญญาณมา!’
มันทำให้ใจของเขาสั่นไหว
เชี่ยเอ้ยยายแก่นี้ …แข็งแกร่ง! หาได้ยากที่ฟางเจิ้งจือจะยกยอคนอื่น แม้เขาได้พบกับมู่ฉิงเฟิงตอนเข้าศาลาเต๋าสวรรค์ก็ตาม
อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขาเชื่อคำโบราณที่ว่า ยิ่งแก่ยิ่งมีเสน่ห์ นั่นเป็นเรื่องจริง
ดังนั้นเขาควรทำยังไงดี?
การทำลายภาพลวงตาไม่ใช่เรื่องที่เขาถนัด
หรือพูดตามตรงเขาแทบจะไม่สามารถรับมือกับภาพลวงตาได้แม้แต่น้อยในฐานะผู้ที่แข็งแกร่งและผู้ที่หลงเหลือสติเพียงผู้เดียว เขารู้สึกว่าเขาต้องทำ อย่างเช่น…
การสาปแช่งและสาบานหรือร้องเพลงแห่งหุบเขา
ฟางเจิ้งจือขอเลือกอย่างหลังเขามีมาตรฐานสูงและมีการศึกษา เขาจะสาปแช่งและสาบานต่อคนแก่ได้ยังไง?
ดอกไม้ที่เบ่งบานบนยอดเขา…!เป็นสีแดง..และงดงามเหลือเกิน! ฟางเจิ้งจือเลือกที่จะร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับเป็ดตัวผู้ร้อยตัวกำลังร้องออกมาพร้อมๆกัน
เขาภูมิใจอย่างมากที่ปรับเนื้อเพลงใหม่เพื่อให้ฟังดูน่าหลงไหลมากขึ้น
ในที่สุด
มันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด…
อย่างน้อยที่สุดร้อยยิ้มบนใบหน้าของจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือก็แข็งงทื่ออีกครั้งแม้นางจะไม่เต็มใจนางก็ต้องหันไปมองฟางเจิ้งจือ
ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความสับสนและความซับซ้อน
เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะมีใครร้องเพลงแห่งหุบเขาขึ้นหลังจากที่นางใช้วิชา
ยิ่งไปกว่านั้นเสียงของเขาเหมือนกับเป็ดตัวผู้ที่ดุร้าย
เจ้าเด็กเหลือขอ…เสียสติไปแล้วหรือ? ไป่ฉือไม่แปลกใจที่ฟางเจิ้งจือไม่ได้รับผลจากวิชาของนาง อย่างไรก็ตามนางรู้สึกประหลาดใจกับพฤติกรรมแปลกๆเช่นนี้
ในตอนนั้นเองท่าทีของนางก็เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว นางตระหนักว่าหลังจากที่ฟางเจิ้งจือเริ่มร้องเพลงด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแล้ว ผู้คนที่ตกอยู่ในภวังก็เริ่มเคลื่อนไหว
คนแรกที่ได้สติกลับมาคือมู่ฉิงเฟิงและตามด้วยโม่ฉานฉือ หยานหยิงและเฉียนยู่ จากนั้นเหล่าศิษย์ก้ค่อยๆได้สติเช่นกัน
… ไปฉือไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ในตอนนี้นางไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ
บอกว่าฟางเจิ้งจือเสียสติ? ไม่ใช่!
มันเป็นเนื้อเพลงที่ไม่ถูกต้องฟางเจิ้งจือร้องเพลงเพื่อทำลายวิชาของนาง
แม้มันจะเป็นวิชาที่ไม่สามารถทำลายได้ง่ายๆแต่นางไม่สามารถยอมรับได้ที่มันถูกทำลายด้วยเรื่องไร้สาระเช่นนี้
บังเอิญรึ?
จักรพรรดินีอสูรไป่ฉืออยากจะใช้เหตุผลนี้แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องบังเอิญขึ้นกับคนๆหนึ่งบ่อยครั้งเช่นนี้
โชคช่วยรึ?
จักรพรรดินีอสูรไม่ได้โง่นางคิดคำนึงถึงความเป็นไปได้ทุกอย่างอย่างรวดเร็ว และมีประโยคเกิดขึ้นในใจ …
ความไม่แน่นอน
แน่นอนว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไปสิ่งที่สำคัญกว่าคือฟางเจิ้งจือสามารถปลุกหนานกงเฮาตื่นขึ้นจาก ‘เสน่ห์เย้ายวน’ ได้
แม้หนานกงเฮาจะขมวดคิ้วอย่างสับสนและดวงตาไม่เคลื่อนไหวก็ตาม
หนานกงเฮาขยับมือเล็กน้อยเขาค่อยๆก้าวออกไปคว้าสองในสามของผลไม้ที่อยู่ตรงหน้า
ในตอนนี้ดวงตาของมู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือกลับเป็นปกติอีกครั้ง
ร่างของพวกเขาสั่นเทา หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
ใครกันที่ร้องเพลง… มู่ฉิงเฟิงไม่ได้พูดให้จบประโยค เพราะเขาสังเกตุเห็นการเคลื่อนไหวของหนานกงเฮา เฒ่าโม่ ตื่นเร็ว!
ข้าตื่นแล้ว! โม่ฉานฉือเคลื่อนไหวในขณะที่พูด ปีกของเขากางออกอีกครั้ง และเขาไม่รอมู่ฉิงเฟิงกล่าวอะไร เขาพุ่งไปหาไป่ฉือทันที ระยะห่างของพวกเขาเพียงสิบก้าวเท่านั้น
ผู้นำโม่ฝ่ามือของข้าเมื่อหลายสิบปีก่อน ยังเจ็บอยู่ไหม? ไป่ฉือมองที่โม่ฉานฉือและยิ้มออกมา นางไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย นางสัมผัสที่ใบหน้าของเขาพร้อมเผยยิ้มอย่างสดใส
นั่นดูเหมือนจะทำให้โม่ฉานฉือจมสู่ก้นบึงอีกครั้งและดูเหมือนเขาจะหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
หืมอย่าบอกนะว่าโม่ฉานฉือกับยายแก่เคย…. ในตอนนั้นเองเสียงของฟางเจิ้งจือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
……………………………………..