“เหลวไหลทั้งเพ!”
มูคยอมตะโกนเสียงดังแล้วก้าวฉับๆ เข้ามาฉวยหนังสือพิมพ์ที่คนอื่นถืออยู่ อีกฝ่ายฉีกแควกๆ ทั้งฉบับแล้วปาทิ้งลงถังขยะอย่างแรง
คนอื่นๆ ต่างตกใจกับท่าทีอารมณ์ร้อนของมูคยอมจึงพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเดียวแล้วได้แต่กะพริบตามองอีกฝ่ายปริบๆ ฮาจุนก็เช่นเดียวกัน
ฮาจุนเพิ่งเอานาฬิกาจับเวลากับนกหวีดคล้องคอ สายตาของฮาจุนกับมูคยอมมองสบกัน มูคยอมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทันควัน ส่วนฮาจุนก็กลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก คนที่ต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตรงนี้ไม่ใช่มูคยอมแต่ควรจะเป็นเขามากกว่า
“เรื่องนี้เป็นข่าวโคมลอยทั้งหมด เป็นข่าวฉาวที่แต่งขึ้นมาเหมือนที่เคยมีตลอดนั่นแหละ ไม่ได้เชื่อมันใช่ไหม”
“อือ…”
ทั้งคู่กำลังคุยกันเป็นภาษาเกาหลี แต่ฮาจุนก็คอยเหลือบตามองคนอื่นๆ เขาตบหลังมูคยอมป้าบๆ พร้อมกับฉีกยิ้มเหมือนตอนปกติ
“ฉันเข้าใจแล้ว ออกไปคุยข้างนอกกัน”
“อีฮาจุน”
“คนอื่นมองอยู่นะ ไปคุยกันข้างนอกเถอะ แล้วก็ใส่เสื้อด้วย นี่หน้าหนาว เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้มแต่น้ำเสียงกลับฟังดูเหมือนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฮาจุนเอาเสื้อกันหนาวขนเป็ดรอบอกกว้างออกมาจากในล็อกเกอร์แล้วคลุมลงบนตัวเปลือยเปล่าของมูคยอม จากนั้นจึงกึ่งลากกึ่งดันอีกคนออกมานอกประตู
เมื่อเดิมตามทางเดินมาถึงใกล้ๆ ประตูฉุกเฉินที่มีคนให้เห็นบางตา ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเกิดเดจาวู ที่โซลก็เคยมีสถานการณ์คล้ายๆ กันนี้ไม่ใช่เหรอ… เมื่อยืนเผชิญหน้ากันแล้ว มูคยอมก็เริ่มแก้ตัวทันที
“คนนั้นน่ะ พี่สาวของร็อบบี้”
“อะไรนะ”
“ร็อบบี้ กองกลางทีมเราไง เธอเป็นพี่สาวของหมอนั่น ลองไปถามดูว่าฉันโกหกหรือเปล่า”
ฮาจุนนึกถึงกองกลางผู้มีใบหน้าตกกระ ร็อบบี้เป็นนักกีฬาที่สนิทกับมูคยอมไม่น้อย ถ้าเป็นพี่สาวของทางนั้นก็เท่ากับว่ายืนยันตัวตนเธอได้แล้ว
แต่ฮาจุนเพียงแค่กะพริบตาแล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“แล้วมัน… เกี่ยวกันยังไง”
“อะไรนะ”
“เรื่องที่คนนั้นเป็นพี่สาวของร็อบบี้กับข่าวฉาวน่ะ มันเกี่ยวกันตรงไหน กับพี่สาวของเพื่อนร่วมทีม… ก็อาจเป็นแบบนั้นได้นี่”
มูคยอมตาเหลือกแล้วอ้าปากพะงาบ อีกฝ่ายโบกมือไปมาอย่างใหญ่โต
ยกหนึ่งราวกับเป็นวาทยากร
“โค้ชอี นายรู้เกี่ยวกับข่าวฉาวฉันทุกเรื่องนี่ เมื่อก่อนฉันก็ไม่แตะต้องครอบครัวของเพื่อนร่วมทีม… ไม่สิ ไม่ใช่แบบนี้!”
“…”
“เป็นแค่คนรู้จัก ส่วนรูปน่ะ ถ้าตั้งใจจะถ่ายแล้วก็ถ่ายออกมาให้ดูมีเรื่องราวได้หมดแหละ เมื่อวานฉันมีธุระเลยแวะไปแป๊บเดียว ตอนนี้ไม่มีเรื่องให้เจอกันอีกแล้ว ร็อบบี้ก็อยู่ด้วยนะ! ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน ถ้าไปหาที่บ้านก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้พูดคุยกับเจ้าของบ้านไม่ใช่เหรอ ข่าวมันจัดฉากให้ดูเป็นแบบนั้น…”
“เรื่องอะไร”
“หือ”
“มีเรื่องอะไรถึงไปที่นั่น ดูเหมือนไม่ใช่แค่ไปเที่ยวเล่นเฉยๆ…”
มูคยอมเปลี่ยนมาทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ว่าพลาดไปเสียแล้ว สีหน้าของอีกคนเหมือนกำลังคิดว่าแก้ตัวพลาดไป คิ้วของฮาจุนค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน เสียงของเขาเย็นเยียบลงเหมือนอากาศในฤดูหนาว
“ถ้าจะโกหกก็อย่าแม้แต่จะพูดออกมานะ”
“ฉันไม่ได้โกหกนะ”
“ช่างมัน เลิกคุยกันเถอะ”
ฮาจุนพูดแทรกมูคยอม เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
“ตอนนี้ต้องออกไปแล้ว ถึงเวลาฝึกแล้ว”
“ฮาจุน”
“ไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้… ที่นี่ไม่เหมาะจะคุยเรื่องแบบนี้หรอกใช่ไหม”
ฮาจุนหันตัวขวับ เขาเดินไปบนทางเดินด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองว่ามูคยอมตามมาหรือทำอย่างไร พวกสตาฟกรูกันออกมาพอดี
“อ้าว จุน คุยกับคิมเสร็จแล้วเหรอ”
“ครับ ไม่ได้คุยอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ”
“ไม่ได้คุยกันเรื่องเมื่อกี้เหรอ เขาบอกว่าเป็นอะไรยังไง”
“บอกว่าพวกนักข่าวปล่อยข่าวโคมลอยน่ะครับ ก็เลยดูเหมือนจะโกรธ”
“หืม งั้นเหรอ”
ฮาจุนรีบปรับสีหน้าแล้วเข้าไปรวมในกลุ่มคน
บรรยากาศการฝึกซ้อมเป็นเช่นเดียวกับปกติ สิ่งที่ไม่เหมือนปกติมีเพียง
ฮาจุนเท่านั้น ฮาจุนลืมที่จะจับเวลาวิ่งของพวกนักกีฬาตั้งแต่เริ่ม เขาลุกลี้ลุกลนขอโทษพร้อมทั้งต้องจับเวลาใหม่
จู่ๆ จะให้ไปหาร็อบบี้แล้วถามเกี่ยวกับเรื่องนี้มันก็อย่างไรชอบกล ฮาจุนจึงสังเกตสถานการณ์แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ พวกนักกีฬาซึ่งอยู่ระหว่างการฝึกซ้อมอย่างเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด ฮาจุนกระแอมไอข้างๆ ร็อบบี้ที่กำลังดื่มน้ำหลังจากฝึกฝนพละกำลังของร่างกายจบไปหนึ่งเซ็ต
“ร็อบบี้”
“อ้าว จุน”
เจ้าตัวก็ดูมีท่าทีสับสนไม่น้อยราวกับรับรู้เรื่องข่าวฉาวเหมือนกัน
…ถึงอย่างนั้นก่อนจะถามมีเรื่องอะไรให้สับสนด้วยล่ะ ฮาจุนแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ยกความคิดอื่นขึ้นมาพูดก่อน
“เมื่อวานมูคยอมไปบ้านพี่สาวนายนี่นะ”
“อื้อ พูดเรื่องนั้นเพราะเห็นข่าวใช่ไหม ถูกแล้วล่ะ ฉันเองก็อยู่ด้วย ข่าวนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งหมดเลย”
“ไปทำอะไรเหรอ มีนัดพบปะกันอะไรแบบนี้เหรอ”
“อ่า…เรื่องนั้น… อืม ใช่แล้ว มีนัดเจอกันน่ะ”
จิตใจที่เคยผ่อนคลายลงเพราะคำพูดก่อนหน้า กลับมืดมนลงอีกครั้ง
ร็อบบี้พูดว่า ‘มีนัดเจอกัน’ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าตัวก็ดูเหมือนเป็นคนประเภทที่โกหกไม่เก่ง ที่ถ่วงเวลาตั้งแต่ก่อนตอบออกมาก็น่าสงสัย แต่ในขณะที่บอกว่ามีนัดเจอกัน อีกคนก็หลบตากันอย่างไม่ปิดบังด้วย
ทั้งสองคนสนิทกัน ไม่ใช่ว่าตกลงกับมูคยอมล่วงหน้าว่าจะพูดอะไรแล้วตั้งใจจะหลอกเขาเหรอ
“…อย่างนั้นเองเหรอ เข้าใจแล้ว”
ฮาจุนยังไม่หายสงสัย แต่ถึงจะซักไซ้ต่อไปก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะตอบอย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งถ้าหากเค้นไม่ปล่อยก็คงมีแต่เขาที่จะกลายเป็นคนแปลกๆ ฮาจุนจึงยอมล่าถอย
กระทั่งการเขียนตัวหนังสือลงสมุดโน้ตที่จดบันทึกอย่างแข็งขันเช่นเดียวกับทุกๆ วันก็ยังเหนื่อยยาก ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็ตั้งมั่นว่าต้องทำแล้วขยับปากกาซึ่งรู้สึกว่ามันหนักขึ้นเป็นหมื่นเป็นพันเท่าในวันนี้
ฮาจุนกำลังเขียนหนังสือด้วยลายมือหวัดเสียจนมีเขาเพียงคนเดียวที่เข้าใจ แต่แล้วใครบางคนก็เข้ามายืนอยู่ตรงหน้า ฮาจุนเงยหน้าขึ้น
“จริงหรือเปล่าครับ”
นักกีฬาหนุ่มเจ้าของดวงตาสีโอลีฟซึ่งเคยก่อเรื่องวุ่นวายให้ความสัมพันธ์ของเขากับมูคยอมช่วงฤดูใบไม้ผลิ ยืนเด่นเป็นสง่าด้วยสีหน้าตึงเครียด
“…อะไร”
“ผมอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าครับ ข่าว เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
ตอนนี้ภาษาอังกฤษก็พูดเก่งแล้ว เข้ากันกับทีมได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงสนิทกับพวกนักกีฬามากขึ้นแล้วด้วย ตอนนั้นดูเป็นคนขี้กลัวและชอบเก็บงำอะไรอยู่คนเดียว แต่คงแค่ปรับตัวช้าเฉยๆ เวลาเห็นอีกคนในช่วงนี้จึงไม่เห็นท่าทางแบบนั้นแล้ว
เขาเคยคิดว่าอีกคนดูขี้กลัวเกินไปอย่างไรชอบกลสำหรับการเป็นผู้เล่นตัวรุกอย่างนั้นเหรอเนี่ย ฮาจุนปิดสมุดพลางส่ายหน้า
“ก็ต้องเป็นข่าวโคมลอยอยู่แล้วสิ ข่าวฉาวที่แต่งขึ้นมาน่ะ”
“ก็ไม่แน่หรอกนะครับ เพราะเดิมที คิมก็เป็นเพลย์บอยนี่ครับ ว่ากันว่าคนเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายขนาดนั้น”
“มาร์โค ระวังคำพูดหน่อยดีกว่า”
น้ำเสียงของฮาจุนเย็นชาขึ้น รูปประโยคเป็นแบบจูงใจ แต่วิธีการพูดเป็นเหมือนกับคำสั่ง มาร์โคชะงักไปครู่หนึ่ง สังเกตท่าทีของเขาแล้วพูดต่อ
“…จุน ตอนไหนเหนื่อยก็มาคุยกับผมได้เสมอเลยนะครับ จุนคอยรับฟังเรื่องของคนอื่นเสมอ แต่ในเวลาแบบนี้ มีคนที่จะพูดคุยเรื่องที่กลุ้มใจอยู่หรือเปล่า”
ฮาจุนไม่คิดว่ามาร์โคเป็นคนประเภทที่พึ่งพาได้ขนาดนั้น แต่น่าตกใจเหมือนกันที่คำพูดนั้นทำให้จมูกของเขาปวดตื้อชั่วขณะ ฮาจุนรีบคุมสีหน้าแล้วโบกสมุดโน้ตพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ถ้ามีเรื่องกลุ้มใจ ฉันจะไปคุยด้วยนะ แต่ตอนนี้ไม่มีหรอก ขอบใจที่เป็นห่วงนะ มาร์โค แต่ตอนนี้เป็นเวลาฝึกซ้อม นายต้องตั้งใจซ้อมสิ”
“ครับ”
ถึงจะตอบแบบนั้นแต่อีกคนก็ยังเหลือบมองมาทางนี้อย่างหนักใจหลายครั้งในขณะที่เดินกลับไปยังที่ของตัวเอง ฮาจุนถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นก็ปราดตามองดูสนามฝึกซ้อมแล้วสบตาเข้ากับมูคยอมซึ่งกำลังมองมาทางทีอยู่พอดี
คงเห็นฉากที่เขาพูดคุยกับมาร์โค สีหน้าของมูคยอมจึงไม่ดีเลย แต่คงเป็นเพราะมีเรื่องค้างคาใจกันอยู่ มูคยอมถึงไม่สามารถมาขัดคอได้เช่นเคยแล้วทำเพียงแค่ทอดมองมาด้วยสีหน้าร้อนใจตรงที่ของตัวเองเท่านั้น
ฮาจุนละสายตาที่สบมองกันมาก้มลงมองดูสมุดโน้ต แล้วเขาก็ดำดิ่งไปในความว่างเปล่าทันที
‘…ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แฮะ ว่านี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่’
จู่ๆ สมมติฐานหลากหลายอย่างที่ไม่สามารถตรวจสอบอย่างละเอียดได้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็แตกแขนงแยกออกไปทั่วพร้อมกันกับที่เขารู้สึกเหนื่อยล้า ฮาจุนแยกไม่ออกเลยว่าความคิดในหัวของเขาตีกันวุ่นวายหรือว่างเปล่า
ไหล่ของฮาจุนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและลู่ลงอย่างฉับพลัน เขาไม่ครุ่นคิดอะไรอีกต่อไปแล้วเดินเข้าไปหาแฮร์รี่
“แฮร์รี่”
“หืม เป็นอะไรไป”
“ผมปวดหัวนิดหน่อยน่ะครับ ผมไปห้องพยาบาลสักเดี๋ยวได้ไหม”
แฮร์รี่ถามว่าเมื่อวานดื่มหนักไปหรือเปล่าแล้วพยักหน้าบอกให้รีบไป ไม่นึกเลยว่าเขาจะใช้วิธีแกล้งป่วยซึ่งเป็นวิธีประจำตัวคิมมูคยอม
มูคยอมวุ่นอยู่กับการฝึกแบบลิงชิงบอลซึ่งจะคอยแย่งบอลอยู่ตรงกลางวงล้อมของคนหลายๆ คน ฮาจุนอาศัยจังหวะนั้นแล้วเดินไปทางตึกสำนักงาน
ฮาจุนเข้ามาในตึก เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังห้องพยาบาลแต่ไปยังห้องประชุมที่ว่างอยู่ ฮาจุนนั่งลงตรงขอบโต๊ะตัวกว้างสำหรับนั่งรวมหลายคนแล้วกางสมุดโน้ต
ฮาจุนเปิดมาถึงหน้าหลังสุดซึ่งเป็นกระดาษสีขาวที่ยังไม่ได้เขียนอะไรไว้ เขายกปากกาขึ้นมาจดโน้ตที่ตัวเองเรียกแทนมันว่า ‘บันทึกประจำวัน’ ลงไปราวกับขีดเขียนเล่น เวลาที่ความคิดพันกันยุ่งเหยิงและอารมณ์เสียก็ให้เรียบเรียงมันเป็นข้อความ มันเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาตอนเรียนเป็นโค้ช
‘- ความจริงที่เกิดขึ้น: คิมมูคยอมมีข่าวฉาวใหม่
– ความรู้สึกที่มีต่อเขา: โกรธนิดหน่อย
– วิธีการแก้ไข: จำเป็นต้องคุยกันให้ละเอียด คิมมูคยอมยืนกรานว่าไม่ใช่
– ความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องจริง: ดูไม่สูงขนาดนั้น ร็อบบี้ก็บอกว่าอยู่ด้วย’
ถ้าอย่างนั้น เหตุผลที่โกรธตั้งแต่ตอนนี้ทั้งที่ความจริงยังไม่เปิดเผยล่ะ
“ก็แค่อารมณ์ไม่ดี”
ฮาจุนพึมพำแผ่วเบา
เช่นเดียวกับช่วงความรักจืดจางที่มาถึงได้แม้ไม่มีสาเหตุ ถึงความจริงจะยังไม่เปิดเผย ถึงเหตุผลจะยังไม่ชัดเจน แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าอารมณ์เสียอยู่ไม่ใช่หรือไง
ถ้าหากช่วงความรักจืดจางมาถึงแล้วจริงๆ ล่ะ…
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าคิมมูคยอมมีความสนใจให้คนอื่น เขาจะต้องทำอย่างไร
ฮาจุนนึกถึงข้อความเกี่ยวกับ ‘การฝ่าฟันช่วงความรักจืดจาง’ ที่ค้นหาอยู่หลายรอบบนรถบัสเมื่อวานนี้ เขาอยากเตรียมรับมือสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนก่อนคุยกับมูคยอมอีกครั้ง
ผู้คนแลกเปลี่ยนคำปรึกษามากมายในอินเตอร์เน็ต คำชี้แนะบอกให้ลองแสดงออกถึงภาพลักษณ์ที่ต่างกับปกติ ถ้าเป็นคนจำพวกถมึงทึงก็ให้ลองทำตัวออดอ้อน ในทางกลับกัน ถ้าเป็นคนจำพวกที่ทำตัวน่ารักมากๆ อยู่แล้วก็ให้ลองปฏิบัติต่ออีกคนอย่างเคร่งขรึมสักหน่อย และมีคำชี้แนะว่าอย่าทำท่าทีวุ่นวายเพราะจะทำให้กลับมารู้สึกเครียดได้
ให้ลองหางานอดิเรกที่สามารถทำร่วมกันได้ แสดงออกถึงความรักมากขึ้นแต่อย่าคาดหวังว่าต้องมีสิ่งตอบแทนความรู้สึกนั้น จดจ่อกับเรื่องคนรักให้น้อยลงและทุ่มเทกับงานของตัวเองให้มากขึ้นอีกหน่อย ให้เวลาอีกคนได้อยู่คนเดียวและอย่ายึดติดกับการติดต่อหากัน… อีกทั้งยังมีพวกคำชี้แนะอีกมากมายจนไม่สามารถอ่านทั้งหมดได้
‘ต้องลองทำตัวออดอ้อนหรือเปล่านะ ฉันทำตัววุ่นวายขนาดนั้นต่อหน้าคิมมูคยอมหรือเปล่า ตอนนี้เวลาที่อยู่ร่วมกันก็ดูจะไม่น้อย และฉันก็ไม่เคยต้องการสิ่งตอบแทน ฉันทุ่มให้กับงานของตัวเองมากพออยู่แล้ว และฝ่ายที่ยึดติดกับการติดต่อหากันกลับเป็นฝ่ายคิมมูคยอมซะมากกว่า…’
ฮาจุนตอบทีละเรื่องในใจแล้วขีดเส้นแกรกๆ ทับบนข้อความที่ตัวเองเขียน ตัวอักษรที่เขียนไว้ถูกฆ่าทับด้วยเส้นสีดำที่ลากอย่างหยาบๆ ฮาจุนดึงกระดาษหน้าที่จดเมื่อครู่นี้ออกแล้วฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทิ้งลงถังขยะ
ฮาจุนหลุบสายตาห่อเหี่ยวลงมองกระดาษที่ถูกฉีกพร้อมกับเม้มปาก
…ไม่ใช่ว่าต้องการพยายามเพื่อให้ผ่านพ้นไปได้
ถ้าหากถึงเวลาที่อีกคนเบื่อที่จะคบเขาแล้ว และถ้าหากมูคยอมสนใจคนอื่นขึ้นมาจริงๆ…
เขาก็ทำได้แค่เศร้าสร้อยกับการที่ช่วงเวลาแบบนั้นมาถึงเท่านั้นเอง
วันนี้คือวันที่สามสิบธันวาคม เพียงวันเดียวก่อนถึงวันสุดท้ายของปีที่จองโรงแรมไว้เพื่อใช้เวลาท้ายปีอันแสนพิเศษกับมูคยอม
“…แต่นี่ก็คิดไปเองเกิน”
ฮาจุนนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งพร้อมกับเตือนตัวเองอย่างสุขุม
ถ้าลองคิดดู คำพูดของมูคยอมไม่ผิดเลย ยิ่งไปกว่านั้น คิมมูคยอมก็เป็นคนที่เคยเห็นภาพเขาเข้าไปในโมเต็ลกับแชฮุนแล้วเข้าใจผิดไม่ใช่เหรอ
หากลองคิดแบบสลับกัน เขาก็เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนั้น คราวนี้มองว่าเป็นฝ่ายตัวเองที่ได้เห็นฉากคิมมูคยอมเข้าโรงแรมกับคนอื่นก็พอแล้ว
ไม่สิ ถ้าลองพิจารณาดูทีละอย่าง สถานการณ์นี้น่าสงสัยน้อยกว่าของเขาในตอนนั้นด้วยซ้ำ สถานที่ก็ไม่ใช่โมเต็ลแต่เป็นบ้านธรรมดาทั่วไป รูปที่ถ่ายออกมาก็ไม่สามารถจับภาพช่วงเวลาที่เกินกว่าเหตุได้ เพียงแต่ตัวหลักในภาพนั้นคือคิมมูคยอม และอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวสวย จึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าพวกนักข่าวคงจะปั้นเรื่องทั้งสองคนขึ้นมาตามอำเภอใจด้วยเหตุผลนั้น
หากเมื่อตอนนั้น ใครบางคนถ่ายภาพด้านในห้องของโมเต็ลเพื่อที่จะใส่ร้ายเขา ใครคนนั้นก็คงปรับมุมไม่ให้โฟกัสคนอื่นๆ แล้วสร้างบรรยากาศละมุนละไมออกมามากแค่ไหนก็ได้อยู่แล้ว ให้ดูเหมือนกับมีเพียงเขากับแชฮุนแค่สองคน
เมื่อคิดแบบนั้น เขาก็ค่อยๆ สบายใจขึ้น ฮาจุนลุกขึ้นยืนสูดหายใจลึกๆ หลายครั้งอยู่กับที่ จากนั้นจึงเปิดประตูห้องประชุมออกมา
ในตอนที่เขากำลังเดินไปบนทางเดินเพื่อกลับไปยังสนามฝึกซ้อม
“ไปอยู่ไหนมา”
ฮาจุนได้ยินเสียงคุ้นหูจากทางด้านหลังจึงหันหน้าไป มูคยอมกำลังรีบร้อนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“ได้ยินว่าปวดหัวเลยขอไปห้องพยาบาล…”
ปลายประโยคของมูคยอมที่เดินมาอยู่ตรงหน้าฮาจุนเสียงเบาบางลง ฮาจุนฟังคำพูดส่วนที่ถูกละเว้นนั้นออกอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า ‘แต่นายไม่อยู่ที่ห้องพยาบาลเลยกำลังตามหาอยู่’ เขากลืนน้ำลายหนึ่งอึกลงด้วยความคอแห้ง
“พอได้พักแป๊บหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่ต้องถึงกับไปห้องพยาบาล ฉันเลยกำลังจะออกไปพอดีน่ะ”
“ฮาจุน เป็นเพราะฉันเหรอ”
“ฉันบอกให้คุยเรื่องนั้นกันทีหลังไง ไปคุยกันที่บ้านนะ”
ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วยิ้ม ความรู้สึกคงผ่อนคลายลงแล้วหากเทียบกับเมื่อเช้า คราวนี้เขาจึงสามารถยิ้มออกมาได้แม้กำลังสนทนากันอยู่
รอยยิ้มนั้นคงทำให้มูคยอมวางใจเช่นกัน ใบหน้าที่เคยเศร้าหมองจึงกลับมามีชีวิตชีวา อีกฝ่ายถามขึ้น
“กลับก่อนเวลาดีไหม”
“ไม่ได้”
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังสนามฝึก พระอาทิตย์ยังคงลอยอยู่กลางท้องฟ้า