ในวันนี้หลังเสร็จสิ้นการฝึก มูคยอมขับรถอย่างเร่งรีบเป็นพิเศษ มีครั้งหนึ่งที่สัญญาณไฟยังไม่เขียวแต่ก็เกือบจะเหยียบคันเร่งไปเสียแล้ว
ฮาจุนชวนให้สลับที่กัน ขณะที่มูคยอมเอ่ยขอโทษพร้อมบอกว่าจะระวัง ก็ยังบอกกับฮาจุนอีกว่า นายเร่งความเร็วรถตามอารมณ์ เพราะอย่างนั้นถ้าขับรถในเวลาแบบนี้จะยิ่งอันตราย และไม่ยอมปล่อยมือจากพวงมาลัย
‘เวลาแบบนี้’ คือเวลาแบบไหนกัน ฮาจุนชอบขับรถเร็วเฉพาะตอนที่อารมณ์ดี และต้องเป็นการขับบนถนนเขตชานเมืองที่มีจำนวนรถน้อยเท่านั้น กังวลโดยไม่จำเป็นเอาเสียเลย
ทั้งสองคนมาถึงบ้านแล้วเดินไปถึงห้องรับแขกโดยไม่ได้พูดอะไร ‘ฟุ่บ’ แม้นั่งลงบนโซฟาแล้วก็ยังไม่คุยอะไรกันเลยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คนที่ทำลายความเงียบขึ้นมาคือมูคยอม
“ฉันพูดก่อนได้ไหม”
“อื้อ”
มูคยอมหันหน้ามองฮาจุนตรงๆ ด้วยสีหน้าตึงเครียด อีกคนพูดย้ำอย่างเชื่องช้าและชัดถ้อยชัดคำทุกพยางค์
“ข่าวนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด”
“…เรื่องนั้นนายบอกเมื่อกี้แล้วนี่ เรื่องที่ฉันสงสัยคือนายไปบ้านหลังนั้นทำไม ร็อบบี้ก็ไม่ยอมตอบตรงๆ บอกแค่ว่ามีนัดเจอกัน”
ลูกกระเดือกของมูคยอมขยับจากการกลืนน้ำลาย มันเป็นเรื่องที่พูดยากอะไรขนาดนั้นกันแน่ อีกคนเท้าหน้าผากด้วยท่าทีกลัดกลุ้มแล้วถอนหายใจออกมายาว
“ฉันมีงานที่เตรียมด้วยกันกับคนนั้น”
“…งาน? พี่สาวของร็อบบี้ทำอาชีพเกี่ยวข้องกับกีฬาเหรอ”
ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาหรือการสัมภาษณ์ ถ้าเป็นคนที่ทำงานสายนั้นก็มีทางเลือกให้เข้าใจได้อยู่ มูคยอมประสานนิ้วเข้าหากันแล้วกระดิกนิ้วยาวๆ เคาะลงบนหลังมือของตัวเองเรื่อยๆ ราวกับติดอยู่ในความกลุ้มใจ จากนั้นจึงปริปากพูดขึ้น
“งานแบบไหน…”
“…”
“เอาไว้บอกพรุ่งนี้ได้ไหม”
“…ฉันรู้ไม่ได้เหรอ”
คำพูดนั้นทำให้มูคยอมคิ้วกระตุกเล็กน้อยแล้วตอบกลับด้วยความเงียบ
ฮาจุนเองก็ครุ่นคิดอยู่ในหัว
ถึงจะไม่สบายใจเลยสักนิดก็เถอะ… แต่ถ้าแค่วันเดียวก็น่าจะพอทนได้
ฮาจุนค่อยๆ เรียบเรียงความคิด ร็อบบี้ก็บอกว่าเรื่องที่อยู่ด้วยกันเป็นความจริง เพราะฉะนั้นหากสงสัยในความสัมพันธ์ที่ผิดปกติอย่างที่คิดมากเกินไป ทั้งเขาทั้งคิมมูคยอมก็มีแต่จะเหนื่อยขึ้น อีกอย่างคือนี่เป็นช่วงของวันเปิดกล่องของขวัญที่สภาพร่างกายจะเสื่อมถอยลงหรือได้รับบาดเจ็บกันบ่อยครั้ง เขาจำเป็นต้องเล่นสงครามประสาทต่อไปเพียงเพื่อจะฟังคำตอบที่จะได้รู้แน่ๆ ก่อนล่วงหน้าหนึ่งวันด้วยอย่างนั้นเหรอ
ฮาจุนกัดเนื้อด้านในริมฝีปากเบาๆ แล้วลดเสียงลงเล็กน้อยพร้อมพูดสรุป
“เข้าใจแล้ว คิมมูคยอม ฉันเชื่อนายนะ”
“…ขอบใจนะ”
เป็นการพูดโต้ตอบกันสั้นๆ แต่เหมือนกับว่าความรู้สึกของมูคยอมยังไม่ผ่อนคลายลงเสียทีเดียว อีกคนจึงทอดสายตามองฮาจุนด้วยสีหน้าแปลกประหลาดและลึกล้ำราวกับอาบไปด้วยทุกความรู้สึกของมนุษย์ เขารับฟังเพราะอีกฝ่ายขอร้องอย่างจริงจัง แต่เหตุผลที่ดูไม่ดีใจเลยคืออะไรกัน
ทว่าฮาจุนก็ฉีกยิ้มโดยไม่ถามอะไรมากไปกว่านี้ เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความรู้สึกอื่นแอบแฝงหลังจากคุยกันจบเรียบร้อยแล้ว
“ถ้างั้นฉันจะจำไว้จนถึงพรุ่งนี้เลย พรุ่งนี้ต้องบอกฉันให้ได้นะ เราวางแผนกันไปนอนค้างนอกบ้านทั้งทีนี่นา เรื่องแบบนี้ต้องเคลียร์ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนรับปีใหม่สิ”
“ฉันมีเหตุผลก็เลยบอกวันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจะเล่าให้ฟังทุกอย่างแน่นอน
ฉันสาบานว่าไม่มีอะไรเลยที่จะทำให้นายต้องอับอาย”
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นเรื่องนี้ค่อยคุยกันอีกทีพรุ่งนี้ ตอนนี้ทำเรื่องที่ต้องทำกันเถอะ”
เมื่อคุยกันเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่จะเริ่มทำตามกิจวัตรประจำวันเช่นปกติ
สิ่งที่ต้องเริ่มทำเป็นอย่างแรกสุดคือการฝึกร่างกายส่วนตัวของคิมมูคยอม จากนั้นก็คือการเรียบเรียงบันทึกการฝึกซ้อมในวันนี้ กินมื้อเย็น แล้วก็การบ้านที่โรงเรียน… ฮาจุนจัดลำดับงานที่จะต้องทำทีละอย่างพร้อมกับเดินไปทางห้องเทรนนิ่งพร้อมกันกับมูคยอม
จากห้องรับแขกจนถึงห้องเทรนนิ่งจะต้องเดินตามทางเดินไปอีกนิดหน่อย ฮาจุนเดินนำหน้า ส่วนมูคยอมเดินตามหลังอยู่เล็กน้อย ทั้งสองคนเดินไปโดยไม่ได้คุยอะไรกัน มีเพียงเสียงฝีเท้าเหลื่อมจังหวะของคนทั้งคู่ที่เหยียบย่ำบนทางเดินเท่านั้นที่ทิ้งร่องรอยไว้ในความเงียบ
และแล้วในชั่วขณะหนึ่ง เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งก็หยุดกึกลงอย่างกะทันหัน น้ำเสียงประหลาดใจดังตามหลังฝีเท้าที่หยุดนิ่ง
“ฮาจุน…”
ก่อนที่มูคยอมจะทันได้พูดจบ ‘หมับ’ มือเนียนขาวก็คว้าขยำเข้าที่คอเสื้อของเขา ปกเสื้อยับย่นและแรงเหนี่ยวรัดลำคอ ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้างขึ้นมา
คิมมูคยอมไม่เคยถูกใครผลักได้ แม้ใช้ร่างกายทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงบนสนามก็ตาม แต่อาจเป็นเพราะกำลังตื่นตระหนก เขาจึงถูกดันไปตามแรงผลัก
‘ปึง’ เสียงทุ้มหนักไม่น้อยดังขึ้นพร้อมกันกับที่แผ่นหลังของมูคยอมกระแทกเข้ากับกำแพง ถึงเสียงจะดังก็ไม่ได้ถึงกับรู้สึกเจ็บ แต่มูคยอมกลับตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้น ดวงตาเบิกโพลงและไม่แม้แต่จะกะพริบตาได้ด้วยซ้ำ
คนถูกผลักกับคนผลัก ดวงตาของคนทั้งสองสบมองกัน ฮาจุนยกแขนอีกข้างที่เหลือกดลงบนแผ่นอกของมูคยอม
ดวงตาที่อ่อนโยนและเจือรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ กลับมืดมนและลุกโชนแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตาขาวที่มีเงาทาบทับดูเหมือนกับมีน้ำสีฟ้าเคลือบอยู่
มูคยอมกลืนน้ำลายเสียงดัง ริมฝีปากของฮาจุนที่ปิดสนิทและเกร็งตึงค่อยๆ เปิดออกพูด แทรกเข้ามาในความเงียบอันเคร่งเครียด
“ฉันพูดอย่างชัดเจนแล้วนะ ก่อนจะมาลอนดอน”
น้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ แต่การออกเสียงชัดเจนและสะท้อนลึกลงไปในใจ ดวงตาที่ดูสงบเสงี่ยม บิดเบี้ยวอยู่เล็กน้อย
“บอกว่าห้ามมีความสนใจให้คนอื่น…”
“…”
“บอกว่าถ้ามีพวกข่าวฉาวจะไม่ยกโทษให้ บอกว่าถ้านายนอกใจ ฉันจะฆ่านายทิ้งไปซะ!”
วิธีการพูดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจร้อนผ่าว ทว่าเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งแห้ง สัมผัสลงตรงลำคอของมูคยอม ความรู้สึกที่แบ่งแยกได้ไม่ชัดเจนว่าร้อนระอุหรือหนาวเหน็บ มูคยอมรู้สึกเสียววาบจนขนลุกไปทั่วร่าง
มูคยอมรอคำพูดต่อไปของอีกคนโดยที่ยังหยุดหายใจ แต่ฮาจุนคงพูดสิ่งที่จะพูดจบแล้ว จึงเพียงหลับตาและปิดปากอย่างเกร็งเครียดราวกับปิดหน้าต่างเพื่อสกัดกั้นการกระตุ้นจากภายนอก คางของฮาจุนสั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด
เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาของฮาจุนจึงปรือเปิดขึ้นอย่างช้าๆ สบตากับมูคยอมอีกครั้ง แววตาคู่นั้นมีความอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนในตอนปกติหมุนวนเวียนอยู่ ความเดือดดาลอันหม่นมืดที่เจืออยู่ในน้ำเสียงก็จางลงแล้วเช่นกัน
“ฉันไม่ได้เริ่มพูดก่อนเองด้วย แต่นายโน้มน้าวให้ฉันพูด นายก็จำได้ใช่ไหม”
“…ฉันรู้”
“ถ้าไม่อยากตายก็เตรียมคำอธิบายที่ฉันพอจะยอมรับได้ซะ”
ตอนนั้นฮาจุนถึงได้ปล่อยมือที่ยึดคอเสื้อของมูคยอมออก เสร็จแล้วก็เงยหน้ามองเพดานครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจสั้นๆ ราวกับห่อเหี่ยวแล้วก็เคอะเขินอย่างไรชอบกลแล้วพยักเพยิดไปทางที่เคยเดินไป
“ไปต่อกันเถอะ”
“ฆ่าฉันสิ”
ทว่ามูคยอมดันตอบกลับอย่างคาดไม่ถึง ฮาจุนเพิ่งก้าวเท้าออกไปแต่ก็ต้องหันกลับมามองอีกครั้ง
มูคยอมก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้หนึ่งก้าวแล้วเกี่ยวเอวฮาจุนเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว ดวงตาของมูคยอมสั่นไหวอย่างรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ถูกฮาจุนขู่เสียอีก ต่างกับฮาจุนที่กลับมาสงบลงแล้ว
คราวนี้ฝ่ายที่ทำอะไรไม่ถูกกลับเป็นฮาจุนเอง มูคยอมหัวเราะราวกับคนรื่นเริงเสียเต็มประดา
“ถ้านายไม่ชอบใจ จะทำแบบนั้นเมื่อไรก็ได้”
“…”
“ฉันก็บอกแล้วนี่ ชีวิตของฉันทั้งหมดเป็นของนาย ต่อให้นายฆ่าฉัน ฉันก็รักนายอยู่ดี”
มูคยอมจับมือของฮาจุนยกขึ้นมา ก้มหัวลงประทับริมฝีปากลงบนหลังมือหลายครั้งแล้วถูไถแก้มของตัวเองบนนั้นราวกับแสดงออกถึงความจงรักภักดีดังเช่นทุกที จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงมือของเขาขึ้น ฝ่ามือของฮาจุนแตะลงตรงต้นคอของมูคยอม เป็นท่าที่หากออกแรงก็คงจะสามารถบีบคอของอีกคนได้ทั้งอย่างนั้น
ฮาจุนแบมือออกกว้างราวกับหวาดกลัวว่าจะบีบคออีกคนตามแรงอารมณ์ เมื่อทำแบบนั้น มูคยอมก็จับมือเขาลูบลำคอของตัวเองตามอำเภอใจ พร้อมทั้งส่งเสียงครางทุ้มในลำคอราวกับเสือที่ถูกมือของมนุษย์ลูบ
“ถึงตายก็ไม่เป็นไร เพราะงั้นโลภในตัวฉันหน่อยนะ”
“คิมมูคยอม”
“ฉันให้ไปหมดแล้วนี่… ฉันให้นายไปหมดทุกอย่างแล้ว นายทำให้ไม่มีใครสามารถแตะต้องฉันได้เพราะฉันเป็นของนาย แล้วนายก็ใช้ฉันตามใจนายได้เลยเพราะฉันเป็นของนาย ถ้าบอกให้ยอมสยบก็จะสยบ ถ้าบอกให้ตายก็จะตาย ถ้านายสั่ง ไม่ว่าอะไรฉันก็เตรียมพร้อมจะทำตามทุกอย่างอยู่แล้ว แต่นายใจดีเกินไปก็เลยไม่เคยใช้อะไรฉันเลย”
มูคยอมร่ายคำพูดอันบ้าระห่ำออกมาราวกับมัวเมาในรสเหล้าอันหวานหอม ดวงตาที่ทอดมองมูคยอมพูดแบบนั้นซีดขาวและสั่นระริก ฝ่ามือที่เคยลูบไล้บนลำคอ ตอนนี้ถูกดึงขึ้นไปวางบนแก้ม ฮาจุนกัดริมฝีปากที่สั่นเทาไว้แน่นพลางกัดฟัน
…ช่วงความรักจืดจาง? นอกใจ?
ฮ่าๆ ฝืนหัวเราะออกมา ฮาจุนยกมืออีกข้างที่อีกคนไม่ได้จับ ขึ้นไปวางบนแก้มของมูคยอมด้วยเช่นกัน เมื่อถ่ายน้ำหนักลงไป หลังของมูคยอมก็ชนกับผนังอีกครั้ง ริมฝีปากของทั้งสองทาบทับกันอย่างดูดดื่มและดุเดือด มันร้อนระอุ เสียงที่เต็มไปด้วยความเปียกชื้น ดังแทรกขึ้นมาอย่างแผ่วเบาและชุ่มฉ่ำภายในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงัดลง
ฮาจุนใช้ปลายลิ้นสะกิดเรียวเนื้อร้อนรุ่มที่หวังจะแทรกเข้ามาในปากของตน เช่นเดียวกับที่มูคยอมทำกับเขาเป็นบางครั้ง เมื่อทำแบบนั้น มูคยอมก็สงบเสงี่ยมลงจริงๆ
วันนี้ฮาจุนจูบอย่างไม่รีบเร่งลนลาน เขาส่งลิ้นเข้าไปลึกในปากของมูคยอมแล้วกวาดไล้เนื้อเยื่อภายในปากกับลิ้น ไปจนถึงเพดานปากแข็งอย่างทั่วถึง แบบเดียวกันเป๊ะกับที่มูคยอมทำ ฮาจุนทบทวนจูบของอีกคนในหัวพร้อมกับทำตามอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“อา…”
เมื่อจูบเสร็จแล้วผละหน้าออกไป เสียงครางที่เจือความประทับใจกับความรู้สึกดีผสมรวมกัน ก็ดังลอดออกมาจากริมฝีปากของมูคยอม
“โค้ชอี จูบวันนี้… ดีที่สุดจากที่เคยจูบมาจนถึงตอนนี้เลย… ถ้าตั้งใจก็ทำได้จริงๆ สินะ”
“ไม่ฆ่าหรอก”
“จะไว้ชีวิตฉันเหรอ”
“ใช่ เพราะนายเป็นสิ่งที่ดีและมีค่าที่สุดในบรรดาของที่ฉันมี… ฉันจะใช้นายอย่างทะนุถนอมไปตลอดชีวิต”
ทั้งสองพูดโต้ตอบบทสนทนาที่เริ่มคลอเคล้าไปด้วยลมหายใจร้อนรุ่มราวกับหยอกเย้า ในขณะเดียวกันก็ลูบคลำไปตามร่างกายของกันและกันอย่างใจร้อน
“แล้วก็คิมมูคยอมต้องไม่ยอมสยบสิ ไม่ว่ากับใคร หรือแม้แต่ฉันก็ตาม…”
เมื่อมือขาวลากลงบนแผ่นอกแน่นสีทองแดง มูคยอมก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วฝังใบหน้าลงตรงลำคอของฮาจุน
ร่างกายของทั้งสองไหลครูดผนังลงแล้วเกลือกกลิ้งไปบนพื้นแข็งๆ เสื้อผ้าถูกถอดออกอย่างรีบร้อน ลอยหวิวไปหล่นลงไกลๆ อย่างไร้เสียง ทั้งคู่กลายสภาพมาอยู่ในร่างเปลือยเปล่าหมดจด ต่างคนต่างทิ้งรอยฟันบนผิวกายตามจุดที่ขบกัดอีกฝ่ายแล้วฝังริมฝีปากลงดูดดึงตามความปรารถนา รู้สึกได้ว่ากระทั่งแผงฟันก็ยังอาบย้อมไปด้วยความร้อนรุ่ม
การลูบสัมผัสในวันนี้ไม่ได้ยาวนาน ทั้งคู่พลิกตัวนอนสลับหัวไปคนละทาง หันสู่เบื้องล่างของอีกคนแล้วใช้ปากทำให้รูรักกับแกนกายชุ่มโชก ลิ้นกับนิ้วของมูคลอมสลับกันไล้เลียและชักเข้าออกรูรัก แต่ในวันนี้ฮาจุนเองก็ลืมสิ้นความเขินอาย เขาร้องสุดเสียงพร้อมกับดันเอวเข้าหาราวกับตั้งใจจะดึงลิ้นของมูคยอมซึ่งไล้เลียด้านหลังของตัวเองให้เข้ามาด้านในมากขึ้น
มูคยอมซึ่งส่งเสียงครางได้อย่างน่าเอ็นดูไม่น้อยเมื่อครู่นี้ ตอนนี้กลับคำรามอย่างดิบเถื่อน อีกฝ่ายบดเคล้าหว่างขาของตัวเองลงกับด้านหลังของฮาจุนพร้อมทั้งสอดแทรกเข้ามาในช่องทางที่คลายตัวลงแล้ว ร่างเปลือยของทั้งคู่หายใจหอบอย่างรวดเร็วพร้อมกับโถมเข้าหากันราวกับสัตว์ป่า
แม้ไม่ใช่ห้องนอนกว้างกับเตียงราคาแพง หรือโซฟาตัวนุ่มที่ใหญ่ไม่น้อยไปกว่าเตียงนอน ภายในบ้านก็ยังมีเฟอร์นิเจอร์หรูที่พอจะรองรับร่างกายทั้งสองได้อย่างสบายอยู่อีกเยอะ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งคู่ก็ไม่ผละห่างจากกันเลยแม้แต่ก้าวเดียว ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความคิดที่จะสละแม้แต่เศษเสี้ยวเล็กๆ ในวินาทีนี้ไป
* * *
การฝึกในวันต่อมาเสร็จสิ้นลงเร็วกว่าปกติ
ต่อให้บอกว่าเป็นช่วงวันเปิดกล่องของขวัญอันแสนยุ่งแต่มันก็เป็นวันสุดท้ายของปี ทั้งนักกีฬาทั้งสตาฟต่างก็บอกว่าไว้เจอกันปีหน้าพร้อมบอกสวัสดีปีใหม่แก่กัน จากนั้นจึงออกจากสนามฝึกไป
มูคยอมกับฮาจุนวางแผนว่าจะตรงไปยังโรงแรมที่จองไว้แทนที่จะกลับบ้าน ฮาจุนลอบส่งสายตามองใบหน้าด้านข้างของมูคยอมซึ่งกำลังขับรถอยู่หนึ่งครั้ง
อีกฝ่ายบอกว่าจะอธิบายสถานการณ์ในวันนี้ ถึงแม้จะคุยเรื่องอื่นกันเป็นปกติแต่กลับไม่เอ่ยปากถึงเรื่องนั้นเลย ราวกับลืมบทสนทนากับการปะทะฝีปากเมื่อวานไปแล้ว
ฮาจุนเองก็เช่นเดียวกัน เขาปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับปกติ ราวกับว่าการกระทำเมื่อวานที่เขาข่มขู่มูคยอมและกระโจนเข้าใส่อีกคนไม่เคยเกิดขึ้น เนื่องจาก ‘วันนี้’ ยังไม่หมดวัน
โรงแรมที่ตัดสินใจเข้าพักดูเหมือนจะสร้างขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไรนัก ความแวววาวอันเป็นเอกลักษณ์ของตึกสร้างใหม่ยังไม่เลือนหาย อีกทั้งยังสูงชะลูด ลอนดอนยังคงมีตึกเก่าแก่อยู่เยอะ ต่างกับโซลที่เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้าในทุกจุดที่มองไป เขานึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินมาว่าตึกสูงแบบนี้ เพิ่งจะเริ่มนิยมสร้างขึ้นมาได้ไม่นานสักเท่าไร ในขณะที่เดินไปยังลิฟต์ที่เชื่อมอยู่กับลานจอดรถด้วยกันกับมูคยอม ฮาจุนก็ถามขึ้น
“ชั้นไหนเหรอ”
“ห้องพักชั้นบนสุด”
คงคุยกันไว้ล่วงหน้าแล้วจึงไม่จำเป็นต้องเช็กอินที่ฟรอนต์ เมื่อมูคยอมแตะการ์ด ลิฟต์ก็พาทั้งสองคนเคลื่อนขึ้นไปทันที
ฮาจุนนึกถึงความสูงของตัวตึกที่เห็นจากด้านนอก เขารู้สึกเหมือนกับทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ฮาจุนไม่ชินกับห้องนอนบนชั้นสูงๆ เพราะจนถึงตอนนี้ก็เคยอาศัยอยู่ชั้นสูงสุดเป็นแค่ชั้นกลางๆ ในอะพาร์ตเมนต์ของการเคหะ
ด้านบนสุดของชั้นที่เป็นห้องพัก มีเพียงห้องที่ทั้งสองคนจะเข้าพักเท่านั้นที่กำลังรอพวกเขาอยู่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นใด เมื่อมูคยอมเปิดประตูออก ห้องกว้างใหญ่ราวสนามกีฬาซึ่งมีกำแพงด้านหนึ่งเป็นกระจกทั้งหมดก็ต้อนรับพวกเขาทั้งคู่
“ว้าว…”
ฮาจุนอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
ฮาจุนคิดว่าพออาศัยอยู่ด้วยกันกับมูคยอมก็ได้ลองไปสถานที่หรูหรามาหลายหน แต่นี่มันให้คนละความรู้สึกกันเลย ถึงแม้ว่าเคยขึ้นมาบนที่สูงๆ อยู่หลายครั้งเพื่อชมทิวทัศน์หรือวิวยามค่ำคืนแล้วก็ตาม
ลอนดอนในฤดูหนาวมีช่วงกลางวันสั้น ถ้าเวลาล่วงเลยไปหลังสี่โมงเพียงนิดเดียว พระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลงแล้ว ตัวเมืองที่เข้าสู่ช่วงเย็นพอดีอาบแสงอาทิตย์อัสดงสีเข้ม ทำให้ตึกทุกตึกดูทอแสงสีม่วงอ่อนประกายแดง
เมื่อเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆ หน้าต่างที่ล้อมด้วยผนังทั้งหมดแล้วก้มลงมองก็ได้เห็นสถานที่สำคัญต่างๆ อยู่ด้านล่าง อย่างเช่น ลอนดอนอาย หรือวิหารเวสต์มินสเตอร์ และสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์หลายแห่ง ไม่ใช่สถานที่ไกลตัว แต่พอได้ทอดมองที่เหล่านั้นอยู่ใต้เท้าก็รู้สึกเหมือนจะวิงเวียนอยู่นิดหน่อย ฮาจุนจึงก้าวถอยหลังสองสามก้าว
“เจ๋งมากเลย”
“ไม่เลวสำหรับที่จะใช้เวลาส่งท้ายปีใช่ไหม ตอนจุดพลุหลังจากนี้ก็น่าจะวิวดีทีเดียว”
ฮาจุนพยักหน้าโดยที่ปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด ฤดูหนาวปีที่แล้ว มูคยอมมาอังกฤษก่อน ฮาจุนตามมาอยู่ด้วยหลังเข้าสู่เดือนมกราคมไปแล้ว เขาจึงได้ดูพลุฉลองปีใหม่ซึ่งทางลอนดอนจัดขึ้นทุกปีในวิดีโอที่มูคยอมส่งมาให้เท่านั้น
“อืม”
ในระหว่างนั้น มูคยอมที่ถอดเสื้อโค้ทไปแขวนก็ส่งเสียงในลำคอสั้นๆ ราวกับตั้งใจจะพูดเรื่องสำคัญบางอย่าง
ฮาจุนหมุนตัวกลับมาจากหน้าต่างทั้งตัวเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ในที่สุดก็มีทีท่าว่าจะอธิบายเกี่ยวกับข่าวฉาวสักที
ทว่ามูคยอมไม่เริ่มพูดเรื่องอะไรเลยสักอย่างแล้วทอดสายตามองฮาจุนนิ่งๆ จากนั้นใบหน้าก็ค่อยๆ ขึ้นสีแดงอยู่คนเดียว