“อื้อ”
“หันกลับไปดูหนึ่งปีที่ผ่านมา… ก็ไม่แย่นะ ไม่สิ ดีเลยละ”
มูคยอมยิ้มแห้งเจือความรู้สึกผิดแล้วทอดสายตามองฮาจุน
“ถึงจะเต็มไปด้วยเรื่องที่ทำให้นึกเสียใจทีหลังหลายๆ แบบเมื่อมองย้อนกลับไปก็เถอะ”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ การใช้ชีวิตแบบไม่ให้มีเรื่องเสียใจมันยากเกินไป”
“ก่อนได้เจออีฮาจุน ฉันคิดว่าชีวิตของฉันไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเสียใจทีหลังแล้ว… ไม่ใช่เพราะฉันเก่งกาจอะไรหรอก แต่ก็แค่ไม่ชอบมองย้อนกลับไปเฉยๆ”
ฮาจุนรับรู้ถึงความจริงใจที่แฝงอยู่ในคำตอบรับสบายๆ เขามองหน้ามูคยอมครู่หนึ่งแล้วยกยิ้มบาง
“ฉันก็ด้วย เพราะถ้ายึดติดกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็จะเหนื่อยมากกว่า”
“แต่ปีนี้มันต่างออกไปนิดหน่อย เรื่องที่ฉันอยากนึกย้อนกลับไปมีมากขึ้น
ถึงไม่ใช่เรื่องดี ถึงจะรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลังก็ตาม ทั้งที่ฉันเคยเอาแต่ตั้งใจสลัดเรื่องที่ผ่านไปแล้วทิ้งไปอยู่ตลอดแท้ๆ”
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วย่อมทำอะไรไม่ได้ การขบคิดเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ จึงทำได้เพียงตั้งใจทุ่มสุดกำลังกับเรื่องที่อย่างน้อยก็สามารถทำได้ในตอนนี้เท่านั้น ต้องก้าวต่อไปข้างหน้าโดยไม่หันหลัง เช่นเดียวกับม้าแข่งที่รู้จักแค่การมุ่งตรงไป
ที่กล่าวมาคือวิธีการที่คิมมูคยอมใช้ชีวิตมา คิมมูคยอมในตอนนี้เป็นแบบนั้น วิ่งมาโดยเชื่อมั่นว่าวิธีการของตัวเองไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไขว่คว้าความสำเร็จที่ปรารถนาอย่างแรงกล้าไว้ได้ จึงไม่เคยนึกเสียใจกับเรื่องนั้นเลย
แต่ถ้าคิมมูคยอมเป็นคนที่รู้จักหย่อนใจลงสักหน่อยจะดีมากแค่ไหนกัน
ถ้าหากรู้ว่าการที่ม้าแข่งหยุดพักแล้วหันกลับไปมองหลังเป็นครั้งคราวไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แถมเป็นกระบวนการตามธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ
ถ้าหากมูคยอมได้เรียนรู้เร็วขึ้นอีกหน่อย ว่าชีวิตของคนเราไม่ได้ประกอบขึ้นเป็นเส้นตรงเพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกับถนนหนทางทั่วๆ ไป มีทั้งเส้นทางที่ต้องเบี่ยงออกหรือหักเลี้ยว บางครั้งจึงต้องผ่านพื้นที่นั้นไปก่อนจึงจะมุ่งต่อไปข้างหน้าได้…
ถ้าเป็นแบบนั้น คิมมูคยอมก็คงจะไม่หวาดกลัวอีฮาจุนที่ทำให้ตัวเองต้องหันกลับไปมองเส้นทางที่ผ่านมาแล้วอยู่บ่อยๆ และคงจะไม่สร้างบาดแผลให้อีฮาจุนอย่างไร้ประโยชน์ด้วย คงจะบอกรักเร็วขึ้นกว่าเดิม และทำให้อีฮาจุนมีความสุขยิ่งขึ้นกว่านี้…
มูคยอมยิ้มอย่างขมขื่นเพื่อกล้ำกลืนความเสียใจที่กระหน่ำเข้ามาเป็นแถวอีกครั้ง เหมือนกับที่มีมาเป็นร้อยๆ รอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฉัน… ขี้ขลาดกว่าที่เห็นนะ ทำเป็นก้าวต่อไปข้างหน้า แต่จริงๆ ก็คงกลัวเลยไม่อยากมองย้อนกลับนั่นแหละ เพราะถ้ามองกลับไปก็รู้สึกเหมือนจะมีพวกวิญญาณไล่ตามมา ฟังดูงี่เง่าใช่ไหม”
“ไม่หรอก ฉันก็เข้าใจว่าเป็นยังไง ถึงในกรณีของฉันจะเหมือนมีหินกลิ้งตามมามากกว่าวิญญาณก็เถอะ”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันแล้วมูคยอมก็จับมือของฮาจุนก่อน โชคดีแล้วที่การใช้ชีวิตแบบพยายามไต่เต้าและมุ่งไปข้างหน้าอย่างกดดัน หลงเหลือความสำเร็จเอาไว้ให้
“ทั้งปีก่อน แล้วก็ปีนี้ ฉันยังบกพร่องอยู่อีกเยอะ”
“ฉันก็ด้วยนั่นแหละน่า…”
“แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องที่คิมมูคยอมเป็นคนมุ่งมั่น เป็นคนพัฒนาเร็ว สองเรื่องนี้ ทั้งฉันทั้งคนอื่นๆ ต่างก็ยอมรับกันหมดนี่ ปีหน้าฉันก็จะเป็นคนที่ดีขึ้น มีเรื่องนั้นเรื่องเดียวที่ฉันสัญญาได้จริง”
“ฉันต้องรู้ดีที่สุดอยู่แล้วว่า คิมมูคยอมเป็นนักกีฬาแบบไหน”
ฮาจุนพยักหน้าแล้วทิ้งตัวพิงโซฟาพลางกลอกตา
“นั่นสินะ ตั้งเป้าหมายสำหรับปีหน้าไว้ก็น่าจะดี ปีหน้าฉันจะฝึกทำอาหาร
ฉันก็อยากทำของอร่อยๆ ให้นายเยอะๆ เหมือนกัน”
“บอกว่าไม่ทำก็ไม่เป็นไรไง ยังจะพูดแบบนั้นอีก”
“ฉันอยากทำ”
“อืม… ถ้าฝึกเดี๋ยวก็เก่งขึ้น เพราะเรื่องใช้มีด เดี๋ยวนี้ก็มีเครื่องมือที่ใช้แทนกันได้อีกเยอะ การทำอาหารขั้นพื้นฐานน่ะ แค่ทำตามลำดับเป็นระบบก็ทำได้แล้ว นายเก่งอะไรแบบนั้นนี่ ตอนนี้นายคิดไปก่อนว่าทำไม่ได้ก็เลยจับจุดไม่ถูกน่ะสิ”
คำพูดของมูคยอมทำให้ฮาจุนทำสีหน้าพึงพอใจ มูคยอมพูดต่อ
“ปีหน้าฉันอยากชนะเลิศในแชมเปียนส์ลีก”
“ฉันด้วย”
“อยากลองคว้าสักสามแชมป์ ถ้าทำได้สักครั้งก่อนเลิกเล่นฟุตบอลก็คงดี”
“สักวันต้องทำได้แน่”
“ถ้าได้กลับบ้านที่โซลช่วงใบไม้ผลิก็ดีเหมือนกัน ฉันอยากดูดอกไม้กับนาย”
“ใช่ๆ ไปกันให้ได้นะ ตอนดอกไม้บานน่ะสวยมากจริงๆ”
“ถ้าได้ไปเที่ยวเยอะๆ ด้วยก็คงดี ปีนี้งานยุ่งเกินไป ขนาดใกล้ๆ ยังแทบไม่ได้ไปเลยใช่ไหมล่ะ”
“ปีหน้าก็น่าจะยุ่งอยู่ดี… แต่นับจากปีหน้าเป็นต้นไป ฉันก็เป็นโค้ชอย่างเป็นทางการแล้ว น่าจะมีเวลาว่างมากขึ้น คนอื่นพูดอยู่ตลอดเลยว่าช่วงเป็นอินเทิร์นน่ะยุ่งที่สุด”
“ปีนี้ฉันเล่นเปียโน เพราะงั้นปีหน้าก็จะหาเรียนอย่างอื่นแล้วมาเซอร์ไพรส์อีฮาจุน”
ฮาจุนหัวเราะออกเสียง มูคยอมทอดสายตามองท่าทีของอีกคนโดยหลงลืมคำพูดไปชั่วขณะ อีฮาจุนที่กำลังหัวเราะอย่างไม่มีเรื่องคาใจ ส่องประกายยิ่งกว่าแสงไฟที่ส่องสว่างให้ทิวทัศน์ยามค่ำคืน ไม่สิ ยิ่งกว่าแสงแดดยามเช้าด้วยซ้ำ
มูคยอมนึกถึงอีกคนตอนเจอกันครั้งแรก ถึงกำลังฉีกยิ้มแต่ก็บอบบางเหมือนกระดาษที่พร้อมจะยับยู่ยี่ในอีกไม่ช้า ทั้งยังเหมือนกับดอกไม้ป่าก้านยาวที่ถูกก่อกวนด้วยลมฝนตลอดทั้งคืน จากนั้นทำให้กลีบของตัวเองแห้งลงภายใต้แสงแดดอย่างยากลำบาก
ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ฮาจุนเหมือนต้นไม้ที่ใบโบกสะบัดอย่างอารมณ์ดียามสายลมพัดและจะไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด ใบหน้าที่ยิ้มอย่างสดใส แม้จะทำท่าเหยเกแต่ก็คงจะไม่ยับยู่ยี่ เวลาอยู่ด้วยกันฮาจุนมักทำสีหน้าแบบเดียวกับคนที่รับรู้ว่าตนเองถูกรัก
นี่คือภาพลักษณ์ตามธรรมชาติของผู้ชายที่ชื่อว่าอีฮาจุน อาจจะน่าหมั่นไส้ไปบ้าง แต่พอคิดว่าคิมมูคยอมน่าจะมีอิทธิพลต่อการที่อีกคนแปรเปลี่ยนมาเป็นเหมือนตอนนี้ เขาก็หัวใจเต้นรัวแรงยิ่งกว่าตอนได้ถือถ้วยชนะเลิศเสียอีก
“ได้เวลาแล้ว”
เขายื่นมือไปหาอีกคนโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วฮาจุนก็มองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมพูดขึ้น มูคยอมก็เบนสายตาไป
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ปีใหม่ก็ขยับใกล้เข้ามาจนอยู่เพียงแค่ปลายจมูก ป้ายไฟอันมหึมาตรงลอนดอนอายเข้าสู่ช่วงนับถอยหลัง แสงไฟกะพริบวิบวับทุกครั้งที่วินาทีผันเปลี่ยน
แก็ง–
เสียงระฆังหนักอึ้งของหอนาฬิกาบิกเบนดังขึ้นบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาเที่ยงคืน พร้อมกันนั้น พลุชุดแรกก็พุ่งทะยานขึ้นมา ไฟสีแดงลากยาวเป็นเส้นตรงสามเส้นขึ้นไปบนผืนฟ้าอันมืดมิดแล้วระเบิดออกเป็นวงใหญ่บนจุดสูงสุด ไม่นานท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เริ่มส่องสว่างสีแดงฟ้าสลับกันไม่มีหยุด ระฆังเคาะต่อเนื่องจนครบ
สิบสองครั้ง
ด้านในห้องที่จงใจปิดไฟให้มืดไว้ สีของดอกไม้ไฟที่ละเลงบนท้องฟ้าสะท้อนมาเปลี่ยนสีใบหน้าของคนทั้งสอง เสียงพลุระเบิดดังทะลุหน้าต่างบานใหญ่
ฮาจุนจับจ้องท้องฟ้าตาไม่กะพริบ มูคยอมที่เคยทอดมองทิวทัศน์นั้นด้วยกันกลับเบนสายตามาทางฮาจุนที่กำลังดูพลุอยู่ พลุแต่งเติมลวดลายให้แผ่นฟ้าอย่างสวยงามไม่หยุดพัก ใบหน้าด้านข้างสะท้อนกับแสงสีทอง ทำให้กรอบหน้าทอออกมาเป็นสีส้มอมแดงดูอบอุ่น
ขอแค่ได้มองดูภาพนี้อยู่ข้างๆ กันไปทั้งชีวิต
เขานับเลขเพื่อกลั้นน้ำตาที่เอ่อทะลักขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฮาจุนพูดเรื่อยเปื่อยราวกับคุยคนเดียว
“พอได้เห็นกับตาก็สุดยอดจริงๆ…”
“อือ”
มูคยอมตอบสั้นๆ แล้วเบนสายตากลับไปมองด้านหน้าเช่นกัน การจุดพลุที่ถูกจัดขึ้นเป็นอีเวนต์ต้อนรับปีใหม่ในทุกปี ปีนี้กลับทำให้อารมณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษ
สำหรับคิมมูคยอม สิ่งที่เรียกว่าชีวิตก็คงจะคล้ายคลึงกับพลุพวกนั้นไม่ใช่เหรอ พุ่งทะยานขึ้นสูงเท่าที่จะทำได้แล้วเผาไหม้อย่างตระการตา มักจะนึกถึงวินาทีนี้กับวันพรุ่งนี้ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ไม่เคยปรารถนาอะไรมากเกินกว่านั้นเลย
เขารู้ว่าสักวันหนึ่ง ตัวเองก็จะอายุมากขึ้น แล้ววันที่ไม่สามารถลงไปยืนบนสนามได้ก็จะมาถึง วันที่ต้องถอยลงมาจากจุดสูงสุด มองสิ่งต่างๆ ตามสัจธรรมมากขึ้น และยอมรับว่าชีวิตที่ไม่สามารถเจิดจรัสได้อีกคือส่วนหนึ่งของตัวเองก็จะมาถึงเช่นกัน เพราะอย่างนั้นเขาจึงอยากจุดพลุให้ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ อยากบดบังการมองเห็นด้วยแสงแสบตาและมัวเมาอยู่ในเกียรติยศและความเพลิดเพลินของห้วงเวลาหนึ่ง
มูคยอมจินตนาการถึงอนาคตอันห่างไกลเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรือวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง แต่เขาลองฝันถึงคืนวันที่ยังไม่ใกล้เข้ามา ตอนนี้เขาทอดมองทุกสิ่งที่เคยหลีกเลี่ยงและเพิกเฉยมาตลอดโดยไม่รู้สึกอะไร พร้อมกับขบคิดเรื่องความสุข ไม่ใช่แค่เรื่องการมีชีวิตอยู่
“อีฮาจุน”
“หืม”
“ขอบคุณนะ”
ฮาจุนหันหน้ามาจากที่ทอดมองด้านนอกหน้าต่าง มูคยอมพูดต่ออย่างจริงจัง
“ตั้งแต่ได้เจอกับนาย… ฉันก็รู้สึกเหมือนโลกมันเปลี่ยนไป แค่มีนายอยู่ข้างๆ ฉันก็ไม่หวาดกลัวสิ่งที่เคยกลัว และสามารถทำสิ่งที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ เมื่อก่อนถึงจะขึ้นปีใหม่ ฉันก็ไม่ได้มีความประทับใจอะไรเลยสักนิด แต่วันนี้มันไม่เหมือนเดิม”
“…เพราะฉันเหรอ…”
“แน่นอนสิ เรื่องนี้มีแค่โค้ชอีคนเดียวที่สามารถทำได้”
ฮาจุนจ้องมองมูคยอมครู่หนึ่งพร้อมกับกระอึกกระอักราวกับทำอะไรไม่ถูก จากนั้นไม่นานก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดตอบ
“ได้ยินตัวทำคะแนนของทีมพูดแบบนั้น สำหรับโค้ชก็เป็นคำชมที่ดีที่สุดแล้วละ”
“ฉันยังบกพร่องอยู่เยอะ… แต่จากนี้ไป ฉันก็จะพยายามเป็นคนแบบนั้นสำหรับนายเหมือนกัน”
ทันใดนั้น ฮาจุนก็ทำตาโต ตาขาวสะท้อนแสงพลุนอกหน้าต่างจึงถูกระบายเป็นหลากสีสัน ดวงตาเบิกกว้างราวไม่อยากจะเชื่ออยู่นิดหน่อย แต่ไม่นานก็โค้งหยี
คราวนี้อีกคนยกยิ้มในแบบที่ดอกไม้ไฟซึ่งสว่างไสวในความมืดก็ยังอาย จากนั้นก็ตีไหล่มูคยอมเบาๆ พร้อมพูดขึ้น
“พูดอะไรของนาย คิมมูคยอมเป็นคนแบบนั้นสำหรับฉันมาเสมอตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้มูคยอมเองก็ลืมตาค้างเหมือนฮาจุนเมื่อครู่นี้ ไม่นานก็ขยับตัวเข้าหาคนที่นั่งอยู่ข้างกายให้แนบชิดยิ่งขึ้นแล้วรั้งอีกคนเข้ามากอด สุดท้ายน้ำตาก็ซึมออกมานิดหน่อย แต่คนรักผู้รอบคอบก็ไม่เอ่ยล้อหรือกล่าวถึงความจริงเรื่องนั้น เมื่อเขาประทับริมฝีปากลงบนแก้มที่เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ก็ได้รับจูบกลับคืนมา รอยยิ้มที่คั่งค้างอยู่บนใบหน้าของทั้งคู่ดูน่าดึงดูดราวกับผลไม้สุกงอม
หลังได้คบหากับฮาจุน ความคิดที่เคยสงบอยู่เสมอก็โผล่ขึ้นมาอย่างเงียบงันตรงซอกหนึ่งลึกๆ ในใจของมูคยอม ความสงสัยว่าสุดท้ายแล้วความรู้สึกที่เรียกว่าความรักจะคงอยู่ต่อไปนานแค่ไหน ความกังวลว่าคิมมูคยอมผู้มีความรักจะสั่นคลอนและแตกสลายง่ายดายกว่าคิมมูคยอมก่อนได้รู้จักความรัก ความรู้สึกผิดว่าการเป็นคนรักกับตัวเองอาจกำลังทำให้อีฮาจุนเป็นคนที่อ่อนแอและรู้สึกขาดแคลนยิ่งกว่าเดิม ความสงสัยเกี่ยวกับจุดบกพร่อง ความไม่แน่นอน และผลลบทั้งหมดนั้น
คำถามใหม่ถูกโยนมาให้ราวกับย้ำความมั่นใจแล้วก่อให้เกิดคลื่นวงกลมระลอกใหญ่บนผิวน้ำที่พวกเขาจมดิ่งอยู่
“โค้ช สวัสดีปีใหม่นะ”
“สวัสดีปีใหม่ นายด้วยนะ”
ความรักทำให้คนเราอ่อนแอหรือเปล่า
พลุที่ใหญ่ที่สุดในวันนี้ ทลายความมืดมิดไม่เหลือชิ้นดี ราวกับได้ตอบคำถามของมูคยอม ชิ้นส่วนของแสงที่กระจายตัวออกอย่างพร้อมเพรียง ร่อนลงสู่พื้นดินอย่างเชื่องช้าราวฝูงปลาที่แหวกว่ายบนท้องฟ้า แฮปปี้นิวเยียร์ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกราวกับได้ยินเสียงกู่ร้องที่ผู้คนตะโกนเป็นเสียงเดียวกันอยู่รางๆ
หลังการจุดพลุจบลง ท้องฟ้าก็ยังสะท้อนแสงจากพื้นดินที่คึกคักเมื่อเข้าสู่วันปีใหม่จึงยังไม่มืดสนิท สองคนบนโซฟาก็ยังพูดคุยว่าสวยมากจริงๆ และโปรยยิ้มพร้อมชวนกันให้มาดูอีกครั้งในปีหน้า
ทั้งสองบอกเล่าเรื่องที่อยากทำและสถานที่ที่อยากไปในปีใหม่หนึ่งปีนี้
รวมถึงเป้าหมายที่อาจจะฟุ้งซ่านไปบ้างแต่ก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ทำไม่ได้เสียทีเดียว เสียงพูดดังก้องขึ้นไปสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับโคมลอยแล้วประกาศให้ความมืดมิดได้รับรู้ คืนแรกของปีที่ได้ใช้เวลาร่วมกันเป็นครั้งแรกดูท่าจะไม่จบลงจนกว่าดวงตะวันจะโผล่พ้นขึ้นมา
ลูกฟุตบอลกลมๆ เกลือกกลิ้งไปไม่หยุดพัก แม้ยิงเข้าประตูได้แล้ว การแข่งขันก็ยังดำเนินต่อไป และถึงแม้การแข่งขันจะสิ้นสุดลงแล้ว ลีกก็ยังคงยาวนานต่อเนื่อง บางวันก็คว้าชัยชนะ บางครั้งก็แพ้พ่าย เพียงแต่การร่วมทีมของทั้งสองเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นตอนนี้เท่านั้น