Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 147

ตอนที่ 147 เห็ดซากศพ

 

ทันทีที่มู่อี้พุ่งเข้าไปหามันนั้นหนวดยักษ์ของมันก็พุ่งเข้ามาโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าหนวดเหล่านั้นจะไม่ได้มีพลังมากเท่าไหร่แต่มู่อี้ก็ไม่อาจประมาทได้เลย มีดสั้นที่อยู่ในมือซ้ายของเขาฟาดฟันออกไปอย่างต่อเนื่องและตัดหนวดที่พุ่งตรงเข้ามาให้ขาดไปทันที ส่วนต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในมือขวาของเขานั้นก็ฟาดออกไปด้วยเช่นกัน ทุกๆครั้งที่เขาฟาดต้นไผ่ออกไปนั้นหนวดของสัตว์ประหลาดจะมีอาการสั่นอย่างเห็นได้ชัดและจากนั้นมันก็หลุดลงไปที่พื้นไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีก

 

แม้ว่าหนวดที่พุ่งเข้ามาโจมตีนั้นจะมีมากมายมหาศาลแต่มู่อี้ก็รวดเร็วกว่า เพียงไม่กี่ลมหายใจหนวดจํานวนมากที่พุ่งเข้ามาหาเขานั้นก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที ส่วนหนวดเส้นอื่นๆที่เหลืออยู่ดูเหมือนจะกําลังถอยกลับไปในตอนนี้

 

มีหนวดเป็นจํานวนมากที่พุ่งเข้ามาโจมตีมู่อี้แต่ก็ถูกทําลายไปอย่างง่ายดาย ชิ้นส่วนของหนวดเหล่านี้กระเด็นลงไปที่พื้นและมีควันสีเขียวจางจางที่ดูแปลกประหลาดลอยขึ้นมา และควันเหล่านั้นก็ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายของมู่อี้โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

 

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นไปอย่างเงียบๆแม้แต่มู่อี้ก็ไม่อาจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติใดๆเลย ควันสีเขียวนี้ไม่มีกลิ่นและรสชาติใดๆเลยมันผสมผสานเข้ากับอากาศและซึมซับเข้าไปในร่างกายของเขา

 

ในที่สุดมู่ก็ลงมาจนถึงด้านล่างสุดของหลุมขนาดใหญ่แห่งนี้ เขาพบว่าตนเองอยู่ห่างจากสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้ไม่มากนักแล้ว

 

ในเวลาเดียวกันมู่อี้ก็รู้สึกได้ถึงสัญชาตญาณที่รุนแรงที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าชวี่หยางกําลังกลับมาที่นี่แล้ว

 

สายเกินไปที่จะหนีออกจากที่นี่แล้ว มู่อี้ทิ้งมีดสั้นที่อยู่ในมือของเขาไปและถือต้นไผ่แห่งชีวิตในมือของเขาออกไปปะทะกับศัตรูทันที ในตอนนี้ต้นไผ่แห่งชีวิตเปล่งแสงสีเขียวจางๆออกมา ภายในแสงสีเขียวนั้นร่างของเด็กสาวยังคงนอนขดตัวหลับสนิทอยู่

 

“ตู้ม!”

 

ต้นไผ่แห่งชีวิตฟาดเข้าไปที่หนวดที่เหมือนกับรากไม้อย่างรุนแรงและเกิดเสียงดังขึ้นมาทันที ต้นไผ่แห่งชีวิตดูเหมือนจะจมลงไปในหนวดนั่นพร้อมกับของเหลวที่พุ่งสวนออกมา

 

“กร๊อดดด!”

 

เจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ร้องออกมาทันทีและมู่อี้ก็รีบถอยกลับมา แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไปแล้วในตอนที่เขากําลังจะถอยออกมานั้นร่างกายของเขาก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่อ่อนนุ่มและเบาบางที่เข้ามาสัมผัสกับร่างกายของเขาและทําให้เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปในทันที แม้แต่พลังแห่งจิตใจของเขาก็ถูกระงับไปด้วยเช่นกัน

 

“ไม่ดีแล้ว” มู่อี้รู้สึกเช่นนี้ในใจ เขาระวังตัวอยู่ตลอดเวลาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้

 

ที่เขากล้าเข้าใกล้สัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้เพราะเขายังไม่รู้ว่ามันมีอันตรายมากเพียงใดและไม่อยากใช้ยันต์สายฟ้าของตนเองออกไป ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มั่นใจในยันต์สายฟ้าของตนเอง แต่กลัวว่ายันต์สายฟ้าจะสังหารสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้และทําให้ต้นไผ่แห่งชีวิตไม่อาจดูดซึมพลังที่มันต้องการได้

 

ในตอนนี้มู่อี้ไม่ได้สนใจเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ที่กําลังสั่นอย่างรุนแรง เขาก้าวถอยกลับมาพร้อมกับหยิบตะเกียงทองแดงออกมาทันทีและจากนั้นก็ใส่พลังแห่งจิตใจของตนเองเข้าไป

 

ทันทีที่แสงของตะเกียงทองแดงสว่างขึ้นมานั้น ในพื้นที่ที่แสงของตะเกียงทองแดงส่องสว่างไปถึงนั้นเขาก็เห็นควันสีเขียวได้อย่างชัดเจนและควันสีเขียวนี้ก็ดูเหมือนจะรวมตัวกันอย่างหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่แสงของตะเกียงทองแดงก็ไม่อาจส่องผ่านเข้าไปได้ แต่ดูเหมือนว่าควันพวกนั้นจะมีชีวิตเป็นของตนเองและพยายามหนีแสงของตะเกียงทองแดงอยู่ตลอดเวลา

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันไม่กล้าเข้ามาใกล้พื้นที่ที่มีแสงของตะเกียงทองแดงเลย ซึ่งทําให้มู่อี้รู้สึกตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

 

ถ้าหากเขาเดาไม่ผิดสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับควันที่แปลกประหลาดนี้อย่างแน่นอน บางที่ก่อนหน้านี้เขาอาจจะสูดดมควันพวกนี้เข้าไปเป็นจํานวนมากโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ แต่เขาก็ไม่ได้โทษตัวเองที่ประมาทไปหน่อยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอะไรแบบนี้

 

เมื่อเป็นแบบนี้แล้วเขาก็เพิ่มพลังแห่งจิตใจของตนเองเข้าไปในตะเกียงทองแดงให้มากยิ่งขึ้นจนแสงสว่างกลายเป็นเปลวเพลิงขึ้นมาทันที ควันสีเขียวที่อยู่รอบตัวเขานั้นไม่อาจทนได้อีกต่อไปและสลายหายไปในที่สุด

 

เมื่อเห็นเช่นนี้มู่อี้ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยตะเกียงทองแดงของเขาก็ยังสามารถกําจัดมันไปได้

 

ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมู่อี้ก็รู้สึกทนไม่ได้อีกต่อไป เขากัดลิ้นของตนเองอย่างรุนแรงและพ่นเลือดที่ออกมานั้นลงไปบนตะเกียงทองแดง

 

“ไฟ!”

 

มู่อี้กระซิบออกมาเบาๆเปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมาจากตะเกียงทองแดง แต่ในขณะเดียวกันร่างกายของมู่อี้ก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเปลวไฟจางๆ เปลวเพลิงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เบากว่าเมื่อเทียบกับครั้งที่แล้วแต่ถึงอย่างนั้นมันก็สามารถกําจัดความผิดปกติในร่างกายของเขาออกไปได้

 

ในตอนนี้ร่างกายของมู่ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงนั้นดูสว่างไสวและสง่างามอย่างยิ่ง

 

หนวดหลายเส้นที่อยู่ใกล้มู่อี้ก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านด้วยเช่นเดียวกัน โชคดีที่เปลวไฟไม่ได้ลามไปถึงเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ ไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งที่มอี้วางแผนมาทั้งหมดคงต้องสูญเปล่าแน่นอน

 

“เป็นเจ้านี่เอง!”

 

ในตอนนี้ร่างของชวี่หยางก็ปรากฏขึ้นมาทันที่ที่มุมอีกด้านหนึ่งของลานกว้าง เขาจดจํามู่อี้ได้ทันทีเมื่อเห็นเปลวไฟที่เกิดขึ้นในตอนนี้ สําหรับเขาแล้วมู่อี้เป็นอีกคนหนึ่งที่ทําให้เขาต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต

 

เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะได้มีโอกาสแก้แค้นมู่อี้ได้เร็วขนาดนี้แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าตัวเองนี้ไม่ดีแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าตัวนี้เขาตั้งชื่อให้กับมันว่า เจ้าเห็ดซากศพ ซึ่งเขาเลี้ยงดูมันด้วยซากศพของมนุษย์มากมาย ซากศพของมนุษย์เหล่านั้นจะเปลี่ยนไปเป็นพลังแห่งความตายให้กับมัน และเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้คือสมบัติที่ล้ำค่าในการสร้างผีดิบสําหรับชวี่หยาง มันล้ำค่ายิ่งกว่าอาวุธวิญญาณที่อยู่ในมือของเขาอีก

 

เหตุผลที่ว่าทําไมชวี่ยี่จวงถึงแข็งแกร่งยืนยงมาจนทุกวันนี้ได้ก็เพราะเจ้าเห็ดซากศพตัวนี้และการสร้างผีดิบของเขาก็ต้องใช้พลังจากเห็ดซากศพตัวนี้ด้วยเช่นกันเพื่อรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและความตาย

 

เจ้าเห็ดซากศพตัวนี้เทียบได้กับชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของชวี่หยางเลย เขาดูแลมันเป็นอย่างดีราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

 

ปกติแล้วเจ้าเห็ดซากศพจะซ่อนตัวอยู่ใต้ดินตลอดเวลา ถ้าหากเขาไม่เรียกมันก็ไม่มีทางปรากฏตัวขึ้นมา แม้ว่าจะมีคนอื่นเข้ามาที่นี่แต่ก็เห็นเป็นเพียงหลุมขนาดใหญ่เท่านั้นและไม่รู้ว่ามีอะไรที่อยู่ใต้ดินแน่นอน

 

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเจ้าเห็ดซากศพตัวนี้จะไม่ได้มีพลังมากนักแต่มันก็สามารถปล่อยควันที่ไร้กลิ่นและไร้รสชาติออกมาได้ ควันที่มันปล่อยออกมานั้นจะทําให้ผู้ที่สูดดมเข้าไปรู้สึกชาตามร่างกาย หมดสติ และสุดท้ายก็จะกลายเป็นอาหารให้กับเห็ดซากศพ

 

เพราะเหตุนี้ชวี่หยางจึงไม่ค่อยเป็นกังวลกับเจ้าเห็ดซากศพเท่าไหร่นัก แม้ว่าจะมีใครที่ลอบเข้ามาที่นี่เมื่อเจอกับควันพิษเข้าไปก็ต้องตายแน่นอน

 

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ที่ลอบเข้ามาในครั้งนี้จะเป็นมู่อี้

 

เพราะหากไม่ใช่เพราะว่าต้นไผ่แห่งชีวิตของมู่อี้ เจ้าเห็ดซากศพตัวนี้คงไม่โผล่ขึ้นมาจากใต้ดินแน่นอน

 

และถ้าหากไม่มีตะเกียงทองแดง มู่อี้ก็อาจจะตายไปแล้วในตอนนี้

 

ต้นไผ่แห่งชีวิตของมู่อี้ทําให้เจ้าเห็ดซากศพปรากฏตัวออกมาและตะเกียงทองแดงของเขาก็สามารถสลายควันพิษของเจ้าเห็ดซากศพออกไปได้ สถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้

 

ในตอนที่ชวี่หยางมาถึงที่นี่ มู่อี้ก็ได้ชําระล้างความผิดปกติในร่างกายของเขาจนร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว

 

แม้ว่ามันจะใช้พลังจิตใจไปไม่น้อยแต่อย่างน้อยมันก็ช่วยกําจัดปัญหาต่างๆไปได้ในเวลาที่รวดเร็ว และถ้าหากไม่มีตะเกียงทองแดงเขาคงไม่มีโอกาสชนะในการต่อสู้ครั้งนี้แน่นอน

 

แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย โชคดีที่ชวี่หยางไล่ตามพวกฉือเล่อและคนอื่นออกไปจนต้องเสียเวลา ไม่อย่างนั้นแล้วผลที่ตามมาจะเกิดอะไรขึ้นนั้นเขาก็ไม่อาจทราบได้แม้ว่าเขาจะมีตะเกียงทองแดงในมือก็ตาม

 

มู่อี้ถือตะเกียงทองแดงเอาไว้ในมือของเขาและจ้องมองไปที่ชวี่หยาง

 

ในตอนนี้สีหน้าของชวี่หยางดูเกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง เขารู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อได้เห็นเห็ดซากศพได้รับบาดเจ็บและหวังว่าตัวเองจะสามารถรักษาเจ้าเห็ดซากศพให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แต่เขาก็ยังไม่ได้รีบลงมือในตอนนี้

 

เขารู้จักพลังของมู่อี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตะเกียงทองแดงที่อยู่ในมือของชายหนุ่ม อาวุธวิญญาณชิ้นนี้ไม่เพียงแต่มันจะเป็นปรปักษ์ต่อเห็ดซากศพมันยังเป็นปรปักษ์ต่อเขาด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับมู่อี้มาบ้างแล้วแต่ชวี่หยางก็ไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย

 

เขายังจําบทเรียนที่ต้องสูญเสียแขนของตนเองไปได้เป็นอย่างดี

 

“ใครกัน!”

 

จากนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของชวี่หยาง นางแต่งกายด้วยชุดสีดําและสวมหน้ากากเอาไว้บนใบหน้า

 

แม้ว่าความเร็วของฉงเจียอี่ก็ไม่ได้ถือว่าช้าเลยแต่เขาไม่อาจเทียบได้กับทั้งสองคนนี้แน่นอน หลังจากผ่านไปอีกหลายลมหายใจเขาถึงจะตามมาสมทบที่นี่ได้ทัน เมื่อจ้องมองไปที่ก้นหลุมและเห็นมู่อี้ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของเขาก็แสดงความประหลาดใจออกมาทันที

 

แต่เขาก็แสดงความประหลาดใจออกมาเท่านั้นเพราะในตอนนี้ชวี่หยางก็กําลังเหลือบมองมาที่เขาด้วยเช่นกัน

 

ความจริงแล้วในระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ฉงเจียอี่ก็พอคาดเดาได้อยู่แล้วว่ามู่อี้จะต้องเป็นผู้ที่ลงมือก่อเรื่องในครั้งนี้แน่นอนแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องแกล้งทําเป็นประหลาดใจและพยายามหลอกชวี่หยาง

 

การที่ชวี่หยางจะเริ่มรู้สึกสงสัยคนของตนเองนั้นก็ไม่ผิด เพราะคืนนี้มีเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นมา ในตอนแรกนั้นเป็นผู้สืบทอดของสํานักเหมาซานมาเยือนที่นี่พร้อมกับฉือเล่อและคนอื่นๆ จากนั้นก็เป็นมู่อี้ศัตรูเก่าของชวี่หยางที่สร้างความเสียหายให้แก่สิ่งที่ล้ำค่าของเขา

 

โชคดีที่เขาไม่เชื่อในความสงสัยของตนเอง อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่คิดว่าฉงเจียอี่จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับสํานักเหมาซานอย่างแน่นอนและเขาก็ไม่คิดว่าฉงเจียอี่จะมีความเกี่ยวข้องกับมู่อี้ที่เป็นศัตรูด้วยเช่นกัน

 

“ชวี่หยาง ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้พบกันรวดเร็วขนาดนี้” มู่อี้จ้องมองมาที่ชวี่หยางพร้อมรอยยิ้มและกล่าวทักทายเขา

 

ในตอนที่ชวี่หยางได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นมันก็เหมือนกับการราดน้ำ มันบนกองเพลิงที่อยู่ในใจของเขาทันที

 

ชวี่หยางรู้สึกคับแค้นใจอย่างยิ่งและสีหน้าของเขาก็ดูเกี้ยวกราดมากยิ่งขึ้น

 

“เจ้าอยากจะตายไปพร้อมกับข้างั้นหรือ?” ชวี่หยางกัดฟันของเขาและจ้องมองมาที่มู่อี้ โชคดีที่เขากลับมาที่นี่ได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าหากเสียเวลาไปมากกว่านี้เห็ดซากศพคงจะหารไปแน่นอน หากเขาต้องสูญเสียชีวิตครึ่งหนึ่งของตัวเองไปเช่นนั้นแล้วสู้ให้เขาตายไปเลยยังดีกว่า

 

” ท่านผู้เป็นเจ้าของชวี่ยี่จวงกําลังพูดเรื่องอะไรกัน? ข้าน้อยนักพรตเต๋าไม่ได้มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับท่านเลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นท่านที่เริ่มต้นความเป็นศัตรูกับข้าเอง” มู่อี้จ้องมองไปที่ชวี่หยางในตอนนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะความปรารถนาต่อกุญแจชวี่หยางคงไม่ไปโจมตีสํานักคุ้มกันโม่หยวนอย่างแน่นอนและเขากับมู่ ก็คงไม่ต้องมาเป็นศัตรูกัน

 

มู่อี้เพียงแค่ต้องการตามหาตัวหลี่เฉียจ๋อ นี่คือเบาะแสข้อหนึ่งที่ชวี่หยางได้รับรู้

 

เซี่ยเจิ้งและเซี่ยเหมี่ยวได้เดินทางไปที่เมืองฉางโจวนานมากแล้วและในตอนนี้มู่อี้ก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาได้แต่หวังว่าทั้งสองคนนั้นจะพบเบาะแสอะไรบ้าง

 

ชวี่หยางก็ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน หลี่เฉียจ๋อก็ถือเป็นศัตรูอีกคนหนึ่งของเขาและเขาก็ไม่อาจปล่อยศัตรูคนนี้ไปได้แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการหลอมสร้างผีดิบที่ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นศัตรูกันในด้านนี้

 

นอกจากนี้มู่อี้ก็ยังได้ทราบอีกว่าจริงๆแล้วเปยหมิงก็มีนามสกุลว่า หลี่ ด้วยเช่นกันจากปากของหลี่เฉียจื่อ คงมีเพียงชวี่หยางที่จะให้คําตอบเขาในเรื่องนี้ได้

 

“เช่นนั้นวันนี้ถือว่าเป็นวันแตกหักของเราทั้งสองคนแล้ว” ชวี่หยางพูดรวบรัดทันที มู่อี้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย

 

ในเวลาเดียวกันมู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดเห็ดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าเขาตัวนี้ดูเหมือนจะมีการเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่งและมันเริ่มขุดดินลงไปอีกครั้ง เมื่อเห็นเช่นนี้ต้นไผ่แห่งชีวิตในมือของมู่อี้ก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นมาทันที มันรีบส่งความคิดเข้าไปหามู่อื้อย่างเร่งด่วน

 

มู่อี้รับรู้ได้ถึงความคิดที่ต้นไผ่แห่งชีวิตส่งผ่านมาให้เขาและรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดนั้นเขาก็ตัดสินใจเชื่อต้นไผ่แห่งชีวิตและเชื่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่อยู่ภายในนั้น

 

“ย่าห์!”

 

ทันใดนั้นมู่อี้ก็โยนต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในมือขวาของตัวเองออกไปทันทีและต้นไผ่แห่งชีวิตก็เปล่งแสงสีเขียวออกมาพร้อมกับเกาะติดอยู่ที่รากของเจ้าเห็ดยักษ์

 

“กร้อดดด!”

 

ทันใดนั้นเจ้าเห็ดยักษ์ก็ส่งเสียงร้องออกมาทันที

 

“กล้าทําร้ายเห็ดซากศพของข้า เจ้าต้องตาย!”

 

เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ชวี่หยางก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที

 

Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ

Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ

天咒
Score 7.8
Status: Ongoing Type: Author: Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพเด็กชายกำพร้าชื่อมู่ยี่ได้รับการช่วยเหลือจากนักบวชเต๋าผู้เดินทางเฒ่า พวกเขาเดินทางไปทั่วโลกโดย 'หลอกลวง' ผู้คนโดย 'ไล่ผี' และ 'สังหารปีศาจ' นั่นคือจนกว่านักบวชเต๋าผู้เฒ่าจะเสียชีวิตและมู่ยี่ถูกบังคับให้ตระหนักว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เห็น เขาได้รับการบอกเล่าเรื่องราวของกองทัพผี ฝูงซอมบี้ ปีศาจที่น่าสยดสยอง และที่แย่ที่สุดคือผู้ปลูกฝังที่ควบคุมพวกเขา มู่ยี่เริ่มก้าวแรกเพื่อก้าวไปสู่จุดสูงสุดของโลกใหม่ที่มืดมิดและโหดร้าย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset