ตอนที่ 149 เปิดประตูแห่งจักระอีกครั้ง
มู่อี้ไม่มีเวลาลังเลได้นานมากนักเพราะเขาต้องเผชิญหน้ากับความเกรี้ยวกราดของชวี่หยางในตอนนี้ แม้ว่าเป่ยหมิงจะไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว แต่ชวี่หยางก็ดูน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น
กลิ่นอายที่ออกมาจากร่างกายของชวี่หยางทําให้มู่อี้รู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้ของเขา
ในตอนนี้แม้แต่มู่อี้ก็ไม่อาจประมาณการได้ว่าพลังของชวี่หยางเพิ่มขึ้นมากเพียงใดกัน พลังของเขาอาจจะไปถึงก้าวที่ 7 ของระดับความยากขั้นที่ 2 แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ชวี่หยางน่าจะอยู่เพียงก้าวที่ 2 หรือ 3 เท่านั้นแต่ในตอนนี้อย่างน้อยมันต้องมากกว่าก้าวที่ 4 อย่างแน่นอนหรืออาจจะสูงยิ่งกว่านั้น มู่อี้ไม่กล้าคิดเลย
แม้จะอยู่ระดับความยากขั้นที่ 2 เหมือนกันแต่พลังในแต่ละก้าวก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ก้าวที่ 7 นั้นเรียกได้ว่าประตูแห่งจักระภายในร่างกายได้เปิดขึ้นแล้วถึง 7 บาน
แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของมู่อี้เท่านั้น เพราะเขาเองก็อยู่เพียงแค่ก้าวที่ 1 เท่านั้น และมีเพียงประตูแห่งจักรวาลบริเวณอวัยวะเพศของเขาเท่านั้นที่เปิดออกแต่พลังที่เขาสะสมเอาไว้ในร่างกายนั้นมากยิ่งกว่าคนอื่นๆ นักพรตเต๋าหมิงหลงก็ทําแบบนี้ด้วยเช่นกันแม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 แต่ก็อยู่ในก้าวที่ 1 เช่นเดียวกันไม่ว่ากลิ่นอายหรือพลังของเขานั้นก็ถือว่าใกล้เคียงกับมู่อี้มาก
ชวี่หยางไม่สนใจเปยหมิงที่กําลังนอนอยู่บนพื้นอีกต่อไปและพุ่งเข้ามาหามู่อี้ด้วยความเร็วที่มากยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
“ตู้ม!”
มู่อี้รีบป้องกันตามสัญชาตญาณของเขาทันทีและในตอนที่เขาโดนชวี่หยางโจมตีเข้ามานั้น เขาก็รู้สึกได้เพียงว่ามีพลังอันมหาศาลกระแทกให้เขากระเด็นไปอย่างรุนแรง
เพราะด้านหลังของเขาคือเห็ดซากศพ ดังนั้นตําแหน่งที่มู่อี้กําลังกระเด็นออกไปก็คือร่างกายของมัน
” พี่ชาย!”
แม้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์กําลังต่อสู้อยู่กับฉงเจียอี้ แต่นางก็จับตามองมู่อี้อยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้เมื่อนางเห็นว่ามู่อี้ถูกโจมตีจนกระเด็นไป นางก็ไม่สนใจฉงเจียอีอีกต่อไปและร่างเล็กๆของนางก็รีบเข้าไปช่วยเหลือมู่อี้ทันที
สติปัญญาของชวี่หยางดูเหมือนว่าเริ่มเลือนรางไปในตอนนี้ แม้ว่าดวงตาของเขายังคงจ้องมองอยู่ที่มู่อี้แต่สมองของเขามีความคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ สังหารมู่อี้
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์มาขวางหน้าตนเองเอาไว้ เขาก็โจมตีออกไปทันที
เดิมทีพลังของชวี่หยางก็สามารถสังหารเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้อยู่แล้วไม่ต้องพูดถึงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาในตอนนี้เลย แม้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะเป็นดวงวิญญาณแต่ฝ่ามือของชวี่หยางก็มีพลังแห่งความตายที่อัดแน่นเอาไว้ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสกับร่างกายของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้
“อะไรกัน!”
เนี่ยนหนิวเอ้อร์ร้องออกมาทันทีและกระเด็นออกไปเมื่อโดนฝ่ามือกระแทก
เมื่อมู่อี้ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เขาก็รีบลุกขึ้นมาทันที หัวใจของเขาเหมือนจะหยุดเต้นไปอย่างกะทันหันและเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างรุนแรง เขาไม่ได้กลัวชวี่หยาง ไม่ได้กลัวเรื่องความปลอดภัยของตนเอง แต่เป็นเรื่องเนี่ยนหนิวเอ้อร์,
“ผัวะ!”
เนี่ยนหนิวเอ้อร์กระเด็นออกไปอย่างรุนแรงและนางไม่สามารถรับการโจมตีครั้งนี้ได้เลย จากนั้นร่างกายของนางก็เริ่มสลายกลายเป็นหมอกและดวงตาของมู่อี้ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
เขารู้สึกโกรธจนเลือดในร่างกายสูบฉีดอย่างรุนแรงและมู่อี้ก็รู้สึกได้เลยตอนนี้ แม้ว่ามู่อี้จะสูญเสียความคิดปกติของตนเองไปและสมองของเขามีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น แต่ด้วยสัญชาตญาณของเขา พลังในร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกันภายในร่างกายของเขานั้นประตูแห่งจักระ ก็ดูเหมือนจะมีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาอีกครั้งเอา
แสงสว่างที่เกิดขึ้นนั้นส่องผ่านออกมานอกร่างกายของเขา
”เปิด!”
เมื่อเขาตะโกนออกมาในใจมู่อี้ก็ใช้พลังทั้งหมดของตนเองเปิดประตูแห่งจักระออกทันที
ความจริงแล้วพลังของมู่อี้สามารถเปิดประตูแห่งจักระและเพิ่มพลังของเขาให้สูงขึ้นได้นานแล้ว แต่มู่อี้ก็ทําตามคําแนะนําที่ท่านปู่ของตนเองให้ไว้ เขาสะสมพลังเอาไว้ในร่างกายของตนเองก่อน นอกจากนี้เขายังต้องหยดเลือดให้กลับต้นไผ่แห่งชีวิตทุกๆวัน แก่นแท้โลหิตที่เขาต้องสูญเสียไป นั่นถือว่าไม่น้อยเลย
นอกจากนี้มู่อี้ก็ไม่เคยคิดที่จะทําลายประตูของตนเองก่อนเลย เขาต้องการให้มันสําเร็จไปตามธรรมชาติ แต่ในตอนนี้เมื่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์โดนทําร้ายเขาก็ไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป สัญชาตญาณของเขาปรารถนาเพียงแค่พลังที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
“ตุ้ม!”
ประตูแห่งจักระถูกทําลายลงไปทันทีซึ่งนั่นทําให้พลังของเขาก้าวขึ้นมาสู่ก้าวที่ 2 อย่างรวดเร็ว
ก้าวที่ 2 นี้ย่อมเป็นประตูจักระแห่งที่ 2 ในร่างกายของมนุษย์ซึ่งอยู่บริเวณท้องน้อย ตําแหน่งนี้ถือว่ามีการเก็บพลังที่สําคัญที่สุดในร่างกายของมนุษย์เอาไว้
ไม่ใช่เพียงแค่แก่นแท้แห่งโลหิตเท่านั้นแต่แก่นแท้แห่งชีวิตก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
การฝึกฝนของลัทธิเต๋นั้นก็สามารถอธิบายได้ว่าเป็นการฝึกฝนรวบรวมพลังจักระเอาไว้บริเวณประตูแห่งจักระตําแหน่งท้องน้อยนี่เอง
ตําแหน่งจักระบริเวณอวัยวะเพศของเขาก็ยังคงส่องแสงออกมาอย่างต่อเนื่องและหลังจากนั้น แสงสว่างก็ค่อยๆจางลงไป
ในตอนที่แสงสว่างเกิดขึ้นมานี้มู่อี้รู้สึกได้เพียงว่าร่างกายของเขากําลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กระดูกในร่างกายของเขารู้สึกชาและเลือดที่อยู่ในร่างกายของเขาก็โคจรและไหลเวียนอยู่บริเวณประตูแห่งจักระตําแหน่งท้องน้อยอย่างบ้าคลั่ง และในตอนนี้เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
พลังที่เกิดขึ้นนี้เหมือนกับว่ามาจากสวรรค์แต่เขารู้สึกได้ว่ามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
” พลังชี้ที่มองไม่เห็นรวมตัวเข้าหากัน นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ พลังชี่ซ่อนอยู่ในทุกส่วนของร่างกาย และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่เมื่อจิตใจมีการเคลื่อนไหวนั้นมันจะระเบิดออกมา!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ปรากฏขึ้นมาในจิตใจของมู่อี้อีกครั้งหนึ่ง มันเป็นเสียงเดียวกับที่เขาได้ยิน จากตะเกียงทองแดงในตอนที่เขายกระดับขึ้นมาสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ได้สําเร็จ
ก่อนหน้านี้มู่อี้คิดว่าตนเองเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าพลังที่เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ถึงว่ามันมีประโยชน์อย่างไรกับร่างกายของเขาบ้าง แต่ในตอนนี้เมื่อพลังชี่ระเบิดออกมา เขาก็เข้าใจได้ทันที่จากเสียงที่ดังขึ้นมาในจิตใจของเขา
“ย่าห์!”
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่มันก็ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ในตอนที่ชวี่หยางกําลังจะสังหารมู่อี้นั้นเขาก็ตัดสินใจทําลายประตูแห่งจักระของตนเอง
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้มีพลังที่น่าตื่นตระหนกให้เห็นหรือมีการเปลี่ยนแปลงภายนอกบ่อยๆ เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของชวี่หยางแล้วมันกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่มู่อี้ก็รู้ดีว่าทุกๆสิ่งนั้นแตกต่างกัน
“ตู้ม!”
เมื่อเห็นว่าชวี่หยางโจมตีเข้ามาในตอนนี้ มู่อี้ก็ปล่อยหมัดของเขาออกไปทันทีและพลังชี่ที่ถูกสร้างขึ้นมาในร่างกายของเขานั้นก็เคลื่อนไหวไปตามความต้องการของเขาทันที
ชวี่หยางก็ปล่อยหมัดของเขาออกมาด้วยเช่นกัน กําปั้นของทั้งสองฝ่ายปะทะกันกลางอากาศ
แรงระเบิดเกิดขึ้นอย่างรุนแรงพร้อมกับพลังอันมหาศาลที่ระเบิดออกมาจากตรงกลางกําปั้นของทั้งสองคน และทําให้ผ้าที่รวบผมของมู่อี้เอาไว้นั้นขาดออกไปจนเส้นผมของเขาปลิวไสวขึ้นมาทันที
“อะไรกัน!”
หลังจากปล่อยหมัดออกไปมู่อี้ก็รู้สึกได้เพียงแค่ความว่างเปล่าในร่างกายของเขา ร่างกายของเขาไร้ซึ่งความคิดใดๆเลยด้วยซ้ํา
เมื่อจ้องมองไปที่ชวี่หยางอีกครั้งในตอนนี้ ดูเหมือนว่าร่างกายของชวี่หยางจะกระเด็นไปกระแทกกับกองกระดูกมากมายที่อยู่ในหลุมยักษ์แห่งนี้
มู่อี้ไม่ได้ตามเข้าไปโจมตีแต่รีบพุ่งเข้าไปหาเห็ดซากศพ พร้อมกับดึงต้นไผ่แห่งชีวิตออกมาทันที
ร่างกายของเห็ดซากศพมีการสั่นขึ้นมาอีกครั้งและบาดแผลของมันก็มีของเหลวที่มีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงไหลออกมา ร่างกายขนาดยักษ์ของเห็ดซากศพกําลังหดลงมาอย่างเห็นได้ชัดและลมหายใจของมันก็ดูเบาบางมากยิ่งขึ้น
และต้นไผ่แห่งชีวิตที่ได้ดูดซึมพลังของเห็ดซากศพมานั้นรู้สึกได้ถึงพลังอันเต็มเปี่ยมที่อยู่ภายใน และลําต้นของมันก็ดูเขียวขจีมากยิ่งขึ้น
มันจะดียิ่งกว่านี้ถ้าหากเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่เป็นอะไร
ในตอนนี้จิตใจของมู่อี้กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง แม้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะโดนฝ่ามือของชวี่หยางทําร้ายแต่ก็ยังไม่ถือว่าตายไป ดวงวิญญาณของนางนั้นถือว่ามีพลังชีวิตมากพอสมควร ถ้าหากไม่ได้รับพลังที่รุนแรงพอที่จะสังหารในครั้งเดียวก็ยากที่จะสังหารนางได้
แต่การที่ร่างกายแตกสลายไปเช่นนั้นแสดงว่าต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน ดังนั้นการที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์จะหายกลับมาเป็นปกติก็ต้องใช้พลังของต้นไผ่แห่งชีวิตด้วยเช่นกัน
ในระหว่างนี้ฉงเจียอี้ดูเหมือนจะไม่ได้ลงมืออะไรเลยและพยายามถอยออกไปจากที่นี่
มู่อี้เก็บต้นไผ่แห่งชีวิตกลับมาและไม่ได้มองไปที่ฉงเจียอี้เลยด้วยซ้ํา เขายังไม่สนใจชวี่หยางที่กําลังลุกขึ้นมาอีกครั้งในตอนนี้ จากนั้นเขาก็กระโดดออกจากหลุมขนาดใหญ่แห่งนี้ในพริบตา
ทันทีที่ชวี่หยางพยายามจะไล่ตามมานั้น เห็ดซากศพก็มีอาการสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง และการเคลื่อนไหวของมัน ก็เป็นเหมือนการปลุกชวี่หยางให้ตื่นจากความเกรี้ยวกราดของเขา
เมื่อได้สติกลับมานั้นชวี่หยางก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ได้ไล่ตามมู่อี้อีกต่อไปเพราะในตอนนี้มีสิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้น
เขารีบเข้ามาหาเปยหมิงก่อน หลังจากตรวจสอบร่างกายของเปยหมิงทั้งหมดแล้วจึงค่อยเดินเข้าไปหาเห็ดซากศพ
ในตอนนี้ของเหลวยังคงไหลช้าๆออกมาจากบาดแผลของเห็ดซากศพแต่ชวี่หยางไม่สนใจบาดแผลของมันและสั่งให้เห็ดซากศพกลับลงไปใต้ดินทันที
เมื่อไม่มีภัยคุกคามจากต้นไผ่แห่งชีวิตและชวี่หยางออกคําสั่งแล้วเห็ดซากศพก็กลับลงไปอยู่ใต้ดินช้าๆ เมื่อเห็นว่าเห็ดซากศพเริ่มกลับลงไปใต้ดินแล้วนั้น ดอกเห็ดขนาดใหญ่ของเห็ดซากศพก็ถูกเปิดออกมาทันที
ปากจํานวนมากบนดอกเห็ดที่มู่อี้ได้เห็นก่อนหน้านี้เปิดกว้างขึ้นมาอีกครั้งและมันแยกออกจากกันเรื่อยๆราวกับดอกไม้ที่กําลังเบ่งบาน
ภายในนั้นเต็มไปด้วยหนวดเล็กๆมากมายที่กําลังเคลื่อนไหวไปมา
ชวี่หยางเก็บเปยหมิงเข้าไปในปากขนาดใหญ่ของดอกเห็ด จากนั้นก็ปิดปากทันทีเพื่อให้เป่ยหมิงฟื้นตัว
หลังจากเก็บร่างกายของเปยหมิงเอาไว้ในเห็ดซากศพแล้วเห็ดซากศพก็ดําลงไปใต้ดินทันที ฉงเจียอีที่ยืนอยู่ข้างๆดูเหมือนจะยังไม่หายจากความตกตะลึงที่เกิดขึ้นในตอนนี้
สิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินในวันนี้มันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของเขาไปแล้วแต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้ทันที ว่าทําไมชวี่หยางถึงไม่เคยอนุญาตให้เขาเข้ามาที่นี่เลย เพราะมันเกี่ยวข้องกับความลับที่สําคัญที่สุดของชวี่หยางนั่นเอง
แต่ในตอนนี้ฉงเจียอี้ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาของตนเอง
ดังนั้นเมื่อชวี่หยางจ้องมองมาที่เขา ร่างกายของฉงเจียอี้ก็มีอาการสั่นเล็กน้อยขณะที่เขาจ้องมองไปที่ชวี่หยางด้วยสายตาที่ดูหวาดกลัว
” ท่านผู้เฒ่าคงรู้ดีใช่ไหมว่าต้องทําตัวเช่นไร?” ชวี่หยางจ้องมองมาที่ฉงเจียอี้และพูดช้าๆ
เมื่อได้ยินคําพูดของชวี่หยาง ฉงเจียอีกยิ้มเงื่อนๆขึ้นมา ” ท่านชวี่หยางโปรดวางใจได้เลย ฟ้าดินเป็นพยานฉงเจียอี้ขอสาบานว่าข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้กับใครทั้งสิ้น ถ้าหากว่าข้าทําผิดคําสาบานก็ขอให้ฟ้าดินทําลายหัวใจข้าไปเลยและขอให้ข้าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกในชาติภพนี้”
คําสาบานของฉงเจียอีไม่ได้เสียงดังมากนักแต่ก็ดูจริงจัง เพราะเมื่อสาบานต่อฟ้าดินแล้วถ้าหากเขาผิดคําสาบานก็ขอให้เขาตายไปทันที
แต่ความจริงแล้วคําสาบานก็ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์มากนักไม่มีใครรู้ว่าคนที่ให้คําสาบานนั้นจะโดนลงโทษจริงๆหรือไม่ มันเป็นเพียงแค่คําสัญญาปากเปล่าเท่านั้น
ในทางกลับกันคําสาบานของฉงเจียอี้ถือว่าน่าเชื่อถือยิ่งกว่านั้น
ต้องรู้ก่อนว่าความยากขั้นที่ 1 ของการฝึกฝนจิตใจนั่นคือการควบคุมหัวใจของตนเองให้โปร่งใส แม้ว่าคนธรรมดาอาจจะพูดคําสาบานออกไปตรงๆแต่คําสาบานที่ฉงเจียอี้พูดออกไปนั้นจะติดอยู่ในจิตใจของเขาไปตลอดกาล และถ้าหากเขาผิดคําสาบานเขาก็จะไม่มีวันยกระดับการฝึกฝนจิตใจของตนเองขึ้นไปได้อีกหลังจากนี้
ดังนั้นคําสาบานของฉงเจียอี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ไว้ใจได้อย่างหนึ่ง
อย่างน้อยที่สุดเมื่อได้ยินเช่นนี้ชวี่หยางก็แสดงสีหน้าที่พึงพอใจออกมาทันที “ท่านผู้เฒ่า ไปพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้จงเก็บเอาไว้ภายในใจเท่านั้น”
ฉงเจียอีสายศีรษะและยิ้มตอบกลับมา “ชายชราผู้นี้ช่วยเหลืออะไรท่านอะไรไม่ได้เลย แม้แต่เด็กสาวเพียงคนเดียวข้าก็ไม่อาจเอาชนะได้ วันนี้ข้าคงทําให้ท่านต้องผิดหวังแล้ว”
“ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดเด็กสาวคนนั้นต้องเป็นดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งตนหนึ่งหรือไม่ก็ต้องเป็นดวงวิญญาณที่มีสติปัญญาอย่างแน่นอน” ชวี่หยางตอบกลับมาเบาๆ
“มีสติปัญญางั้นหรือ? น่าจะเป็นเช่นนั้น” ฉงเจียอี้พยักหน้าในขณะที่ใช้ความคิดอยู่
“ห์ มีสติปัญญาตั้งแต่กําเนิดอย่างนั้นถือ? อีกไม่ช้าก็เร็วนางต้องเข้าใจแน่นอนว่านางจะต้องสูญเสียอะไรไป” ชวี่หยางแสยะยิ้มออกมาและพูดขึ้นมาทันที
เรื่องการสูญเสียอะไรนั้นในเมื่ออีกฝ่ายไม่บอกฉงเจียอีก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปด้วยเช่นกัน