ตอนที่ 63 เป็นเจ้าจริงๆ
ก้อนอิฐกระแทกหลังของมู่อี้อย่างรุนแรงในขณะที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ร่างของเขากระเด็นไปข้างหน้า
ในเวลาเดียวกันก็มีลมที่รุนแรงพัดมาจากด้านหลังและตามมาด้วยกลิ่นเหม็นเน่า
“วิญญาณซากศพ!”
มู่อี้สัมผัสได้ถึงตัวตนของผู้โจมตีที่อยู่ข้างหลังเขา แต่น่าเสียดายที่ความเร็วของอีกฝ่ายนั้นเร็วมากจนเขาไม่สามารถตอบโต้ได้ทันเวลา ท้ายที่สุดการรับรู้จากพลังแห่งจิตใจของเขาก็ถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยกำแพงที่อยู่ด้านหลัง
ระยะ 10 เมตรที่เขาสามารถรับรู้ได้หมายถึงในพื้นที่เปิด ไม่ใช่พื้นที่แบบใดก็ได้
มู่อี้รู้สึกเจ็บปวดที่แผ่นหลังของตนเอง แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้เขาไม่ได้ตื่นตระหนกและจิตใจของเขาสงบนิ่งกว่าเดิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีเงามืดที่กำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องหันกลับไปมอง
ในเวลาเดียวกันมู่อี้ก็เอี้ยวตัวของเขาในทันที ต้องขอบคุณการออกกำลังกายที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเขาในทุกๆเช้า ในตอนนี้สมรรถภาพทางกายของเขาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ด้วยการเอี้ยวตัวอย่างรวดเร็วทำให้ร่างกายของเขาเอนตัวและกลิ้งตัวลงบนพื้นออกไปไกลหลายเมตร
วิญญาณซากศพเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งของมู่อี้ก่อนหน้านี้และคำรามเสียงดังเพื่อแสดงความแข็งแกร่ง
ในเวลาเดียวกัน มู่อี้ก็สะบัดมือข้างหนึ่งและแสงสีขาวก็พุ่งออกจากมือของเขา
“ตู้ม!”
แสงสีขาวตกลงบนร่างวิญญาณซากศพทำให้มันก้าวถอยหลังไปสองก้าวและในเวลาเดียวกันผ้าคลุมสีดำที่คลุมบนร่างของมันก็เปิดออก
“เจิ้งสือซง?” เมื่อเห็นใบหน้าของวิญญาณซากศพ จิตใจของมู่อี้ก็สั่นไหวในทันทีและอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา แม้เขาจะคิดมานานแล้วว่าเจิ้งสือซงอาจร่วมมือกับฉือกุยแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าวิญญาณซากศพจะเป็นเจิ้งสือซง
เห็นได้ชัดว่าฉือกุยต่ำช้ายิ่งกว่าที่มู่อี้คิด เขาเปลี่ยนเจิ้งสือซงให้เป็นวิญญาณซากศพ แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เจิ้งสือซงจะเต็มใจให้เขาทำเช่นนี้
แม้ว่าเจิ้งสือซงในตอนนี้จะยังคงมีรูปร่างหน้าตาเหมือนตอนเป็นมนุษย์ แต่เขาไม่อาจมองว่าเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป แม้ว่าเขาจะมีความทรงจำในอดีตทุกอย่างที่เกี่ยวกับตนเอง แต่เขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับฉือกุย
ตราบใดที่ฉือกุยต้องการเจิ้งสือซงก็สามารถเขียนจดหมายถึงซูจินหลุนได้อย่างเป็นธรรมชาติ และด้วยความทรงจำในอดีตที่เขามีซูจินหลุนย่อมไม่สงสัยอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกันคำถามบางข้อในใจของมู่อี้ก็ได้คำตอบด้วยเช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเจิ้งสือซงถึงไม่สนใจเรื่องร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับตระกูลซู นั่นก็เป็นเพราะว่าเจิ้งสือซงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
บางทีหลังจากกลายเป็นเช่นนี้สภาพจิตใจของเจิ้งสือซงก็ผิดเพี้ยนไปอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่เพียงแต่เกลียดมู่อี้เท่านั้น แต่ยังเกลียดชังซูจินหลุนและตระกูลซูด้วย
“ฟิ้ว!”
ทันใดนั้นลูกธนูที่แหลมคมก็พุ่งเข้ามาอีกครั้งและมู่อี้ก็รู้สึกเจ็บปวดที่คิ้วเหมือนเป็นลางสังหรณ์ก่อนที่ลูกธนูจะพุ่งเข้ามา
มู่อี้กลิ้งตัวไปข้างหน้าเพื่อหลบและลูกธนูที่กระแทกกับก้อนหินก็ทำให้เกิดประกายไฟขึ้นทันที
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาถูกคุกคามเช่นนี้ มู่อี้รู้ว่าเขาจะต้องกำจัดนักธนูก่อนหรือไม่ก็หลบเข้าไปในบ้าน ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกนักธนูโจมตีอยู่ตลอดเวลา
น่าเสียดายที่ฉือกุยคำนวนทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาเห็นร่างๆหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีขาวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง และนั่นก็คือซูจินหลุน
จุดประสงค์ของอีกฝ่ายชัดเจนอยู่แล้ว หากมู่อี้หลบหนีหรือซ่อนตัวในบ้านซูจินหลุนก็จะตาย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จิตสังหารในดวงตาของมู่อี้ก็รุนแรงมากขึ้นทันที
เดิมทีเขาต้องการล่อให้ฉือกุยออกมาและจัดการในคราวเดียว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเจ้าเล่ห์มากกว่าที่เขาคิดและจนถึงตอนนี้ฉือกุยก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
“ฟู่ว!”
ในที่สุดมู่อี้ก็ยื่นมือซ้ายออกมาและเมื่อเขาปล่อยกระแสจิตลงไปตะเกียงทองแดงก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นในทันที
มู่อี้ส่งเสียงผิวปากออกมาซึ่งเสียงผิวปากของเขากระจายออกไปไกลในค่ำคืนที่เงียบสงบเช่นนี้
วิญญาณซากศพเจิ้งสือซงถูกโจมตีด้วยยันต์ปราบปีศาจ แม้ว่าเขาจะถอยหลังกลับไปหลายก้าวและมีสีหน้าที่ดูหวาดกลัว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
แต่เมื่อตะเกียงทองแดงสว่างขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ถอยออกห่างจากแสงสว่าง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่ามันเป็นภัยคุกคามสำหรับตนเอง
“อ้าก!”
ในขณะนี้มีเสียงร้องดังมาจากระยะไกลและมู่อี้ก็รู้สึกว่ามีสิ่งหนึ่งที่พลังแห่งจิตใจของเขารับรู้มาโดยตลอดได้หายไป
นักธนูถูกโจมตี
ในตอนแรกแม้ว่ามู่อี้จะเดินทางลงจากภูเขาเพียงลำพัง แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติและเขารู้ว่าศัตรูเป็นใครแล้ว ถ้าเขายังโง่ไปพบศัตรูตามลำพังเขาก็คงไม่ใช่มู่อี้
จริงๆแล้วหลังจากพอคาดเดาได้ว่าศัตรูคือฉือกุย มู่อี้ก็ได้ส่งคนกลับไปที่เมืองฟุเนียวอย่างเงียบๆเพื่อขอให้ซูจงซานขึ้นไปบนเขาเพื่อเชิญให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ออกมาช่วยเหลือ
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในคืนเดียวเท่านั้น
เนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่ได้เข้าไปในมณฑลหลินอานหลังจากมาถึงแต่รออยู่นอกเมือง เมื่อมู่อี้ออกเดินทางเพื่อมาที่นี่ในคืนนี้ เนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่ได้ทราบก็รีบตามมาทันที
เมื่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์มาถึงมู่อี้ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาผิวปากออกมา สำหรับเสียงร้องที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคนบอกให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ลงมือ
ก่อนหน้านี้มู่อี้ถูกนักธนูโจมตีถึงสองครั้งและเขาทำได้เพียงหลบหนีจนต้องรู้สึกอับอาย เนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่ได้เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นย่อมรู้สึกเกลียดนักธนูผู้นี้มากแต่นางก็ไม่อาจทำอะไรได้ หากไม่ใช่เพราะมู่อี้กำชับกับนางไว้ว่าหากไม่ได้รับสัญญาณก็ห้ามโจมตีก่อนเป็นอันขาดนางก็คงไม่อาจทนได้และโจมตีออกไปนานแล้ว
ในตอนนี้เมื่อได้รับสัญญาณจากเขา เนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่ได้ล่าช้าเลยหลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจนางก็สามารถกำจัดนักธนูคนนั้นได้สำเร็จ
แม้อีกฝ่ายอาจจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจเทียบกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้
เมื่อได้ยินเสียงร้องดังมาจากระยะไกลมุมปากของมู่อี้ก็แสดงรอยยิ้มออกมา แม้ว่าฉือกุยจะไม่ยอมปรากฏตัวออกมา แต่เจิ้งสือซงก็เป็นเป้าหมายที่เขาต้องการเช่นกัน เพียงแค่ฆ่าเจิ้งสือซงและช่วยชีวิตซูจินหลุนให้ได้จากนั้นเขาก็มีเวลาเล่นกับฉือกุย
และถ้าไม่มีวิญญาณซากศพการเผชิญหน้ากับฉือกุยก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล
สิ่งเดียวที่ทำให้มู่อี้รู้สึกเป็นปัญหาในตอนนี้ก็คือหลีหู่และชิวเยวี่ยถงที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาด้วยเช่นกัน
แม้ว่าชิวเยวี่ยถงจะเป็นผู้หญิงแต่มู่อี้ไม่เคยคิดที่จะดูถูกนางเลย แม้ว่านางจะเป็นหญิงสาวแต่นางก็เป็นถึงหัวหน้าของกลุ่มโจรภูเขาและยังสามารถดูแลกลุ่มโจรภูเขานั้นได้เป็นอย่างดี มียอดฝีมือมากมายที่อยู่ใต้อำนาจของนาง
ด้วยเหตุนี้มู้อี้จึงไม่เคยดูถูกหญิงสาวคนไหนอย่าว่าแต่ชิวเยวี่ยถงเลย
เนี่ยนหนิวเอ้อร์ลงมือได้อย่างรวดเร็วและเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มีเสียงร้องดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานหลังจากนั้นคนที่หลบซ่อนในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ถูกนางฆ่าจนหมด
เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของมู่อี้ที่มาปรากฏที่นี่ในค่ำคืนนี้ คนเหล่านี้ต่างก็ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ แม้ว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คนแต่กลับทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องตายไปในค่ำคืนนี้
หลังจากสังหารโจรภูเขาที่ซุ่มโจมตีอยู่ทั้งหมดแล้ว เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็มาหามู่อี้และร่างเล็กๆของนางในตอนนี้ก็มีเขี้ยวสีฟ้างอกออกมา
นางยืนอยู่หน้ามู่อี้และแสดงสีหน้าที่โกรธแค้นต่อเจิ้งสือซง
“ถ้าเจ้าไม่ด่วนจากไปก่อน บางทีข้าอาจจะสอนบทเรียนให้เจ้าแต่ข้าคงไม่ฆ่าเจ้าแน่นอน น่าเสียดายที่เจ้ามาด่วนจากไปแล้ว บางทีทั้งหมดนี้อาจจะเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้แล้วของเจ้ารวมถึงฉือกุย” มู่อี้มองไปที่เจิ้งสือซงและพูดอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องเข้าใจที่เขาพูดแน่นอน
และคำพูดของมู่อี้นั้นไม่ได้หมายถึงเจิ้งสือซงเพียงคนเดียวเท่านั้นแต่ยังส่งไปถึงฉือกุยที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีกด้วย