“ขอรับ” เหมาหลี่เดินไปนั่งบนเก้าอี้ของเขาซึ่งตั้งอยู่ด้านขวาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์
โจวเหว่ยชิงมองอย่างพิจารณา จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่ไม่ถูกกับผู้บัญชาการกองร้อยที่หล่อเหลาคนนั้นแน่ๆ เพราะเขารีบเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ของเขาอย่างไร้อารมณ์โดยไม่ได้ชายตามองอีกคนเลยแม้แต่น้อย
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และโจวเหว่ยชิงสบตากัน เขาแอบยักคิ้วให้เธอเล็กน้อย การกระทำเช่นนี้ดูเป็นธรรมชาติมากจนคนอื่นๆ ไม่ทันสังเกตเห็น แต่ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นถึงจ้าวมณีแห่งสวรรค์ และที่สำคัญกว่านั้นคือเธอยังเป็นนักแม่นนักธนูมือดี ด้วยเหตุนั้นสายตาของเธอจะไม่ดีกว่าคนทั่วไปได้อย่างไร? นอกจากนี้เธอก็ยังคุ้นเคยกับนิสัยกะล่อนของโจวเหว่ยชิงเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเขายักคิ้วให้ดังนั้น รังสีฆ่าฟันก็วาบผ่านเข้ามาในดวงตาของเธอ บางครั้งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หวังว่าจะต่อยไอ้คนเจ้าเล่ห์นี้ให้ได้สักหมัด
“อ้วนน้อยโจว เจ้ามายืนข้างหลังข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพัน” หลังจากหันไปจ้องที่โจวเว่ยชิงสักครู่ เธอก็สั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ขอรับ” โจวเหว่ยชิงรับคำอย่างเชื่อฟัง และสาวเท้าเดินไปอยู่ด้านหลังของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ การเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเธอนั้นย่อมเป็นการดีต่อเขามาก ไม่เพียงแต่จะสะดวกในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้น แต่ยังได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมากขึ้นอีกด้วย นั่นให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก! โชคดีที่เขาไม่กล้าเผยสีหน้าออกมาจนเกินงามเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก แต่ทว่าดวงตาของเขายังคงเผยความสุขออกมาให้เห็น
“เดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้น น้ำเสียงคัดค้านก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน แม้โจวเหว่ยชิงจะยอมรับว่าเสียงนั้นค่อนข้างฟังดูไพเราะและหนักแน่นดี แต่ทว่าจริงๆ แล้วเสียงนั้นคือเสียงของผู้บัญชาการกองร้อยหนุ่มรูปงามคนนั้น
“มีอะไร? ท่านสงสัยอะไรหรือ ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันไปมองเขา สายตาแข็งกร้าวของเธอค่อยๆจางหายไปเป็นสงบนิ่ง หรืออาจจะบอกได้ว่าสีหน้าของเธอแทบจะกลายเป็นสีหน้าอ่อนโยนเสียด้วยซ้ำ
ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวพยักหน้าเบาๆ ไม่ปิดบังความกระตือรือร้นของเขาต่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์สักนิด เขาตอบกลับ “ผู้บัญชาการกองพัน ด้วยสถานะของท่านแล้ว ท่านก็สมควรจะได้รับมอบทหารผู้ช่วยส่วนตัว แต่ว่าผู้ช่วยส่วนตัวของท่านนั้น ไม่ควรจะช่วยเหลือจัดการธุระประจำวันของท่านได้เพียงอย่างเดียวแต่ควรจะสามารถปกป้องท่านได้ด้วย เจ้าอ้วนน้อยโจวคนนี้เป็นเพียงทหารใหม่ นี่จึงอาจเป็นเรื่องหนักเกินไปสำหรับเขาที่จะต้องแบกภาระอันหนักอึ้งเช่นนี้?”
ตราบใดที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังสามารถรักษาความสงบเยือกเย็นของตนไว้ได้อย่างง่ายดายเสมอ เธอแสดงให้เห็นรอยยิ้มจางๆ จากนั้นจึงพูดว่า “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ท่านคิดว่าข้าต้องการให้ผู้ช่วยปกป้องหรือ? หากเป็นเช่นนั้น ท่านจะแนะนำใครแทนล่ะ?”
โจวเหว่ยชิงชะงักฝีเท้าเมื่อผู้บัญชาการกองร้อยเซียวเริ่มพูด เขารู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง เนื่องจากสายตาชื่นชมที่ผู้บัญชาการกองร้อยรูปงามมองไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นช่างชัดเจนในสายตาของทุกคน โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาและแอบวิพากษ์วิจารณ์ในใจอย่างลับๆ เจ้าหนุ่มนี่ช่างมีใบหน้างดงามราวกับชายบำเรอเสียจริง ใครๆ ก็พูดกันว่า ชายบำเรอรูปงามนั้นย่อมเชื่อถือไม่ได้ มองครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าเขาต้องเป็นพวกข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงแน่ๆ!!
ถึงแม้แต่เดิมเขาไม่ได้มีความหวังมากมายในการตามเกี้ยวซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาได้กลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว และเมื่อผ่านคืนนั้นมา โจวเหว่ยชิงหรืออ้วนน้อยโจวก็ย่อมมี “สิทธิ์อันชอบธรรม” ในตัวของเธอ เหมือนกับที่เธอก็มีสิทธิ์ในตัวเขาเช่นกัน
แน่นอนว่าสิ่งที่อยู่ในใจของเขานั้นเป็นไม่ใช่สิ่งที่เด็กอายุ13 ปีควรคิดได้ ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะที่เขาจะแสดงความรู้สึกออกไป
หลังได้ยินคำถามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน ท่านก็ไม่จำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองจากผู้ช่วยส่วนตัวอยู่แล้ว เพียงแต่เขาสามารถยิงธนูได้หรือไม่? ถ้าหากเขาตามท่านไปในสนามรบ เขาจะไม่ทำให้ท่านเสียหน้าหรือ? นอกจากนี้ แม้ว่าท่านจะไม่จำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองจากผู้ช่วยส่วนตัว แต่เขาก็ยังสามารถติดตามท่านไปในสนามรบได้ ข้าเซียวเซ่อ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อยเพื่อติดตามท่าน ข้าสัญญาว่าจะต่อสู้เพื่อปกป้องผู้บัญชาการกองพันด้วยชีวิต!”
ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ท่าทางไม่กลัวตายของเขาทำให้โจวเหว่ยชิงเกือบคล้อยตามไปแล้ว ทว่าเขากลับทำได้เพียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจ เหอะ! ไม่วางท่าสักหน่อยจะตายหรือไม่?
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “ขอบคุณมากสำหรับความตั้งใจของผู้บัญชาการกองร้อย แต่ท่านเป็นเสาหลักของกองพันที่ 3 ของเรา ด้วยเหตุนั้นข้าจะให้ท่านเป็นผู้ช่วยส่วนตัวได้อย่างไร? สำหรับโจวเหว่ยชิง ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเป็นทหารใหม่ แต่ข้าก็ได้ทดสอบเขามาก่อนหน้านี้แล้วและเห็นว่าเขามีทักษะที่สามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีก นอกจากนี้เขายังเคยฝึกฝนการยิงธนูมาก่อน และมีความสามารถพอที่จะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้าได้”
เซียวเซ่อขมวดคิ้วก่อนกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการกองพัน เอาอย่างนี้ดีหรือไม่? ควรให้อ้วนน้อยโจวแสดงความสามารถของเขาออกมา อย่างน้อยเพื่อให้เราสบายใจว่าท่านเลือกคนไม่ผิด”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงมีสีหน้าไม่สะทกสะท้านเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการยืนกรานของเซียวเซ่อ “ได้ งั้นทำตามที่ผู้บัญชาการกองร้อยพูด แต่ผู้บัญชาการกองร้อยเซียววางแผนจะทดสอบผู้ช่วยส่วนตัวของข้าอย่างไร” จริงๆ แล้วความสงบที่เธอแสดงออกมานั้นไม่ได้ตรงกับสิ่งที่อยู่ภายข้างในจิตใจของเธอเลย แต่ในกองพันที่ 3 แม้ว่าเธอจะเป็นผู้บัญชาการกองพัน แต่จริงๆ แล้วผู้บัญชาการกองร้อยเซียวนั้นกลับมีอิทธิพลกับทหารคนอื่นๆ มากกว่าเธอเสียอีก และแม้ว่ายศขุนนางของเขาจะต่ำกว่าเธอ แต่เขามีเบื้องหลังที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่สามารถเพิกเฉยได้
เซียวเซ่อลุกขึ้น และขยับมืออย่างรวดเร็ว เขาหยิบคันธนูยาวออกมาจากข้างที่นั่งของเขา คันธนูยาวของเขานั้นมีรูปร่างคล้ายคลึงกับของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทว่าสีของธนูนั้นเป็นสีม่วงเข้มตลอดทั้งคัน เพียงแค่มอง โจวเหว่ยชิงก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันทำมาจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยม
ปกติแล้ว เราสามารถนำไม้จากป่าดารามาใช้สร้างคันธนูได้หลังจากที่มีพวกมันมีอายุอย่างน้อย 10 ปี ส่วนไม้ดาราที่กองทัพนำมาใช้นั้นมีอายุอย่างน้อยๆ ก็ 30 ปีขึ้นไปทั้งนั้น นั่นเป็นเพราะเมื่ออายุถึง 30 ปีขึ้นไปไม้จะมีความแข็งแรงเพียงพอสำหรับการนำไปใช้ต่อสู้หรือออกรบนั่นเอง ธนูสีม่วงที่เซียวเซ่อและซ่างกวนปิงเอ๋อร์พกติดตัวนั้นทำมาจากไม้ของต้นดาราเช่นกัน แต่พวกมันล้วนทำมาจากต้นดาราอายุกว่า 100 ปี
ปกติแล้วไม้จากต้นดาราจะมีสีแดงเข้ม แต่เมื่อพวกมันเติบโตขึ้นจนมีอายุเกิน 100 ปี พวกมันก็จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม และมีลายเป็นเส้นเล็กๆ พาดผ่านเหมือนรอยขนวัว และหากตรวจดูอย่างละเอียดก็จะพบว่าบนลวดลายนั้นยังมีจุดสีทองเรืองรองออกมาด้วยเช่นกัน ลวดลายเช่นนี้จึงเคยเป็นหนึ่งในชื่อต้นกำเนิดของไม้ดารา และร่องรอยบนไม้ดาราอายุร้อยปีลักษณะเช่นนี้มักจะถูกเรียกว่า “รอยขนวัวประกายพรึก”
เมื่อไม้ดารามีอายุเกินกว่า 100 ปี คุณภาพของมันก็จะก้าวกระโดดขึ้นไปจากเดิมหลายเท่า เนื่องจากความแข็งแกร่งและความคงทนของมันจะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่าเดิม คันธนูที่สร้างขึ้นจากไม้ดาราอายุ 100 ปีทนต่อแรงดึงอย่างน้อย 3 เท่าของคันธนูธรรมดา และต้องใช้แรงมากกว่า 100 กิโลกรัม เพื่อที่จะง้างขึ้นได้สูงสุด ดังนั้นระยะการยิงของมันจึงไกลมากกว่าเดิม และยังสามารถยิงหวังผลได้อย่างมีประสิทธิภาพถึง 500 หลา ยิ่งไปกว่านั้น หากใช้พลังปราณสวรรค์ควบคู่ไปด้วย ระยะการยิงก็จะยิ่งไกลออกไปหลายเท่าอย่างน่าประทับใจ ดังนั้นคันธนูยาวนี้จึงเป็นที่รู้จักในนาม “ธนูอุษาม่วง” แต่ละชิ้นมีค่าเท่ากับทอง 100 เหรียญ หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของไม้ดารา คันธนูนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บัญชาการกองร้อยธรรมดาๆ ควรจะมีได้ เนื่องจากแม้ว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะโด่งดังในเรื่องธนู และการยิงธนู แต่มันก็ยังยากที่จะรับประกันว่าผู้บัญชาการระดับกองพันจะได้รับธนูที่มีคุณภาพสูงขนาดนี้จากกองทัพได้
เซียวเซ่อนำธนูอุษาม่วงของเขาออกมา และเดินไปหยุดตรงหน้าโจวเหว่ยชิงด้วยรอยยิ้มจางๆ เขากล่าว “อ้วนน้อยโจวใช่หรือไม่ หากเจ้าสามารถง้างธนูอุษาม่วงของข้าได้ นั่นย่อมหมายถึงเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของท่านผู้บัญชาการกองพัน เอาล่ะ รับไปซะ ใช้กำลังทั้งหมดที่เจ้ามีอยู่ได้เลย แต่ระวังอย่าหักโหมจนเกินไปล่ะ หากเจ้าฉี่ราดตรงนี้มันคงเป็นภาพไม่น่าดูเท่าไหร่”
คำพูดของเซียวเซ่อทำให้ “นายหมู่ผู้ไม่มีขนนก” ทั้งหลายหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายหมู่ทั้ง 10 คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา พวกเขาเปล่งเสียงหัวเราะดังกว่าคนอื่นถึงสองเท่าโดยไม่มีความเคารพต่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้บัญชาการกองพันแม้แต่น้อย
……………………………………………………………..
Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา – บทที่ 9.1 ธนูอุษาม่วง (1)
Posted by ? Views, Released on September 19, 2021
, Heavenly Jewel Change
Type: Web Novel Author: Tang Jia San Shao, 唐家三少
ในโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีพลังเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ
มีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อหวังจะก้าวขึ้นเป็นราชาจ้าวมณีสวรรค์
ในอาณาจักรเล็กๆ ที่ยังต้องดิ้นรนในสงครามซึ่งรายล้อม
ตัวเขาในฐานะที่เกิดในตระกูลแม่ทัพจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เด็กชายเกิดมาพร้อมลมปราณอุดตัน ฝึกวิชาใดๆ ก็ไร้ผล
ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น!?
ทำลายความภาคภูมิใจของบิดา… กลายเป็นความอัปยศอดสูของคู่หมั้น…
หากแต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เที่ยวเล่นจับปลาไปวันๆ โดยไร้ความละอาย!
ทว่า…เมื่อพลาดพลั้งถูกฆ่าและทิ้งให้ตาย ท้ายที่สุดสวรรค์ก็เมตตา
ไข่มุกรัตติกาลจากต่างมิติถูกดึงดูดด้วยแรงดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ของเขา
มันมอบพลังที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด!
สิ่งนั้นปลุกศักยภาพของเขาขึ้นมา… แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไร้ค่า…
แต่นั่นจะเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มาเปลี่ยนชะตาของเขาได้จริงหรือ?
ร่วมผจญภัยไปกับ ‘โจวเหว่ยชิง’ ตัวเอกผู้ไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในการเอาตัวรอดเพื่อมุ่งไปสู่จุดสูงสุดของโลกการฝึกวิชา
สร้างยอดกองทัพ ปกป้องคนที่เขารักและขยายอาณาจักรเล็กๆ ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!
นี่คือโลกใบที่ไม่คุ้นเคย พบกับระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใคร
Every human has their Personal Jewel of power, when awakened it can either be an Elemental Jewel or Physical Jewel. They circle the right and left wrists like bracelets of power.
Heavenly Jewels are like the twins born, meaning when both Elemental and Physical Jewels are Awakened for the same person, the pair is known as Heavenly Jewels.
Those who have the Physical Jewels are known as Physical Jewel Masters, those with Elemental Jewels are Elemental Jewel Masters, and those who train with Heavenly Jewels are naturally called Heavenly Jewel Masters.
Heavenly Jewel Masters have a highest level of 12 pairs of jewels, as such their training progress is known as Heavenly Jewels 12 Changes.
Our MC here is an archer who has such a pair of Heavenly Jewels.
Recommended Series
Comment
Facebook Comment