“ใครขอให้เจ้าเป็นห่วงข้า? ถอยไป” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยความโมโห ก่อนจะสะอื้นออกมา
โจวเหว่ยชิงเกาหัวแกร่กๆ “เอาล่ะๆ ข้าผิดเองๆ ข้าจะเชื่อฟังท่าน หลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ตามที่ท่านอยากให้ข้าทำ ตกลงไหม? แม้ท่านจะให้ข้าหลอมรวมกับหมู ข้าก็จะไม่โต้แย้งเด็ดขาด!” ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปที่หูของเขาและกระพือมันออกให้คล้ายกับหูของหมู
“หึ! เจ้าก็เป็นหมูอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกเรียกว่าอ้วนน้อยโจวหรอก!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกท่าทางตลกๆ ของเขาทำให้หลุดขำพรืดออกมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็ยกเท้าขึ้นเตะเขาอีกครั้ง คราวนี้โจวเหว่ยชิงยืนนิ่งๆ รับลูกเตะนั้นอย่างเต็มใจ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเกินจริงไปเสียหน่อย แต่เขาก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้ดูเหมือนว่าเขาเต็มใจที่จะถูกลงโทษเพื่อให้ได้รับการให้อภัยจากเธอ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ ก่อนจะจ้องมองเขาอย่างรวดเร็ว ในใจของเธอกำลังคิดว่า ‘เจ้าโรคจิตคนนี้จะเป็นคู่กัดกับข้าไปตลอดชีวิตจริงๆ ใช่หรือไม่ๆ? ทำไมข้าถึงไม่เคยรับมือเขาได้เลยนะ?’
“เจ้าพูดเองว่าเจ้าจะทำตามที่ข้าพูด และหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ใดๆ ก็ตามที่ข้าบอก ซึ่งนั่นย่อมรวมถึงทักษะกักเก็บมณีธาตุของเจ้าด้วย”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างรวดเร็วซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่กลัวจะโดนซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่อยตีหรือดุด่า แต่เขากลัวว่าเธอจะร้องไห้ใส่เขาเป็นที่สุด จะว่าไปแล้ว การต่อยตีนั้นถือเป็นการแสดงออกถึงความรัก การดุด่าก็คือความรัก ดังนั้นจอมเจ้าเล่ห์น้อยตนนี้จึงถือว่าการกระทำของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นไปตามธรรมชาติของคู่รัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นเธอร้องไห้ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกยอมแพ้ทันที แม้ว่าใบหน้าภายนอกเขามักจะหัวเราะอย่างความสุข แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาภายในใจเขารู้สึกผิดมากกับเหตุการณ์ในวันนั้น
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูด ความโกรธของเธอจึงค่อยๆ ลดลง “อืม…กลับกันเถอะ เจ้าเก็บข้าวของให้พร้อม วันพรุ่งนี้ตอนเช้าเราจะไปจากค่ายทหาร”
“ออกจากค่าย? พวกเราจะไปไหนงั้นหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้างุนงง
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตอบ “เจ้าจะรู้เองเมื่อถึงเวลา เตรียมใจให้พร้อม คราวนี้เราจะออกเดินทางอย่างน้อยสองถึงสามเดือน และเจ้าก็ไม่ต้องเข้าร่วมการฝึกของทหารใหม่”
โจวเหว่ยชิงขยิบตา “แค่ข้ากับท่าน?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดเดิน เธอหันกลับมาจ้องมองเขาอย่างโกรธแค้น “ถ้าอยากตายก็พูดต่อไปสิ! หากเจ้ากล้าคิดอะไรลามกๆ อีกล่ะก็ ข้าจะ…ข้าจะ…”
โจวเหว่ยชิงรีบพูดต่อทันที “ท่านจะร้องไห้ให้ข้าล่ะสิ…เฮ้อ…ข้าล่ะกลัวท่านเสียใจเป็นที่สุด… ” ในขณะที่เขาพูดคำเหล่านั้น เขาก็เปิดใช้ทักษะธาตุลมทันทีและกระโจนหนีไปด้วยความเร็วสูงสุด
เมื่อมองเห็นโจวเหว่ยชิงกำลังหนีหัวซุกหัวซุน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หัวเราะออกมาอีกครั้งในลำคอ จากนั้นก็ร่วมเล่นไล่จับกับเขาอย่างไม่คาดคิด เธอตะโกน “จงออกมา! ศรติดตามไร้เสียง”
ด้วยเสียง *ฟุ่บ* ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็ล้มไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ก่อนจะกลิ้งตกลงไปในป่า สีหน้าดูหวาดกลัวจนแม้แต่ชางกวนปิงยังนึกกังวล เธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาถูกโจมตีโดยองค์หญิงตี้ฝูหยา ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมีความรู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ
หลังจากที่โจวเหว่ยชิงตกกระแทกพื้นอย่างแรงแล้วเขาจึงตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในขณะที่เสียงหัวเราะของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดังก้องขึ้นมานั้นเอง เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสงสารก็ดังขึ้นในป่าดารา “ท่านจะคิดจะสังหารสามีของท่านหรือ…” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอย่างยินดีก็หยุดลง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้นอย่างเจ็บปวด
…
ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมเสื้อและกระโปรงผ้าฝ้ายง่ายๆ หยิบธนูอุษาม่วงของเธอสะพายเข้าที่หลัง จากนั้นก็เดินตรงไปยังทางออกของค่ายทหาร ซึ่งเวลานั้นเหล่าทหารที่เห็นเธอต่างก็คิดว่าแม้แต่เสื้อผ้าธรรมดาๆ ก็ยังไม่สามารถปกปิดความงามอันน่าประทับใจของเธอได้
เมื่อเธอเดินไปถึงประตูทางออกของค่ายทหาร เธอก็เห็นโจวเหว่ยชิงซึ่งยังคงแต่งกายในเครื่องแบบทหารนอนพักผ่อนอยู่ใกล้ทางออก เขาสะพายคันธนูยาวไว้ด้านหลังพร้อมกับแล่งธนูสองอัน นอกจากนั้นยังสวมชุดเครื่องแบบพลธนู ไม่ลืมแม้กระทั่งหมวกลมของนักธนู
เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาถึง โจวเหว่ยชิงก็หันไปให้ความสนใจกับเธอทันที เขาทำความเคารพอย่างเหมาะสมและตะโกนเสียงดัง “อรุณสวัสดิ์ขอรับผู้บัญชาการกองพัน!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างโมโห “ข้าไม่ได้บอกเจ้าเมื่อวานนี้เหรอว่าให้ใส่ชุดธรรมดา?”
โจวเหว่ยชิงเกาหัวอย่างอายๆ “ข้าไม่มีเสื้อผ้าธรรมดาเลยสักตัวเดียว มีแค่ชุดเครื่องแบบทหารนี้ แล้วก็ยังไม่มีชุดสำรองไว้เปลี่ยนด้วยขอรับ” ในขณะที่เขาพูด เขาก็มองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างเพื่อระงับอารมณ์อยากต่อยคน เธอพูดอย่างเย็นชา “เอาเถอะ ไปกันได้แล้ว” ขณะที่กล่าว เธอก็เริ่มขยับตัวเคลื่อนไหว โจวเหว่ยชิงรีบปลดปล่อยไพฑูรย์ตาแมวสองสีออกมาเพื่อเปิดใช้ทักษะธาตุลมของเขา จากนั้นก็ออกตัวตามเธอไป พวกเขาสองคนวิ่งตามกันไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็ออกจากบริเวณค่ายกลุ่มทหารและมุ่งหน้าทางทิศตะวันออกไปตามถนนสายหลัก
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้พูดคุยกับโจวเหว่ยชิงระหว่างทางเลยเนื่องจากเธอรู้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับคนไร้ยางอายเช่นเขา แม้ว่าเธอจะโมโหเจ้าอ้วนน้อยโจวอยู่บ้าง แต่หลังจากทำข้อตกลง 3 ข้อกับเขาแล้ว เธอก็ไม่ต้องการจะฆ่าเขาอีกต่อไป เธอพร่ำบอกกับตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนว่าทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของอาณาจักร
อันที่จริงวิธีการของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง โจวเหว่ยชิงที่ไล่ติดตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นพยายามหยอกล้อ และล่อลวงให้เธอพูดอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ทำเป็นไม่สนใจ นั่นทำให้เขาเป็นกังวลมากจนเอาแต่จับหู และเกาแก้มตัวเอง และหากเขาพูดอะไรที่อ่อนไหวหรือไม่เข้าท่าออกมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็แค่ต้องเร่งความเร็วหนี เพราะเธอได้รับพลังความว่องไวจากมณียุทธ์ของเธอ เธอจึงสามารถทิ้งห่างเขาได้ทันที นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงพยายามวิ่งไล่ตามจนกระทั่งเขาหอบหนัก
ตั้งแต่เช้าจรดเที่ยง มากกว่า 4 ชั่วโมงที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แทบจะไม่ได้พูดประโยคใดๆ กับโจวเหว่ยชิงเลย ทั้งยังไม่หยุดพักอีกด้วย ในเวลานี้ดวงอาทิตย์อยู่สูงเหนือท้องฟ้า และโจวเหว่ยชิงก็กำลังเหงื่อแตกพลั่ก แน่นอนว่าการวิ่งเป็นเวลา 4 ชั่วโมงนั้นไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขา แต่ปัญหาก็คือความเร็วของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างหาก! ในเวลานี้ เขามีปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่จำกัด เมื่อมันถูกใช้จนหมดความเร็วของเขาก็จะลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดหลุมดำทั้ง 4 ของเขาก็จะดูดซับพลังจากบรรยากาศรอบตัวกลับเข้าไปใหม่อย่างช้าๆ หลังจากสะสมพลังปราณสวรรค์จนเต็มอีกครั้ง เขาจึงสามารถใช้ทักษะธาตุลมเพื่อเร่งความเร็วได้อีก กระบวนการแบบนี้ถูกทำซ้ำๆไม่รู้จบ สะสมปราณจนเต็ม จากนั้นก็ใช้พลังมณีเร่งความเร็วใหม่อีกครั้ง
เมื่อถึงตอนนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาเธอลดความเร็วของเธอลงเพื่อให้โจว เหว่ยชิงตามเธอได้ทัน เนื่องจากเธอรู้ว่าเขามีเพียงมณีธาตุลมเท่านั้น จึงไม่อาจเปรียบเทียบกับเธอที่ได้รับพลังมาจากทั้งมณียุทธ์ และมณีธาตุ แต่ทว่า ท้ายที่สุดเธอก็พบว่าอ้วนน้อยโจวที่เพิ่งจะปลุกมณีสวรรค์และมีพลังปราณอยู่ในระดับ 4 นั้นสามารถใช้ปราณสวรรค์ของเขาได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมาก ซึ่งนั่นเกินกว่าที่เธอคาดการณ์ไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากชั่วโมงที่ 2 เป็นต้นไป เวลานั้นเขาเริ่มมีจังหวะการชะลอตัวและเร่งความเร็วแบบแปลกๆ นั่นจึงทำให้เธอยิ่งสงสัยมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สงสัยนั้นย่อมไม่แปลก เนื่องจากจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของวิชาเทพอมตะอย่างการดูดซับปราณสวรรค์จากสภาพแวดล้อมได้อย่างง่ายดายนั้นไม่ใช่สิ่งที่วิชาอื่นๆจะทำได้
“พักสักครู่เถอะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดชะงักชั่วครู่ แม้ว่าพวกเขาจะวิ่งมาด้วยความเร็วเต็มที่ แต่หลังจากวิ่งมาทั้งเช้า พวกเขาก็ยังคงอยู่ในป่าดารา และหากว่าพวกเขาต้องการออกจากป่าขนาดใหญ่นี้ แม้ว่าจะรักษาความเร็วเดิมเอาไว้ได้แต่ก็คงจะต้องใช้เวลาถึงตอนเย็นเลยทีเดียว
โจวเหว่ยนั่งแหมะลงที่พื้น และเอนหลังไปซบต้นดาราต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ข้างถนน เขาหอบหายใจด้วยความเหนื่อย เหงื่อเปียกโชกไปทั่วร่างกาย อย่างไรก็ตาม เขายังค้นพบความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของปราณสวรรค์ของเขาด้วย เมื่อปราณสวรรค์ของเขาหมดลง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่หลุมดำพวกนั้น แต่พวกมันก็ยังคงดูดกลืนปราณจาก รอบๆ เข้าไปเต็มกำลังเพื่อเติมเติมปราณสวรรค์ในร่างของเขา
……………………………………………………………..
Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา – บทที่ 10.3 ทักษะกักเก็บธาตุมณี (3)
Posted by ? Views, Released on September 19, 2021
, Heavenly Jewel Change
Type: Web Novel Author: Tang Jia San Shao, 唐家三少
ในโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีพลังเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ
มีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อหวังจะก้าวขึ้นเป็นราชาจ้าวมณีสวรรค์
ในอาณาจักรเล็กๆ ที่ยังต้องดิ้นรนในสงครามซึ่งรายล้อม
ตัวเขาในฐานะที่เกิดในตระกูลแม่ทัพจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เด็กชายเกิดมาพร้อมลมปราณอุดตัน ฝึกวิชาใดๆ ก็ไร้ผล
ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น!?
ทำลายความภาคภูมิใจของบิดา… กลายเป็นความอัปยศอดสูของคู่หมั้น…
หากแต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เที่ยวเล่นจับปลาไปวันๆ โดยไร้ความละอาย!
ทว่า…เมื่อพลาดพลั้งถูกฆ่าและทิ้งให้ตาย ท้ายที่สุดสวรรค์ก็เมตตา
ไข่มุกรัตติกาลจากต่างมิติถูกดึงดูดด้วยแรงดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ของเขา
มันมอบพลังที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด!
สิ่งนั้นปลุกศักยภาพของเขาขึ้นมา… แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไร้ค่า…
แต่นั่นจะเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มาเปลี่ยนชะตาของเขาได้จริงหรือ?
ร่วมผจญภัยไปกับ ‘โจวเหว่ยชิง’ ตัวเอกผู้ไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในการเอาตัวรอดเพื่อมุ่งไปสู่จุดสูงสุดของโลกการฝึกวิชา
สร้างยอดกองทัพ ปกป้องคนที่เขารักและขยายอาณาจักรเล็กๆ ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!
นี่คือโลกใบที่ไม่คุ้นเคย พบกับระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใคร
Every human has their Personal Jewel of power, when awakened it can either be an Elemental Jewel or Physical Jewel. They circle the right and left wrists like bracelets of power.
Heavenly Jewels are like the twins born, meaning when both Elemental and Physical Jewels are Awakened for the same person, the pair is known as Heavenly Jewels.
Those who have the Physical Jewels are known as Physical Jewel Masters, those with Elemental Jewels are Elemental Jewel Masters, and those who train with Heavenly Jewels are naturally called Heavenly Jewel Masters.
Heavenly Jewel Masters have a highest level of 12 pairs of jewels, as such their training progress is known as Heavenly Jewels 12 Changes.
Our MC here is an archer who has such a pair of Heavenly Jewels.
Recommended Series
Comment
Facebook Comment