ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่งที่ต้นไม้ใหญ่ห่างจากโจวเหว่ยชิงประมาณ 10 เมตร เธอถอดกระเป๋าสะพายหลังแล้วนำอาหารแห้ง และน้ำออกมา
โจวเหว่ยชิงหอบต่อไปอีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงปรับจังหวะลมหายใจได้ ท้ายที่สุดลมหายใจของเขาก็กลับมาสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พกอาหารแห้งมาด้วย ดังนั้นเมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังกินอาหารและดื่มน้ำ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายขณะที่ขยับเข้าใกล้เธอ
“ผู้บัญชาการกองพัน ข้าอยากกินบ้างเหมือนกันนะขอรับ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปที่ดวงตากระหายอยากของโจวเหว่ยชิง ส่งเสียงหึในลำคอแล้วก็ทำท่าทีเพิกเฉยต่อไป
โจวเหว่ยชิงกล่าว “หัวหน้าไม่กินหากลูกน้องหิวโหย ถ้าข้าไม่มีอะไรกิน ข้าก็จะไม่เดินทางต่อ!” เขาพูดพลางนั่งลงข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้นั่งชิดถึงขนาดตัวติดกัน แต่เพียงแค่นั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยกันเขาก็สามารถได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเธอแล้ว ดังนั้นแม้ว่าท้องของเขาจะว่างเปล่า แต่เขาก็ยังรู้สึกพึงพอใจมาก
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขยับตัวหนีเล็กน้อยเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างเธอกับเขา ก่อนจะกินต่อไปอย่างช้าๆ เธอกะแล้วว่าโจวเว่ยชิงจะต้องมาขอร้องเธอเมื่อเขาหิว คนๆ นี้เหมือนกับพวกอันธพาลเหลี่ยมจัด หากเธอไม่รีบจัดการกับเขาให้อยู่หมัด ภายภาคหน้าเขาจะเชื่อฟังเธออีกได้อย่างไร และความจริงแล้วเธอไม่เชื่อว่าอ้วนน้อยโจวจะมีปัญหาหากต้องอดอาหารไปหนึ่งหรือสองมื้อ
ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังคิดอย่างลับๆ ว่าแผนการการสู้ด้วยความเงียบของเธอนั้นประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม โจวเหว่ยชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็เคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน ต่อมาร่างของเขาก็กระโจนขึ้นเหมือนเสือดาวและกำลังจะหายวับเข้าไปในป่า
“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกตกใจ เธอพลันลุกขึ้นยืนพร้อมกับเขา
“ข้าจะไปหาอะไรมากินน่ะสิ!” โจวเหว่ยชิงทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นก่อนจะกระโจนหายเข้าไปในป่า
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกตะลึง เธอรีบเก็บอาหารแห้งก่อนจะไล่ตามโจวเหว่ยชิงเข้าไปในป่า เหตุผลที่เธอติดตามเขาก็เพราะเธอกลัวว่าคนเจ้าเล่ห์นี้จะไม่รักษาสัญญาของเขา และหนีไปแทน นอกจากนี้เธอยังค่อนข้างสงสัยว่าโจวเหว่ยชิงจะหาของกินได้อย่างไร
หลังจากไม่กี่วันที่ได้รู้จักกับเขา เธอก็ยิ่งเชื่อว่าอ้วนน้อยโจวนั้นใช้ชีวิตมาอย่างปากกัดตีนถีบมากกว่า เพราะแม้ว่าจะไม่ได้มีคนดีมากมายในหมู่ขุนนาง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีคนเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดที่น่ารังเกียจเหมือนกับเขาในหมู่ชนชั้นสูงพวกนั้น
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปลุกพลังมณียุทธ์และมณีธาตุของเธอ ก่อนจะเร่งความเร็วตามโจวเหว่ยชิงไปติดๆ แม้ว่าเธอจะไม่คุ้นเคยกับป่าดาราเท่ากับโจวเหว่ยชิง แต่อาศัยการได้ยินและความเร็วที่เหนือกว่าของเธอ เธอจึงสามารถตามเขาทันได้อย่างง่ายดาย
เธอมองไปที่โจวเหว่ยชิงที่สามารถวิ่งซอกแซ่กไปมาในป่าได้อย่างชำนาญและว่องไวปราดเปรียว สิ่งที่ผิดปกติมากที่สุดคือแสงสีเขียวที่เรืองรองออกมาจากเขาเป็นครั้งคราว ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกตกใจมากแล้ว เพราะท้ายที่สุดเธอก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีพลังด้านความว่องไวปราดเปรียว ดังนั้นเธอจึงได้ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการเคลื่อนไหวมาเป็นอย่างดี ดูจากการเคลื่อนไหวของโจวเหว่ยชิงแล้ว เธอก็แน่ใจว่าเขาใช้ทักษะธาตุลมของเขาแค่บางคราวที่เขาต้องการเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นก็คือเมื่อเขาต้องการที่จะกระโดดขึ้นสูงหรือเมื่อต้องการเร่งความเร็วอย่างฉับพลันเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือใช้เพื่อข้ามหรือหลบสิ่งกีดขวางบนทางของเขาซะเป็นส่วนใหญ่ และในการทำเช่นนั้น เขาไม่เพียงแต่สามารถรักษาความเร็วสูงได้ แต่ยังสามารถประหยัดปราณสวรรค์ไว้ได้มากที่สุดอีกด้วย
จริงๆ แล้วซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็สามารถทำแบบนี้ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ โจวเหว่ยชิงปลุกพลังปราณสวรรค์ของเขาให้ตื่นขึ้นได้เมื่อไหร่? นั่นมันเพิ่งไม่กี่วันมานี้เองไม่ใช่เหรอ! ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถควบคุมทักษะธาตุลมของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พบว่าเธอไม่สามารถจะละเลยคนๆนี้ได้อีกต่อไป
หลังจากที่โจวเหว่ยชิงวิ่งเข้าไปในป่าได้ประมาณหลายร้อยเมตร ในที่สุดเขาก็กระโจนขึ้นไปคว้ากิ่งไม้กิ่งหนึ่งก่อนจะเหวี่ยงตัวเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ ครู่ต่อมาเขาก็กระโจนลงไปที่กิ่งไม้หนากิ่งหนึ่ง ใช้เท้าขวาเกี่ยวกิ่งไม้ไว้ได้อย่างมั่นคง ขณะที่เท้าซ้ายของเขาย่ำลงบนกิ่งไม้ ดึงคันธนูออกมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว จับลูกธนูพาดแล้วง้างสายธนูจนเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง ปลายลูกศรขยับไปมาเล็กน้อยเพื่อปรับตำแหน่งตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พลันคิดอย่างตกใจ ช่างเป็นนักธนูที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญอะไรเช่นนี้
ในฐานะนักธนูมณีสวรรค์ที่น่าเกรงขาม เธอเองก็คุ้นเคยกับการยิงธนูเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าเธอสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้ใช้มณีสวรรค์ของเขาในระหว่างการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย จากประสบการณ์และความสามารถในการพาดลูกธนู และง้างธนูในชั่วพริบตาของเขา รวมทั้งท่าทางที่คุ้นเคยกับปราการแวดล้อมเป็นอย่างดี เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ก็บ่งบอกได้ว่าเขาเป็นนักธนูที่โดดเด่นอยู่แล้ว และแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ แค่ทักษะเหล่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างชื่อในกองพันธนู
ทันใดนั้น ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็สว่างวาบ ร่างกายเขาเปล่งประกายสายฟ้าออกมาก่อนลูกศรจะพุ่งไปทางป่าลึก
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนั้นเอง มือทั้งสองของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็วูบไหว แสงสีเขียวพุ่งออกมาจากธนูอุษาม่วงของเธอ แม้ว่ามันจะถูกยิงออกมาภายหลังโจวเหว่ยชิง แต่มันก็พุ่งไปปะทะเข้ากับลูกศรของโจวเหว่ยชิงทันทีทันใด จากนั้นลูกศรของโจวเหว่ยชิงก็เสียการทรงตัว เกิดเป็นแสงประกายวูบวาบพร้อมกับเสียงเปรี้ยง! จากนั้นลูกศรของทั้งคู่ก็พุ่งไปฝังตัวอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป
โจวเหว่ยชิงรีบพลิกตัวลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ร่างของเขาไถลลงไปจากต้นดารา จากนั้นก็รีบไปแอบซ่อนอยู่หลังต้นไม้ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของตนถูกปกปิดไว้ด้วยลำต้นหนาๆ ของต้นดาราจนมิด
“นี่เจ้ากลัวตายขนาดนี้เลยหรือ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว
เมื่อได้ยินว่านั่นคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็โผล่หัวขึ้นมาแล้วพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “มนุษย์ย่อมกลัวตายเป็นธรรมดานี่นา! ถ้าหากว่านั่นเป็นศัตรูล่ะ? ผู้บัญชาการกองพันที่รักของข้า ท่านควรจะยกย่องชื่นชมข้าในเรื่องการมีสติระมัดระวังตัวนะ! มีลูกน้องเช่นข้า ท่านไม่รู้สึกภูมิใจหรือ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงหึในลำคอ “กระต่ายตัวน้อยนั้นน่ารักมาก แต่เจ้าก็ยังต้องการจะฆ่ามัน เจ้าไม่ควรพรากชีวิตบริสุทธิ์ของใครขณะที่มีข้าอยู่ด้วย!”
โจวเหว่ยชิงรีบกล่าวด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร “ผู้บัญชาการกองพันผู้งดงาม ข้าจะมีชีวิตอยู่อย่างหิวโหยได้อย่างไร! ท่านไม่ยอมมอบอาหารแห้งให้ข้ากิน แต่พอข้าจะล่าอาหารมากินเอง ท่านก็ยังจะห้ามข้าอีก เป็นเช่นนี้แล้วจะยุติธรรมได้อย่างไร!”
เมื่อเห็นท่าทางทุกข์ใจของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของเธอถึงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เธอเผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจในตัวเองขณะที่กล่าว “เจ้าไม่ได้พูดว่าเจ้ามีความสามารถในการหาอาหารหรอกหรือ? ดังนั้นเจ้าสามารถหาอาหารได้ต่อตามใจ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฏที่ว่าจะไม่ล่าสิ่งมีชีวิต”
…
โจวเหว่ยชิงเดินออกมาจากข้างหลังต้นไม้ สะพายธนูไว้ที่หลังตามเดิมและถอนหายใจออกมาด้วยใบหน้าทุกข์ทรมาน “ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะยังไม่ได้กินเนื้อสัตว์เลย ผู้บัญชาการกองพันผู้งดงาม ข้ายังอยู่ในวัยเจริญเติบโต การขาดสารอาหารนั้นเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก!”
“หึ! เจ้าถึกทนพอๆ กับวัวกระทิง ไหนล่ะสารอาหารที่เจ้าขาด?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอพูดจบใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ ท้ายที่สุดแล้วเธอเองก็เคยได้สัมผัสถึงความถึกทนของเจ้าอ้วนน้อยโจวด้วยตนเอง
ทว่าคำพูดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เป็นจริงเช่นกัน หลังจากที่โจวเหว่ยชิงปลุกมณีสวรรค์ของเขาได้ ไม่เพียงแต่ความสูงของเขาจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อทรงพลังดูเด่นชัดภายใต้เครื่องแบบทหาร ราวกับว่าเขามีพลังเก็บสำรองไว้ไม่มีที่สิ้นสุด หากตัดสินจากรูปร่างของเขาในหมู่ทหารแล้ว เขาย่อมจะต้องมีรูปร่างของทหารชั้นยอด และแน่นอนว่าดีกว่าผู้ใหญ่ตัวโตๆ คนหนึ่งเสียอีก จงอย่าลืมว่าเขายังอายุน้อยกว่า 14 ปี
น่าเสียดายที่สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว เขาไม่ได้เห็นตอนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังทำท่าเขินอาย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพึงพอใจในตนเองมากขึ้นก็ได้ ขณะที่เขาพูด เขาก็ก้มหัวลงแนบติดพื้นราวกับกำลังมองหาบางอย่าง มือทั้งสองข้างของเขาขยับไปมารอบๆ พุ่มไม้ด้วยท่าทางชำนาญ หลังจากนั้นไม่นานในมือของเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งของหลายอย่างเช่นหน่อไม้ จากนั้นเขาก็หยิบใบของต้นดาราขนาดใหญ่หลายๆ ใบออกมา ก่อนจะกลับมายืนหลังตรงอีกครั้ง
“ผู้บัญชาการกองพันสุดสวย แล้วของพวกนี้ล่ะใช้ได้ไหม?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
…………………………………………………………
Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา – บทที่ 10.4 ทักษะกักเก็บธาตุมณี (4)
Posted by ? Views, Released on September 19, 2021
, Heavenly Jewel Change
Type: Web Novel Author: Tang Jia San Shao, 唐家三少
ในโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีพลังเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ
มีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อหวังจะก้าวขึ้นเป็นราชาจ้าวมณีสวรรค์
ในอาณาจักรเล็กๆ ที่ยังต้องดิ้นรนในสงครามซึ่งรายล้อม
ตัวเขาในฐานะที่เกิดในตระกูลแม่ทัพจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เด็กชายเกิดมาพร้อมลมปราณอุดตัน ฝึกวิชาใดๆ ก็ไร้ผล
ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น!?
ทำลายความภาคภูมิใจของบิดา… กลายเป็นความอัปยศอดสูของคู่หมั้น…
หากแต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เที่ยวเล่นจับปลาไปวันๆ โดยไร้ความละอาย!
ทว่า…เมื่อพลาดพลั้งถูกฆ่าและทิ้งให้ตาย ท้ายที่สุดสวรรค์ก็เมตตา
ไข่มุกรัตติกาลจากต่างมิติถูกดึงดูดด้วยแรงดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ของเขา
มันมอบพลังที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด!
สิ่งนั้นปลุกศักยภาพของเขาขึ้นมา… แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไร้ค่า…
แต่นั่นจะเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มาเปลี่ยนชะตาของเขาได้จริงหรือ?
ร่วมผจญภัยไปกับ ‘โจวเหว่ยชิง’ ตัวเอกผู้ไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในการเอาตัวรอดเพื่อมุ่งไปสู่จุดสูงสุดของโลกการฝึกวิชา
สร้างยอดกองทัพ ปกป้องคนที่เขารักและขยายอาณาจักรเล็กๆ ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!
นี่คือโลกใบที่ไม่คุ้นเคย พบกับระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใคร
Every human has their Personal Jewel of power, when awakened it can either be an Elemental Jewel or Physical Jewel. They circle the right and left wrists like bracelets of power.
Heavenly Jewels are like the twins born, meaning when both Elemental and Physical Jewels are Awakened for the same person, the pair is known as Heavenly Jewels.
Those who have the Physical Jewels are known as Physical Jewel Masters, those with Elemental Jewels are Elemental Jewel Masters, and those who train with Heavenly Jewels are naturally called Heavenly Jewel Masters.
Heavenly Jewel Masters have a highest level of 12 pairs of jewels, as such their training progress is known as Heavenly Jewels 12 Changes.
Our MC here is an archer who has such a pair of Heavenly Jewels.
Recommended Series
Comment
Facebook Comment